ตอนที่ 25 ห้วงเวลาที่หยุดหมุน
ตอนที่ 25 ห้วงเวลาที่หยุดหมุน
“ดีใจที่ไม่เป็นอะไรนะครับ…คุณชุน”
ลินจิพึมพำนั่งข้างชุนซึ่งหมดสติ สองตามองท้องฟ้า ริมฝีปากผุดยิ้มอ่อน ๆ
แสงอาทิตย์กระทบร่างของเพกัสจากอีกฝั่ง เกิดเป็นเงาบดบังให้ทั้งสอง
แม้ความรู้สึกของลินจิจะคลุมเครือ เพราะบังเอิญเจอคู่หมั้นของชุน และต้องเห็นภาพบาดตาบาดใจ แต่ช่วงเวลาตามลำพังสองคนกับชุนนั้น ไร้ความเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายในราวกับเวลาหยุดหมุน ลินจิไม่อยากยึดติดกับภาพที่ผ่านมา เพราะคนเรามักทุกข์เสมอ เมื่อไม่อยู่กับปัจจุบัน ดังนั้นเขาจึงสลัดอารมณ์ด้านลบทิ้ง แม้จะไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ตาม
“…โอย”
เสียงดังอยู่ข้าง ๆ เหมือนชุนจะได้สติแล้ว
“อ๊ะ!”
ลินจิละสายตาจากท้องฟ้าทันที
“…อึก…โอย”
ชุนร้องโอดโอยเปลือกตาสั่นระริกก่อนจะลืมตา เมื่อเห็นเพกัสอยู่ตรงหน้า เขาก็ดีดตัวลุกคว้าดาบทันที
“อ้า! ไม่ได้นะครับคุณชุน เพกัสเป็นพวกของเรานะครับ”
ลินจิพุ่งตัวเข้าปราม ทว่าชุนซึ่งยังไม่ฟื้นตัวดีก็ทรุดเข่าล้มลง
“…”
ปลายดับปักผืนดิน เนื้อตัวสั่นเทิ้ม เมื่อมั่นใจว่าม้าอสูรไม่ใช่ศัตรู เขาจึงทิ้งตัวลงนั่งช้า ๆ ก่อนจะเก็บดาบเข้าฝัก
ลินจิมองบุรุษผู้ห้าวหาญในสภาพลูกหมาซมซานตาปริบ ๆ
จู่ ๆ ความคิดแปลก ๆ แล่นเข้ามาในสมอง รอยยิ้มร้ายกาจผุดขึ้นมาบนใบหน้า
แม้จะเป็นห่วงชุน แต่พอนึกถึงภาพชุนกับคู่หมั้นก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“อ๊ะ! ไม่ลุกขึ้นมาล่ะครับ”
“…!”
ชุนกัดฟัดแกร็ก ปวดไปทั้งตัว เห็นแค่นี้ไม่รู้หรือไงว่าต้องช่วยพยุง
“ตาบอดหรือไง! มัวยืนทำอะไรอยู่”
“อ๋อ…”
ลินจิแสร้งอ้าปากร้องเป็นตัว ‘O’ อย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะตอบว่า “ได้สิ”
พริบตาที่ยื่นมือออกไป ชุนก็ค่อย ๆ ยื่นมือข้างหนึ่งมา ทว่าลินจิก็ดึงแขนกลับในทันที
“โอ๊ย!”
ชุนล้มคว่ำอย่างโอดครวญ
“อ๊ะ!”
ลินจิเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ เขาแค่ต้องการแกล้งชุนให้เสียหลักเล็กน้อยเท่านั้น ไม่คิดว่าชุนจะหมดเรี่ยวแรงขนาดนี้
“นี่…เจ้า”
เส้นเลือดปนขมับปูดออกมาราวกับจะระเบิด ชุดกัดฟันกรอดพยายามลุกขึ้นมาแต่ก็ไม่สำเร็จ
…หน็อย ไอ้ตัวแสบไม่เห็นหรือไงว่าเขาบาดเจ็บอยู่ แบบนี้จงใจกลั่นแกล้งกันชัด ๆ
ขณะที่ลินจิยืนมองสีหน้าเกรี้ยวกราดของชุนอยู่นั้น ขาข้างหนึ่ง ก็ถูกกระชากจนล้มลงไป
“อ้า…”
เมื่อร่างเอนสู่พื้น แขนกำยำก็คล้องคอลินจิด้วยท่าเฮดล็อกทันที มือหนึ่งบีบเข้าที่แก้มจนริมฝีปากปริออกมา
“เมื่อกี้เจ้าทำอะไร…”
เสียงพูดกัดฟันฟังดูสยดสยอง
“อื้อ…อื้อ”
ปากเจ่อที่ถูกมือหนาบีบร้องขอความช่วยเหลือ
ตอนนั้นดวงตาสีเพลิงของเพกัสจับจ้องมายังทั้งสองอย่างสนใจ เกือกม้าห่อหุ้มเพลิงสว่างไสวพลันก้าวเข้ามา เพกัสนำหัวของมันมุดเข้าแทรกระหว่างกลางราวกับจะช่วยลินจิ
“…!”
ชุนเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ ปล่อยมือทันที ส่วนลินจิก็รีบตะเกียกตะกายออกมา อีกมือสัมผัสพื้นพยุงตัวไว้ อีกมือลูบคอหอบหายใจแฮ่ก ๆ
“ฮี่ ๆ”
เพกัสเดินเข้าหาลินจิใช้ใบหน้าคลอเคลีย ชุนเห็นเช่นนั้นจึงกอดอก ขมวดคิ้วมองทั้งสองอย่างสงสัย
“นี่…เจ้าน่ะ”
ลินจิยังไม่เลิกหายใจหอบ เมื่อครู่ชุนรัดคอเขาแน่นจนแทบจะขาดใจ
“นี่!”
เสียงตะคอกดังจนเพกัสกระดิกหู มันเหลียวมองมายังชุนราวกับไม่พอใจ
“ข้าไม่ได้เรียกเจ้า …เจ้าม้าหน้าโง่ ข้าเรียกเทพเจ้าต่างหาก!”
คิ้วหนาขมวดเกร็ง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ จังหวะนั้นเพกัสก็อ้าปาก
แสงสีแดงส่องประกายสว่างไสว
“…!”
“อ้า… ไม่ได้นะเพกัส”
ด้วยความตกใจ ลินจิจึงรีบกระโจนตัวไปกอดคอห้ามเพกัสทันที
“…!”
ใบหน้าข่มขู่ของชุนกลายเป็นหน้าเหวอ แผ่นหลังเอนพิงรูปปั้นเสือ กางแขนออกอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ดูไม่เป็นท่า
โชคดีที่เพกัสหยุดการโจมตี ในสภาพแบบนี้ ชุนซึ่งยังไม่ฟื้นตัวดีหากโดนเพลิงของม้าอสูรเข้าไปอาจไม่รอด
เมื่อตั้งสติได้ ชุนก็นั่งขัดสมาธิพร้อมกอดอก หลับตาก้มหน้าอย่างผู้ทรงภูมิ ก่อนจะเงยหน้าก็ทำท่าทีเป็นสุขุมดังเดิมเพื่อกลบเกลื่อนท่าทีตกใจเมื่อครู่ ทว่าใบหน้านั้นก็ยังซีดเผือดไม่หาย แม้ภายนอกจะแสร้งทำเป็นเข้มแข็งแบบผู้ใหญ่ แต่ภายในนั้นอาจบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ครับ”
ลินจิขานรับยิ้ม ๆ มองคนที่เพิ่งฟื้นป่วยอย่างขบขัน ก่อนจะเปลี่ยนมานั่งท่าเดียวกับชุน จากนั้นก็ปิดปากหลุดหัวเราะออกมาดัง “คิก”
“อะไร! เจ้าขำอะไร”
ใบหน้าซีดเผือดเมื่อครู่ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฝาด
“ก็แหม… ท่าตกใจเมื่อกี้ของคุณชุนมันตลกน่ะครับ”
ว่าแล้วลินจิก็ถอยห่างจากเพกัส ขยับก้นเข้าไปหาชุน กระทั่งเข่าชิดกัน
“ช่วยเขยิบไปห่าง ๆ ได้มั้ย”
เขาดันไหล่ลินจิเหมือนเขี่ยของสกปรกไปให้พ้น ๆ
“เหวอ ใจร้ายจัง”
ถึงจะอย่างนั้นเข่าของทั้งสองก็ยังติดกันอยู่ดี
“คราวนี้จะตอบข้าได้รึยัง ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ก็…”
คนตอบเงยหน้าพลางใช้นิ้วชี้จิ้มคางทำท่านึก
“ของแบบนี้มันต้องคิดกันด้วยเหรอไง!”
