ตอนที่แล้วตอนที่ 24 ความรู้สึกที่ชัดเจน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 26 พักฟื้น

ตอนที่ 25 ห้วงเวลาที่หยุดหมุน


ตอนที่ 25 ห้วงเวลาที่หยุดหมุน

 

“ดีใจที่ไม่เป็นอะไรนะครับ…คุณชุน”

ลินจิพึมพำนั่งข้างชุนซึ่งหมดสติ สองตามองท้องฟ้า ริมฝีปากผุดยิ้มอ่อน ๆ

แสงอาทิตย์กระทบร่างของเพกัสจากอีกฝั่ง เกิดเป็นเงาบดบังให้ทั้งสอง

แม้ความรู้สึกของลินจิจะคลุมเครือ เพราะบังเอิญเจอคู่หมั้นของชุน และต้องเห็นภาพบาดตาบาดใจ แต่ช่วงเวลาตามลำพังสองคนกับชุนนั้น ไร้ความเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายในราวกับเวลาหยุดหมุน ลินจิไม่อยากยึดติดกับภาพที่ผ่านมา เพราะคนเรามักทุกข์เสมอ เมื่อไม่อยู่กับปัจจุบัน ดังนั้นเขาจึงสลัดอารมณ์ด้านลบทิ้ง แม้จะไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ตาม

“…โอย”

เสียงดังอยู่ข้าง ๆ เหมือนชุนจะได้สติแล้ว

“อ๊ะ!”

ลินจิละสายตาจากท้องฟ้าทันที

“…อึก…โอย”

ชุนร้องโอดโอยเปลือกตาสั่นระริกก่อนจะลืมตา เมื่อเห็นเพกัสอยู่ตรงหน้า เขาก็ดีดตัวลุกคว้าดาบทันที

“อ้า! ไม่ได้นะครับคุณชุน เพกัสเป็นพวกของเรานะครับ”

ลินจิพุ่งตัวเข้าปราม ทว่าชุนซึ่งยังไม่ฟื้นตัวดีก็ทรุดเข่าล้มลง

“…”

ปลายดับปักผืนดิน เนื้อตัวสั่นเทิ้ม เมื่อมั่นใจว่าม้าอสูรไม่ใช่ศัตรู เขาจึงทิ้งตัวลงนั่งช้า ๆ ก่อนจะเก็บดาบเข้าฝัก

ลินจิมองบุรุษผู้ห้าวหาญในสภาพลูกหมาซมซานตาปริบ ๆ

จู่ ๆ ความคิดแปลก ๆ แล่นเข้ามาในสมอง รอยยิ้มร้ายกาจผุดขึ้นมาบนใบหน้า

แม้จะเป็นห่วงชุน แต่พอนึกถึงภาพชุนกับคู่หมั้นก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

“อ๊ะ! ไม่ลุกขึ้นมาล่ะครับ”

“…!”

ชุนกัดฟัดแกร็ก ปวดไปทั้งตัว เห็นแค่นี้ไม่รู้หรือไงว่าต้องช่วยพยุง

“ตาบอดหรือไง! มัวยืนทำอะไรอยู่”

“อ๋อ…”

ลินจิแสร้งอ้าปากร้องเป็นตัว ‘O’ อย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะตอบว่า “ได้สิ”

พริบตาที่ยื่นมือออกไป ชุนก็ค่อย ๆ ยื่นมือข้างหนึ่งมา ทว่าลินจิก็ดึงแขนกลับในทันที

“โอ๊ย!”

ชุนล้มคว่ำอย่างโอดครวญ

“อ๊ะ!”

ลินจิเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ เขาแค่ต้องการแกล้งชุนให้เสียหลักเล็กน้อยเท่านั้น ไม่คิดว่าชุนจะหมดเรี่ยวแรงขนาดนี้

“นี่…เจ้า”

เส้นเลือดปนขมับปูดออกมาราวกับจะระเบิด ชุดกัดฟันกรอดพยายามลุกขึ้นมาแต่ก็ไม่สำเร็จ

…หน็อย ไอ้ตัวแสบไม่เห็นหรือไงว่าเขาบาดเจ็บอยู่ แบบนี้จงใจกลั่นแกล้งกันชัด ๆ

ขณะที่ลินจิยืนมองสีหน้าเกรี้ยวกราดของชุนอยู่นั้น ขาข้างหนึ่ง ก็ถูกกระชากจนล้มลงไป

“อ้า…”

เมื่อร่างเอนสู่พื้น แขนกำยำก็คล้องคอลินจิด้วยท่าเฮดล็อกทันที มือหนึ่งบีบเข้าที่แก้มจนริมฝีปากปริออกมา

“เมื่อกี้เจ้าทำอะไร…”

เสียงพูดกัดฟันฟังดูสยดสยอง

“อื้อ…อื้อ”

ปากเจ่อที่ถูกมือหนาบีบร้องขอความช่วยเหลือ

ตอนนั้นดวงตาสีเพลิงของเพกัสจับจ้องมายังทั้งสองอย่างสนใจ เกือกม้าห่อหุ้มเพลิงสว่างไสวพลันก้าวเข้ามา เพกัสนำหัวของมันมุดเข้าแทรกระหว่างกลางราวกับจะช่วยลินจิ

“…!”

ชุนเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ ปล่อยมือทันที ส่วนลินจิก็รีบตะเกียกตะกายออกมา อีกมือสัมผัสพื้นพยุงตัวไว้ อีกมือลูบคอหอบหายใจแฮ่ก ๆ

“ฮี่ ๆ”

เพกัสเดินเข้าหาลินจิใช้ใบหน้าคลอเคลีย ชุนเห็นเช่นนั้นจึงกอดอก ขมวดคิ้วมองทั้งสองอย่างสงสัย

“นี่…เจ้าน่ะ”

ลินจิยังไม่เลิกหายใจหอบ เมื่อครู่ชุนรัดคอเขาแน่นจนแทบจะขาดใจ

“นี่!”

เสียงตะคอกดังจนเพกัสกระดิกหู มันเหลียวมองมายังชุนราวกับไม่พอใจ

“ข้าไม่ได้เรียกเจ้า …เจ้าม้าหน้าโง่ ข้าเรียกเทพเจ้าต่างหาก!”

คิ้วหนาขมวดเกร็ง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ จังหวะนั้นเพกัสก็อ้าปาก

แสงสีแดงส่องประกายสว่างไสว

“…!”

“อ้า… ไม่ได้นะเพกัส”

ด้วยความตกใจ ลินจิจึงรีบกระโจนตัวไปกอดคอห้ามเพกัสทันที

“…!”

ใบหน้าข่มขู่ของชุนกลายเป็นหน้าเหวอ แผ่นหลังเอนพิงรูปปั้นเสือ กางแขนออกอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ดูไม่เป็นท่า

โชคดีที่เพกัสหยุดการโจมตี ในสภาพแบบนี้ ชุนซึ่งยังไม่ฟื้นตัวดีหากโดนเพลิงของม้าอสูรเข้าไปอาจไม่รอด

เมื่อตั้งสติได้ ชุนก็นั่งขัดสมาธิพร้อมกอดอก หลับตาก้มหน้าอย่างผู้ทรงภูมิ ก่อนจะเงยหน้าก็ทำท่าทีเป็นสุขุมดังเดิมเพื่อกลบเกลื่อนท่าทีตกใจเมื่อครู่ ทว่าใบหน้านั้นก็ยังซีดเผือดไม่หาย แม้ภายนอกจะแสร้งทำเป็นเข้มแข็งแบบผู้ใหญ่ แต่ภายในนั้นอาจบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ครับ”

ลินจิขานรับยิ้ม ๆ มองคนที่เพิ่งฟื้นป่วยอย่างขบขัน ก่อนจะเปลี่ยนมานั่งท่าเดียวกับชุน จากนั้นก็ปิดปากหลุดหัวเราะออกมาดัง “คิก”

“อะไร! เจ้าขำอะไร”

ใบหน้าซีดเผือดเมื่อครู่ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฝาด

“ก็แหม… ท่าตกใจเมื่อกี้ของคุณชุนมันตลกน่ะครับ”

ว่าแล้วลินจิก็ถอยห่างจากเพกัส ขยับก้นเข้าไปหาชุน กระทั่งเข่าชิดกัน

“ช่วยเขยิบไปห่าง ๆ ได้มั้ย”

เขาดันไหล่ลินจิเหมือนเขี่ยของสกปรกไปให้พ้น ๆ

“เหวอ ใจร้ายจัง”

ถึงจะอย่างนั้นเข่าของทั้งสองก็ยังติดกันอยู่ดี

“คราวนี้จะตอบข้าได้รึยัง ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ก็…”

คนตอบเงยหน้าพลางใช้นิ้วชี้จิ้มคางทำท่านึก

“ของแบบนี้มันต้องคิดกันด้วยเหรอไง!”

เสียงแข็งกระด้างราวกับคนไร้หัวจิตหัวใจ ดวงตาของชุนเปลี่ยนเป็นเย็นชา

สงสัยว่าลินจิคงจะเล่นมากไปเสียแล้ว

เมื่อชุนสังเกตเห็นบาดแผลบนเนื้อตัวของตนที่หายไป เขาก็พอเดาได้ว่าลินจิคงใช้เวทรักษาให้ตอนที่หมดสติ

“ยังไงก็ขอบใจที่ช่วย…”

“…”

ลินจิหันมามองเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาก็เงียบ

“อะไรกัน… เจ้าช่วยข้าไว้ไม่ใช่เหรอ”

คนพูดหลับตา กอดอกแล้วเบือนหน้าหนี ทำท่าประมาณว่า ‘เชอะ’ แต่ไม่ถึงกับสะบัดหน้าให้เห็นชัด

สำหรับลินจิแล้ว แม้จะเป็นคำขอบคุณของชุนซึ่งนานทีมีครั้ง แต่มันก็เป็นประเด็นที่เขาอยากเลี่ยง อันที่จริงจะปล่อยให้ชุนเข้าใจว่าตนเป็นคนช่วยเขาไว้ก็ได้ แต่ทำแบบนั้นมันก็คล้ายกับการขโมยความดีความชอบของคนอื่น อย่างที่เรียกว่า ‘ปาดหน้าเค้ก’

คิดได้เช่นนั้นลินจิจึงก้มหน้าถอนหายใจเสียงดังจนไหล่ห่อ

“เป็นอะไรของเจ้า”

คนรอคำตอบเปิดตาข้างหนึ่ง เหล่มองลินจิซึ่งมีท่าทีเปลี่ยนไป ตอนนั้นลินจิก็ตัดสินใจที่จะตอบได้แล้ว

“นี่… คุณชุน”

“…”

“…”

ทั้งสองมองตากันสามวินาที

แล้วลินจิก็เริ่มพูด

“ผมไม่ได้เป็นคนช่วยไว้หรอกครับ คุณยูต่างหาก”

ได้ยินชื่อคู่หมั้น ดวงตาของชุนก็เบิกกว้าง

“ยู… งั้นเหรอ”

ลินจิพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเบือนหนีไปทางอื่น พลางใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยพื้นเล่นอย่างเหม่อ ๆ

ปฏิกิริยาของชุนที่มีต่อชื่อของยูเมื่อครู่ ทำให้ลินจิพอจะเดาได้ว่า ‘ชุนเองก็คงคิดถึงยูสินะ’

ทว่าชุนกลับถามต่ออย่างไม่ใส่ใจกับชื่อนั้น

“แล้วเจ้าล่ะ…เป็นยังไงบ้าง”