เสียงแข็งกระด้างราวกับคนไร้หัวจิตหัวใจ ดวงตาของชุนเปลี่ยนเป็นเย็นชา
สงสัยว่าลินจิคงจะเล่นมากไปเสียแล้ว
เมื่อชุนสังเกตเห็นบาดแผลบนเนื้อตัวของตนที่หายไป เขาก็พอเดาได้ว่าลินจิคงใช้เวทรักษาให้ตอนที่หมดสติ
“ยังไงก็ขอบใจที่ช่วย…”
“…”
ลินจิหันมามองเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาก็เงียบ
“อะไรกัน… เจ้าช่วยข้าไว้ไม่ใช่เหรอ”
คนพูดหลับตา กอดอกแล้วเบือนหน้าหนี ทำท่าประมาณว่า ‘เชอะ’ แต่ไม่ถึงกับสะบัดหน้าให้เห็นชัด
สำหรับลินจิแล้ว แม้จะเป็นคำขอบคุณของชุนซึ่งนานทีมีครั้ง แต่มันก็เป็นประเด็นที่เขาอยากเลี่ยง อันที่จริงจะปล่อยให้ชุนเข้าใจว่าตนเป็นคนช่วยเขาไว้ก็ได้ แต่ทำแบบนั้นมันก็คล้ายกับการขโมยความดีความชอบของคนอื่น อย่างที่เรียกว่า ‘ปาดหน้าเค้ก’
คิดได้เช่นนั้นลินจิจึงก้มหน้าถอนหายใจเสียงดังจนไหล่ห่อ
“เป็นอะไรของเจ้า”
คนรอคำตอบเปิดตาข้างหนึ่ง เหล่มองลินจิซึ่งมีท่าทีเปลี่ยนไป ตอนนั้นลินจิก็ตัดสินใจที่จะตอบได้แล้ว
“นี่… คุณชุน”
“…”
“…”
ทั้งสองมองตากันสามวินาที
แล้วลินจิก็เริ่มพูด
“ผมไม่ได้เป็นคนช่วยไว้หรอกครับ คุณยูต่างหาก”
ได้ยินชื่อคู่หมั้น ดวงตาของชุนก็เบิกกว้าง
“ยู… งั้นเหรอ”
ลินจิพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเบือนหนีไปทางอื่น พลางใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยพื้นเล่นอย่างเหม่อ ๆ
ปฏิกิริยาของชุนที่มีต่อชื่อของยูเมื่อครู่ ทำให้ลินจิพอจะเดาได้ว่า ‘ชุนเองก็คงคิดถึงยูสินะ’
ทว่าชุนกลับถามต่ออย่างไม่ใส่ใจกับชื่อนั้น
“แล้วเจ้าล่ะ…เป็นยังไงบ้าง”
“เอ๊ะ”
ลินจิเงยหน้าขึ้นมา เขาอารมณ์ดีขึ้นทันทีเมื่อได้ฟังน้ำเสียงนุ่มละมุนอย่างหาฟังได้ยาก ไม่บ่อยนักที่ชุนจะถามด้วยคำถามเช่นนี้
เมื่ออีกฝั่งมองมา ลินจิก็ก้มหน้าลงเหมือนเดิม พลางใช้ปลายนิ้วโป้งทั้งสองข้างเขี่ยกันไปมาบนตัก
“อุรามิมันชิงดวงจิตของเทพบุตรคิกิไปเป็นตัวประกัน จากนั้นก็สั่งให้คิกิปลดผนึกเพกัส เพื่อที่จะให้เพกัสลักพาตัวผมไปหามันน่ะครับ”
ว่าแล้วลินจิก็เงยหน้าขึ้นมา แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องกระทบใบหน้า ขี้เถ้าและเขม่าที่เปรอะเปื้อนปรากฏบนหน้าขาวอย่างชัดเจน ดวงตาทอประกายสีส้มอ่อน ๆ
“เป้าหมายของอุรามิคือการดูดกลืนทั้งผมและเพกัสเข้าไป แล้วตอนนี้อุรามิก็ยังไม่ตายครับ”
ชุนขมวดคิ้วแล้วมองไปยังเพกัส ลินจิเห็นแบบนั้นจึงตะลีตะลานรีบกางแขนอธิบาย
“พะ…เพกัสไม่ใช่ศัตรูนะครับ แถมยังช่วยตอนที่ผมตกลงมาจากถ้ำด้วย จู่ ๆ ตอนที่สู้กับอุรามิแล้วเกือบจะโดนดูดเข้าไปในโพรงปีศาจ ก็มีมังกรแสงสี่ตัวโผล่ออกมาจากดวงจิตของคิกิที่อุรามิกลืนเข้าไป”
ได้ยินเช่นนั้นชุนจึงเข้าใจ ดวงจิตของคิกิถูก ‘คลื่นมังกรธาตุคำราม’ ของตนทำลายล้างไปแล้ว
สายลมพัดใบไม้แห้งปลิวว่อนบนพื้น ตอนนั้นลินจิก็เล่าต่อ
“พอร่างของอุรามิสลาย ถ้ำก็ถล่มลงมา ถ้าเพกัสไม่ช่วยไว้ผมคงตกลงมาตายแล้ว”
มือหนาจับคางพลางหันมองม้าอสูรอย่างพิจารณาอีกครั้ง ก่อนจะเอาลงแล้วหันกลับมา
“แล้วเจ้าไม่เป็นไรมากใช่มั้ย”
ชุนเงื้อมมือไปด้านหน้า จังหวะนั้นลินจิก็ผงะถอยตัวเล็กน้อย อีกฝั่งชอบรังแกจนเขากลัวไปเองเสียแล้ว
“ขอ…ขอโทษ”
โทนเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน พร้อมเอามือลง
ลินจิส่ายหน้า ฝืนยิ้มตาปิด เขายังไม่ได้บอกเรื่อง ‘ผลึกดวงดาวสีม่วง’ ที่ยูครอบครองไว้ให้ชุนฟัง
ถ้าฝ่ายนั้นรู้ว่ายูวางแผนจะเข้าหาอุรามิตรง ๆ แล้วมอบผลึกดวงดาวชิ้นสุดท้ายให้ ชุนคงต้องคิดมากอย่างแน่นอน รู้แบบนั้น ลินจิจึงเลือกที่จะไม่พูดถึง เขาเปลี่ยนเรื่องทันที
“พอจะมีที่อื่นที่ดีกว่านี้มั้ยครับ ผมไม่อยากนอนในที่แบบนี้เลย”
ว่าแล้วลินจิก็กวาดสายตามองรอบ ๆ
ต้นไม้ตาย หญ้าแห้ง เศษหินปรักหักพัง ไม่มีตรงไหนที่พอจะนอนค้างคืนได้เลยสักนิด
“…”
ชุนมองตามสายตาของลินจิไป เขาก็คิดไม่ออกเช่นกัน
ขณะที่เงียบกันไปทั้งคู่นั้น ชุนก็เอ่ยขึ้นมา
“เดินไปเรื่อย ๆ ก่อนแล้วกัน”
ลินจิก้มต่ำลง ไม่ได้ตอบกลับไป
“นี่…เจ้าหนู”
ชุนเรียก สายตาเหมือนจะสื่อออกมาว่ามัวเหม่ออะไรอยู่ ดูเหมือนว่าชุนจะไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองกำลังนั่งโชว์กางเกงในสีขาวแบบโบราณ และที่สำคัญเป้ากางเกงก็ขาดชนิดที่เรียกว่าผ่ากลางลึกเข้าไปถึงด้านหลัง
…ช่วยไม่ได้แฮะ ลินจิถือเป็นอาหารตา เลยปิดปากเงียบ
จังหวะนั้นชุนก็งงว่าลินจิกำลังมองอะไร จึงก้มมองตาม ก่อนจะรีบเอามือปิดระหว่างต้นขา พูดด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านว่า
“เป็นผู้ชายเหมือนกัน เห็นนิดเห็นหน่อยไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
ถึงอย่างนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนจะลามไปถึงหูและต้นคอ
ลินจิขบขันในใจ แต่ก็พยายามสกัดกลั้นอารมณ์ไว้ เมื่อสังเกตดูดี ๆ ก็พบว่าไม่ใช่เพียงแค่เป้ากางเกงที่ขาด เสื้อผ้าของชุนก็เผยให้เห็นเนื้อหนังด้านในวับ ๆ แวม ๆ เช่นกัน แม้เพียงเล็กน้อยแต่ลินจิกลับรู้สึกว่า ช่างดูยั่วยวนกว่าเผยให้เห็นชัด ๆ เสียอีก
“กลับ!”
ใบหน้าแดงฝาดเท้าคางพูดอย่างเอาแต่ใจราวกับสาวน้อยที่กำลังกลบเกลื่อนความเขินอาย ทำให้ลินจิรู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาทันที
ขณะที่ชุนพยายามจะลุกขึ้นมา มือของเขาก็ไม่ได้ปกปิดรอยขาดที่เป้ากางเกงอีกต่อไป
ลินจิลุกขึ้นยืน จ้องมองด้วยแววตาทอประกาย แสร้งถามอย่างพอเป็นพิธีว่า…
“…ให้ผมช่วยมั้ยครับ”
“ไม่ต้อง!”
ปากว่าอย่างนั้นแต่ดวงตากลับแฝงว่า ‘ช่วยทีนะ’ ลินจิแอบหมั่นไส้จึงยืนมองอยู่เฉย ๆ และจงใจมองตรงจุดนั้นจนอีกฝ่ายถึงกับต้องถลึงตาใส่ เขายิ้มกริ่มขณะเฝ้ามองรอชุนเอ่ยคำว่า ช่วยหน่อยนะ แต่อีกฝ่ายก็ปากแข็ง
หึหึ สมน้ำหน้า แบบนี้ต้องดัดนิสัย
รอยยิ้มน่ารักของลินจิเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายทันที
เมื่อดูผู้ชายตะเกียกตะกายสมใจอยากอย่างซาดิสม์ ลินจิก็นึกสงสารขึ้นมา
“ไม่ไหวก็บอกเถอะครับ บอกว่าได้โปรดเถอะท่านเทพ พูดเสียงนุ่ม ๆ แบบน่าฟังด้วยนะครับ”
ชุนกัดฟันกรอด แย่งเขี้ยวขู่เหมือนหมาบ้า
“ไร้สาระ”
“เอาน่า ๆ เข้าใจแล้ว ๆ”
ลินจิตอบด้วยน้ำเสียงกวนประสาท ก่อนเข้าไปพยุงตัวอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไม่ถนัดนัก
จังหวะที่ชุนยกแขนพาดคอลินจิ ฝ่ามือก็สัมผัสเข้ากับหัวไหล่ที่เปิดเปลือยของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แม้จะเย็น แต่ลินจิก็รู้สึกอบอุ่น จึงยิ้มอ่อน ๆ ออกมา นึกในใจว่า …ต้องขอบคุณอุรามิที่ทำแขนเสื้อของเขาขาด
พอชุนลุกขึ้นมาได้ ขาก็ก้าวอย่างไม่ถนัดนัก ตอนนั้นลินจิก็เอ่ยปากเรียกม้าอสูร
“เพกัส…”
เพกัสยืนขึ้นมา ชุนหยุดกึกกลางคัน
“ไม่อันตรายหรอกครับ”
“อืม”
แก้มของชุนยังเป็นสีแดงอ่อน เขาพยายามขัดขืนเล็กน้อยตอนที่ลินจิพยุงไปใกล้เพกัส ดูเหมือนว่าตอนนั้นเขาจะสังเกตเห็นสายตาของลินจิที่กำลังจ้องมองจุดเดิม
“มองอะไรของเจ้า!”
“ว้าว! พระอาทิตย์สวยจัง”
ลินจิไม่ได้สนใจชุนที่กำลังขุ่นเคือง เขาส่งเสียงร้องอย่างร่าเริงพลางเงยหน้ามองพระอาทิตย์สีทองที่กำลังจะตกดิน
“รีบเถอะ! กลับไปหมู่บ้านโมโมะก่อน ข้ามีธุระ”
แม้ไม่บอกลินจิก็เดาออกว่าชุนจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ธุร้งธุระอะไรกัน ทำเป็นไม่กล้าพูดตรง ๆ ปากแข็งเหลือเกิน
ตอนนั้นเพกัสก็นั่งลงอย่างแสนรู้ ลินจิค่อย ๆ พยุงตัวชุนขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอสูร จากนั้นจึงค่อยตามขึ้นไปนั่งอยู่ด้านหลัง
“เจ้าไม่นั่งหน้าล่ะ”
“อ้าว!”
แม้จะทำท่าประมาณว่า อะไรกัน แต่ลินจิก็เชื่อฟัง ลงจากหลังของเพกัสมาอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะสลับตำแหน่งย้ายไปนั่งอยู่ด้านหน้า โดยเว้นระยะห่างระหว่างตนกับชุนไว้หนึ่งคืบ
ใบหน้าของชุนแดงระเรื่อ ก้มลงมองช่องว่างนั้นเงียบ ๆ และไม่คิดจะพูดอะไร พลางมองไปยังเทพเจ้าที่นั่งอยู่ด้านหน้าอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ
“นี่ ๆ ช่วยพาพ่อของเจ้าไปหมู่บ้านโมโมะทีนะ ทางโน้นน่ะ”
ลินจิคุยกับเพกัส ชี้มือเฉียงไปด้านหลัง
“เจ้าเป็นพ่อม้าตัวนี้งั้นรึ”
“ป่าวครับ ผมหมายถึงคุณชุนไง”
ขณะนั้นเพกัสก็ลุกขึ้นมา สองมือของชุนก็โอบเอวลินจิไว้หลวม ๆ
“หา… ข้าไม่ได้เป็นพ่อม้าสักหน่อย”
เกือกเพลิงปะทุขึ้นมา ก่อนที่ร่างของทั้งสามจะทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าด้วยความเร็ว
“…!”
แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าคนข้างหลัง แต่ลินจิก็รู้สึกถึงมืออุ่น ๆ ที่สัมผัสเอวแน่นขึ้น