“เอ๊ะ”

ลินจิเงยหน้าขึ้นมา เขาอารมณ์ดีขึ้นทันทีเมื่อได้ฟังน้ำเสียงนุ่มละมุนอย่างหาฟังได้ยาก ไม่บ่อยนักที่ชุนจะถามด้วยคำถามเช่นนี้

เมื่ออีกฝั่งมองมา ลินจิก็ก้มหน้าลงเหมือนเดิม พลางใช้ปลายนิ้วโป้งทั้งสองข้างเขี่ยกันไปมาบนตัก

“อุรามิมันชิงดวงจิตของเทพบุตรคิกิไปเป็นตัวประกัน จากนั้นก็สั่งให้คิกิปลดผนึกเพกัส เพื่อที่จะให้เพกัสลักพาตัวผมไปหามันน่ะครับ”

ว่าแล้วลินจิก็เงยหน้าขึ้นมา แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องกระทบใบหน้า ขี้เถ้าและเขม่าที่เปรอะเปื้อนปรากฏบนหน้าขาวอย่างชัดเจน ดวงตาทอประกายสีส้มอ่อน ๆ

“เป้าหมายของอุรามิคือการดูดกลืนทั้งผมและเพกัสเข้าไป แล้วตอนนี้อุรามิก็ยังไม่ตายครับ”

ชุนขมวดคิ้วแล้วมองไปยังเพกัส ลินจิเห็นแบบนั้นจึงตะลีตะลานรีบกางแขนอธิบาย

“พะ…เพกัสไม่ใช่ศัตรูนะครับ แถมยังช่วยตอนที่ผมตกลงมาจากถ้ำด้วย จู่ ๆ ตอนที่สู้กับอุรามิแล้วเกือบจะโดนดูดเข้าไปในโพรงปีศาจ ก็มีมังกรแสงสี่ตัวโผล่ออกมาจากดวงจิตของคิกิที่อุรามิกลืนเข้าไป”

ได้ยินเช่นนั้นชุนจึงเข้าใจ ดวงจิตของคิกิถูก ‘คลื่นมังกรธาตุคำราม’ ของตนทำลายล้างไปแล้ว

สายลมพัดใบไม้แห้งปลิวว่อนบนพื้น ตอนนั้นลินจิก็เล่าต่อ

“พอร่างของอุรามิสลาย ถ้ำก็ถล่มลงมา ถ้าเพกัสไม่ช่วยไว้ผมคงตกลงมาตายแล้ว”

มือหนาจับคางพลางหันมองม้าอสูรอย่างพิจารณาอีกครั้ง ก่อนจะเอาลงแล้วหันกลับมา

“แล้วเจ้าไม่เป็นไรมากใช่มั้ย”

ชุนเงื้อมมือไปด้านหน้า จังหวะนั้นลินจิก็ผงะถอยตัวเล็กน้อย อีกฝั่งชอบรังแกจนเขากลัวไปเองเสียแล้ว

“ขอ…ขอโทษ”

โทนเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน พร้อมเอามือลง

ลินจิส่ายหน้า ฝืนยิ้มตาปิด เขายังไม่ได้บอกเรื่อง ‘ผลึกดวงดาวสีม่วง’ ที่ยูครอบครองไว้ให้ชุนฟัง

ถ้าฝ่ายนั้นรู้ว่ายูวางแผนจะเข้าหาอุรามิตรง ๆ แล้วมอบผลึกดวงดาวชิ้นสุดท้ายให้ ชุนคงต้องคิดมากอย่างแน่นอน รู้แบบนั้น ลินจิจึงเลือกที่จะไม่พูดถึง เขาเปลี่ยนเรื่องทันที

“พอจะมีที่อื่นที่ดีกว่านี้มั้ยครับ ผมไม่อยากนอนในที่แบบนี้เลย”

ว่าแล้วลินจิก็กวาดสายตามองรอบ ๆ

ต้นไม้ตาย หญ้าแห้ง เศษหินปรักหักพัง ไม่มีตรงไหนที่พอจะนอนค้างคืนได้เลยสักนิด

“…”

ชุนมองตามสายตาของลินจิไป เขาก็คิดไม่ออกเช่นกัน

ขณะที่เงียบกันไปทั้งคู่นั้น ชุนก็เอ่ยขึ้นมา

“เดินไปเรื่อย ๆ ก่อนแล้วกัน”

ลินจิก้มต่ำลง ไม่ได้ตอบกลับไป

“นี่…เจ้าหนู”

ชุนเรียก สายตาเหมือนจะสื่อออกมาว่ามัวเหม่ออะไรอยู่ ดูเหมือนว่าชุนจะไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองกำลังนั่งโชว์กางเกงในสีขาวแบบโบราณ และที่สำคัญเป้ากางเกงก็ขาดชนิดที่เรียกว่าผ่ากลางลึกเข้าไปถึงด้านหลัง

…ช่วยไม่ได้แฮะ ลินจิถือเป็นอาหารตา เลยปิดปากเงียบ

จังหวะนั้นชุนก็งงว่าลินจิกำลังมองอะไร จึงก้มมองตาม ก่อนจะรีบเอามือปิดระหว่างต้นขา พูดด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านว่า

“เป็นผู้ชายเหมือนกัน เห็นนิดเห็นหน่อยไม่เห็นจะเป็นไรเลย”

ถึงอย่างนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนจะลามไปถึงหูและต้นคอ

ลินจิขบขันในใจ แต่ก็พยายามสกัดกลั้นอารมณ์ไว้ เมื่อสังเกตดูดี ๆ ก็พบว่าไม่ใช่เพียงแค่เป้ากางเกงที่ขาด เสื้อผ้าของชุนก็เผยให้เห็นเนื้อหนังด้านในวับ ๆ แวม ๆ เช่นกัน แม้เพียงเล็กน้อยแต่ลินจิกลับรู้สึกว่า ช่างดูยั่วยวนกว่าเผยให้เห็นชัด ๆ เสียอีก

“กลับ!”

ใบหน้าแดงฝาดเท้าคางพูดอย่างเอาแต่ใจราวกับสาวน้อยที่กำลังกลบเกลื่อนความเขินอาย ทำให้ลินจิรู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาทันที

ขณะที่ชุนพยายามจะลุกขึ้นมา มือของเขาก็ไม่ได้ปกปิดรอยขาดที่เป้ากางเกงอีกต่อไป

ลินจิลุกขึ้นยืน จ้องมองด้วยแววตาทอประกาย แสร้งถามอย่างพอเป็นพิธีว่า…

“…ให้ผมช่วยมั้ยครับ”

“ไม่ต้อง!”

ปากว่าอย่างนั้นแต่ดวงตากลับแฝงว่า ‘ช่วยทีนะ’ ลินจิแอบหมั่นไส้จึงยืนมองอยู่เฉย ๆ และจงใจมองตรงจุดนั้นจนอีกฝ่ายถึงกับต้องถลึงตาใส่ เขายิ้มกริ่มขณะเฝ้ามองรอชุนเอ่ยคำว่า ช่วยหน่อยนะ แต่อีกฝ่ายก็ปากแข็ง

หึหึ สมน้ำหน้า แบบนี้ต้องดัดนิสัย

รอยยิ้มน่ารักของลินจิเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายทันที

เมื่อดูผู้ชายตะเกียกตะกายสมใจอยากอย่างซาดิสม์ ลินจิก็นึกสงสารขึ้นมา

“ไม่ไหวก็บอกเถอะครับ บอกว่าได้โปรดเถอะท่านเทพ พูดเสียงนุ่ม ๆ แบบน่าฟังด้วยนะครับ”

ชุนกัดฟันกรอด แย่งเขี้ยวขู่เหมือนหมาบ้า

“ไร้สาระ”

“เอาน่า ๆ เข้าใจแล้ว ๆ”

ลินจิตอบด้วยน้ำเสียงกวนประสาท ก่อนเข้าไปพยุงตัวอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไม่ถนัดนัก

จังหวะที่ชุนยกแขนพาดคอลินจิ ฝ่ามือก็สัมผัสเข้ากับหัวไหล่ที่เปิดเปลือยของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

แม้จะเย็น แต่ลินจิก็รู้สึกอบอุ่น จึงยิ้มอ่อน ๆ ออกมา นึกในใจว่า …ต้องขอบคุณอุรามิที่ทำแขนเสื้อของเขาขาด

พอชุนลุกขึ้นมาได้ ขาก็ก้าวอย่างไม่ถนัดนัก ตอนนั้นลินจิก็เอ่ยปากเรียกม้าอสูร

“เพกัส…”

เพกัสยืนขึ้นมา ชุนหยุดกึกกลางคัน

“ไม่อันตรายหรอกครับ”

“อืม”

แก้มของชุนยังเป็นสีแดงอ่อน เขาพยายามขัดขืนเล็กน้อยตอนที่ลินจิพยุงไปใกล้เพกัส ดูเหมือนว่าตอนนั้นเขาจะสังเกตเห็นสายตาของลินจิที่กำลังจ้องมองจุดเดิม

“มองอะไรของเจ้า!”

“ว้าว! พระอาทิตย์สวยจัง”

ลินจิไม่ได้สนใจชุนที่กำลังขุ่นเคือง เขาส่งเสียงร้องอย่างร่าเริงพลางเงยหน้ามองพระอาทิตย์สีทองที่กำลังจะตกดิน

“รีบเถอะ! กลับไปหมู่บ้านโมโมะก่อน ข้ามีธุระ”

แม้ไม่บอกลินจิก็เดาออกว่าชุนจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ธุร้งธุระอะไรกัน ทำเป็นไม่กล้าพูดตรง ๆ ปากแข็งเหลือเกิน

ตอนนั้นเพกัสก็นั่งลงอย่างแสนรู้ ลินจิค่อย ๆ พยุงตัวชุนขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอสูร จากนั้นจึงค่อยตามขึ้นไปนั่งอยู่ด้านหลัง

“เจ้าไม่นั่งหน้าล่ะ”

“อ้าว!”

แม้จะทำท่าประมาณว่า อะไรกัน แต่ลินจิก็เชื่อฟัง ลงจากหลังของเพกัสมาอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะสลับตำแหน่งย้ายไปนั่งอยู่ด้านหน้า โดยเว้นระยะห่างระหว่างตนกับชุนไว้หนึ่งคืบ

ใบหน้าของชุนแดงระเรื่อ ก้มลงมองช่องว่างนั้นเงียบ ๆ และไม่คิดจะพูดอะไร พลางมองไปยังเทพเจ้าที่นั่งอยู่ด้านหน้าอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ

“นี่ ๆ ช่วยพาพ่อของเจ้าไปหมู่บ้านโมโมะทีนะ ทางโน้นน่ะ”

ลินจิคุยกับเพกัส ชี้มือเฉียงไปด้านหลัง

“เจ้าเป็นพ่อม้าตัวนี้งั้นรึ”

“ป่าวครับ ผมหมายถึงคุณชุนไง”

ขณะนั้นเพกัสก็ลุกขึ้นมา สองมือของชุนก็โอบเอวลินจิไว้หลวม ๆ

“หา… ข้าไม่ได้เป็นพ่อม้าสักหน่อย”

เกือกเพลิงปะทุขึ้นมา ก่อนที่ร่างของทั้งสามจะทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าด้วยความเร็ว

“…!”

แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าคนข้างหลัง แต่ลินจิก็รู้สึกถึงมืออุ่น ๆ ที่สัมผัสเอวแน่นขึ้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด