บทที่24: พบเจอ
บทที่24: พบเจอ
คุกศิลาชั้นใต้ดินมืดสนิท กำแพงหินเย็นชื้นมีไอน้ำเกาะ อาจเพราะสร้างมากนาน ไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างที่ควรพอฝนตกหนักจึงรั่วซึมเข้า บางจุดตรงบันไดเป็นแอ่งน้ำขังเล็กๆ สองคน หนึ่งจอมเวท หนึ่งมือปราบย่ำเท้าก้าวเดินอย่างระวัง มันเงียบงันจนได้ยินเสียงสะท้อนจากย่างก้าวที่กระทืบน้ำ
หานตงอยู่ด้านหน้าใช้ชุดไฟที่มีส่องนำทาง ไฟดวงเล็กทำให้เห็นเบื้องหน้าที่สลัวรางได้เพียงหนึ่งช่วงแขน นอกจากนั้นมีแค่ความมืดมิด ยิ่งเดินลึกลงไปยิ่งคล้ายกำลังเข้าสู่ห้วงอนธกาลที่ไร้จุดสิ้นสุด
มีเสียงคนร้องโหยหวนอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนจนทำให้คนนำเผลอหยุดชะงัก เสียงนั่นดูคล้ายเป็นความทรมาน แต่พร้อมตั้งใจฟังชัดๆ มันกลับคล้ายเสียงคำรามของสัตว์ร้าย หานตงนิ่งงันลืมแม้กระทั่งควรหายใจ ไม่รู้ว่าเป็นความตื่นตระหนกหรือแปลกประหลาดที่กำลังวิ่งวนอยู่ในความคิด ไป่ยู่แตะบ่าเขาเบาๆ เพื่อให้มือปราบรู้สึกตัว
“ให้ข้านำเถิด หากเกิดอะไรขึ้น...”
“ข้าไหว ท่านไป่อย่ากังวล” หานตงกล่าวแทรกทั้งที่อีกฝ่ายพูดยังไม่ทันจบ
จากสภาพของไป่ยู่ที่ใบหน้าเปรอะเลือดจากการถูกทำร้ายและท่าทางอิดโรยเพราะไม่ได้กินอะไรมาเกือบวัน หานตงคิดว่าต่อให้ใจสู้แค่ไหนก็ไม่มีรับมือกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ นี่ยังไม่นับที่อีกฝ่ายไร้อาวุธหรือแม้กระทั่งยันต์ที่ใช้เป็นประจำ
สองคนก้าวเดินอีกครั้ง เพียงไม่นานก็ถึงบันไดขั้นสุดท้าย ที่พื้นมีน้ำท่วมสูงจนมิดเท้า สองคนหยุดยื่นอยู่เช่นนั้น หานตงยื่นมือไปสุดแขนเพื่อให้รู้ว่าเจ้าของเสียงนั่นอยู่ที่ใด ทว่าความมืดมิดกลับกลืนกินทุกสิ่งรอบข้างจนไม่อาจเห็นอะไร
ไป่ยู่จุ่มมือลงไปในน้ำ แล้วท่องคาถาสองสามคำก่อนที่จะยื่นปลายนิ้วชี้และกลางไปยังชุดไฟที่หานตงถืออยู่ มือปราบมองไป่ยู่ว่าจะทำอะไร เพียงสักพักจอมเวทดีดนิ้วทั้งสอง จนน้ำที่เปียกมือกระเด็นผ่านเปลวไฟกลายเป็นนกตัวเพลิงตัวเล็กๆ นับสิบตัว
ทั่วบริเวณพลันสว่างขึ้นทันที แม้ไม่มากแต่ก็ทำให้เห็นสภาพของมัน ภายในนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมโล่งกว้างมีน้ำขังท่วม ที่ด้านหนึ่งของกำแพงมีร่างของใครบางคนยืนอยู่ สองแขนของเขาชูสูง กางออกด้วยเพราะมือทั้งสองข้างถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ คนผู้นั้นผมเผ้ายุ่งเหยิง มีสภาพสกปรกราวกับสุนัขจรจัดที่ถูกล่ามไว้
ไป่ยู่ขยับนิ้วเพื่อบังคับนกไฟให้ไปรวมกันรอบบริเวณของคนผู้นั้นจึงได้เห็นหน้าชัดเจน จอมเวทถึงกลับตกตะลึง
หานตงเห็นอีกฝ่ายนิ่งงันคิดถามว่าเขาเป็นใคร ควรเข้าไปช่วยหรือไม่ ทว่ายังไม่ทันที่จะเอ่ยถาม เสียงของบ่าวเฝ้ายามด้านบนก็ตะโกนลั่นขึ้นมาก่อน
“อาไห่ อาซา ข้างบนมีพวกมันไหม”
“ไม่มี หาทั่วแล้ว” สองเสียงตอบประสานกัน พร้อมฝีเท้าที่ก้าวลงมาอย่างแตกตื่น
“มันอยู่ข้างล่างแน่ๆ สารเลวชั่วช้านัก บังอาจทำร้ายข้าคิดพาคนทำผิดหลบหนี”
“อาเจ๋อเอาคบไฟมา เตรียมอาวุธไว้ด้วย สภาพนั้นสู้พวกเราสามคนไม่ได้แน่”
“ข้าพร้อมแล้วลงไปกันเลย”
เสียงน้ำกระฉอกตามย่างก้าวดังกระชั้นถี่เข้ามาทีละนิด หานตงหันไปมองเห็นแสงไฟจากคบเพลิงที่พวกนั้นถือใกล้เข้ามา
“เอาไงดีท่านไป่ แบบนี้แย่แน่ๆ”
“ไม่มีอะไรต้องห่วง พวกเรารอดแล้ว”
“ทำไม”
“เพราะคนผู้นั้น” ไป่ยู่กล่าวพร้อมชี้ไปยังคนที่ถูกโซ่ล่ามไว้ หานตงยังไม่เข้าใจแต่ไม่มีเวลาให้อีกฝ่ายอธิบายแล้ว เมื่อบ่าวเฝ้ายามทั้งสามลงมาถึงชั้นล่าง
“ไอ้หมาลอบกัด เจ้าทำข้าเจ็บนักนะ ดูซิว่าสู้กันตรงๆ เช่นนี้ เจ้ายังจะทำร้ายข้าได้ไหม!?” อาเจ๋อตะคอกดังอย่างเดือดดาล
ใช้ดาบในมือชี้ไปที่หานตงและไป่ยู่ เพราะทั้งเจ็บและเสียหน้า หากไม่เอาคืน เกรงว่าอาไห่กับอาซาที่เป็นเพื่อนบ่าว อาจนำความฟ้องคุณชายใหญ่และทำให้ถูกมองได้ว่าละเลยหน้าที่ได้
หานตงรั้งไป่ยู่ให้หลบที่หลังตน อาเจ๋อง้างดาบแล้วพุ่งเข้าใส่ มือปราบแขนเดียวใช้ฝ่ามือยันมือของอีกฝ่ายที่กำดาบฟาดลงให้หยุดไว้กลางคัน ก่อนจะผ่อนแรงแล้วพลิกมือจับข้อมือของอาเจ๋อแล้วก้าวถอยหลังออกแรงจากสะโพกกระชากให้คู่ต่อสู้เสียหลักโถมตัวมาข้างหน้าอย่างเต็มแรง
ร่างของอาเจ๋อถลาจมลงไปในน้ำขัง แม้จะสูญเสียวรยุทธ์ไปจนเกือบสิ้น แต่แค่ท่าพื้นฐานที่ไว้ใช้รับมือพวกบ่าวที่มีเพียงแค่กำลัง หานตงรับมือไหวแน่นอน
อาเจ๋อยันตัวขึ้นยิ่งเดือดดาล ตั้งท่าจะลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่ชายที่ถูกล่ามไว้ส่งเสียงร้องอีกครา ดึงความสนใจของทุกคนให้หันไปมอง อาเจ๋อที่ยังนั่งในน้ำอยู่ใกล้ตัวสุด เมื่อหันไปเห็นถึงกับผวากลัวถดถอยออกมาอย่างแตกตื่น
อาซากับอาไห่นึกแปลกใจ เพราะไม่รู้ว่ามีคนถูกกักขังไว้ที่แห่งนี้ หนึ่งในสองคนยื่นคบไฟเข้าไปใกล้เพื่อดูหน้าชัดๆ ก่อนจะต้องอุทานออกมาอย่างตกใจ
“คุณชายเล็ก!”
..........................................
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นทั่วนภา เฉินหลินชะงักเท้ายกสองมือขึ้นปิดหู ดรุณีน้อยไม่ชอบอากาศเช่นนี้
“คุณหนูหม่า นั่งลงก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเขาก็มา” ซาเถียนกล่าวขึ้น
เหตุเพราะเห็นท่าทางของนางกระวนกระวายใจเดินไปมาอยู่ในห้องโถงใหญ่จนทำให้ใครหลายคนพลอยเวียนหัว
เวลานี้หม่าจงกับงักหลิว พร้อมด้วยอาไห่ที่มาแจ้งข่าวและเจ้าหน้าที่มือปราบอีกสองสามนาย กำลังเร่งรุดไปยังคุกศิลา เพื่อรับตัวงักโยว ไป่ยู่และหานตงมา
ทุกคนในห้องโถงใหญ่ต่างมีท่าทีไม่ต่างกับเฉินหลิน แต่แสดงออกไม่เหมือนกัน ท่านย่าฝูกับเสี่ยวจือที่รู้ข่าวจากบ่าวคนหนึ่งซึ่งงักหลิวให้ไปบอก รีบมาที่โถงใหญ่เพื่อรอพบคนที่หายตัว งักฮัวที่ยังคงอยู่ในอาการมึนงง สับสนจำต้นชนปลายไม่ได้ตั้งแต่พบว่าตัวเองอยู่ในป่า ก็ยังผลัดเปลี่ยนชุดแล้วมานั่งรอข่าวด้วยเช่นกัน โดยมีเสี่ยวจือคอยดูแลถามไถ่ไม่ห่าง
ซาเถียนขอร้องให้งักหลิวอนุญาตเปิดห้องพักหนึ่งให้อาเหวินได้เข้าไปนอนพัก ก่อนจะให้เจ้าหน้าที่มือปราบอีกคนฝ่าฝนไปตามหมอมาเพื่อรักษา
เฉินหลินนั่งลงตามคำของเจ้าเมือง แต่ยังไม่ถึงครึ่งก้านธูป ดรุณีน้อยก็ผุดลุกขึ้นเดินวนไปมาอีกครั้ง นางนึกโทษหม่าจงอยู่ในใจที่ห้ามไม่ให้ตามไปด้วย ซาเถียนมองแล้วได้แต่ทอดถอนใจล่อยเลยตามเลยให้นางเดินอยู่เช่นนั้นจนกว่าจะพอใจ
และช่วงเวลาที่รอคอยก็มาถึง เมื่องักหลิวเดินนำเข้ามาในห้องโถงใหญ่ โดยมีอาเจ๋อกางร่มให้ ส่วนงักโยวที่ตามมาติดๆ ก็มีอาไห่กับอาซาคอยประคองดูแลอย่างใกล้ชิด ท่าทางของเขา หานตงเป็นคนเข้ามาถัดไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่มือปราบ และสุดท้ายคือโจวหม่าจงกับไป่ยู่
ทุกคนในห้องโถงต่างลุกขึ้นเพื่อจะเข้าไปดูอาการของงักโยว แม้กระทั่งท่านย่าฝูยังพยายามเช่นนั้น ซาเถียนและบรรดาลูกน้องยังเดินเข้าไปหม่าจง
มีแค่เฉินหลินเท่านั้นที่สายตาจับจ้องไปยังไป่ยู่เพียงคนเดียว
ใบหน้าที่เคยเกลี้ยงเกลา บัดนี้มีรอยช้ำและคราบเลือดติดอยู่ ทั้งมุมปาก ใต้ตาและข้างแก้ม เฉินหลิน เดินเข้าไปหาไป่ยู่อย่างลืมตัว สองคนสบตากัน
จอมเวทเมื่อได้เห็นคนที่ตนนึกห่วง พลันรู้สึกแปลกใจ เพราะหม่าจงไม่ได้บอกว่าดรุณีน้อยอยู่ที่นี้ด้วย ใจเขานึกอย่างถามว่านางมาได้เช่นไร แล้วสบายดีไหม ทว่าก่อนจะได้เอ่ยวาจาถามสารทุกข์สุขดิบ เฉินหลินเอื้อมมือมาจับที่รอบแผลตรงใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา
ดวงหน้าดรุณีน้อยส่อแววโศกศัลย์ เพียงสักพักหยดน้ำก็ไหลจากตาลงที่สองแก้ม ไป่ยู่ตกใจ พลันเฉินหลินเข้ากอดเขาไว้แน่นแล้วร้องสะอื้นเสียใจราวกับเด็กตัวน้อย ทุกคนหยุดทุกการกระทำแล้วหันมามอง ไป่ยู่ในเวลานี้ไม่ได้สนใจสายตาพวกนั้น ดังเช่นที่พวกเขาในตอนแรกไม่ได้สนใจในตน
คนที่เขาสนใจมีเพียงดรุณีน้อยตรงหน้า ไม่รู้ทำไม อยู่ๆ ไป่ยู่ถึงได้รู้สึกดีใจที่ได้พบนางและยิ่งอบอุ่นในความรู้สึกเมื่อนางโผเข้ากอดเช่นนี้ เขาลูบหลังศีรษะนางแผ่วเบาพลางระซิบบอก
“ไม่เป็นไรแล้วเฉินหลิน ข้าไม่เป็นไรแล้ว ดีใจจังที่ได้พบกัน”
ดรุณีน้อยยังคงสะอื้นอยู่เช่นนั้น ทุกคนมองนานจนคิดได้ว่าควรใส่ใจกับสิ่งที่ควรใส่ใจมากกว่าจึงเลิกมอง มีเพียงงักหลิวที่ยังคงทอดสายตาด้วยอาวรณ์
นานเท่านาน...
จนเฉินหลินยอมสงบใจ จนหม่าจงนั่งรอเคียงข้างซาเถียน จนงักหลิวยอมนั่งสงบอยู่ข้างๆ ท่านย่าฝูและงักฮัว เสี่ยวจือก็ยังกล่อมให้งักโยวไปเปลี่ยนชุดแต่งตัวใหม่ไม่ได้ เขาไม่ยอมแม้กระทั่งจะพูดอะไรสักคำเลยด้วยซ้ำ
สิ่งที่งักโยวทำ มีเพียงการนั่งนิ่งขดตัวด้วยท่าทีสั่นเทาหวาดกลัวต่อบางสิ่งอยู่ที่พื้นมุมห้องโถงใหญ่ เวลานี้คนในเหลือเพียงที่กล่าว ส่วนคนอื่นๆ ถูกบอกให้ไปพักผ่อนได้ สาเหตุเพราะงักหลิวต้องการความเป็นส่วนตัวในการคลี่คลายปัญหา และไม่อยากให้ใครอื่นเห็นสภาพน่าสมเพชของน้องตัวเองเช่นนี้
“แบบนี้เห็นจะไม่เข้าทีนะ หรือจะให้ตามหมอที่กำลังดูอาเหวิน มาดูอาการของคุณชายเล็กก่อน” ซาเถียนกล่าวขึ้น
งักหลิวตวัดสายตามองอย่างแข็งกร้าว ซาเถียนถอนหายใจรีบสงบคำ ทว่าหม่าจงยังมองอย่างประเมินสถานการณ์ สองคนสบตากันโดยไม่ตั้งใจ คุณชายใหญ่สกุลงักพลันรู้สึกพลุ่งพล่านในใจอีกหน เพราะนึกถึงสองฉาดที่โดนอีกฝ่ายตบได้ เช่นนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืน สายตายังมองไปที่หม่าจง
“ตอนนี้พบตัวงักโยวแล้ว ข้าว่าพวกท่านเชิญไปพักผ่อน พอฝนหยุดก็เชิญกลับอำเภอไปจะเป็นการสมควร”
“ตะ แต่ข้ายังไม่ได้สอบถามเรื่องราวจากคุณชายเล็ก เกี่ยวกับเรื่องที่เกิด”
“ยังต้องถามอะไรกับคนของข้า มันต่างหากที่เจ้าควรเค้นเอาความ” งักหลิวชี้ไปที่ไป่ยู่
“เขาคือ??” ซาเถียนกล่าวสงสัย
“คนร้ายอีกคนที่ฆ่น้องชายข้าและจับงักโยวไปขังไง!” สิ้นคำหม่าจงตบโต๊ะเสียงดังจนพังทลาย ทุกคนต่างตกใจ
“ข้าอดทนกับเจ้ามามากแล้วนะ แต่เจ้าก็ยังพูดจาเหลวไหล” หม่าจงกล่าวเสียงเย็น
“เหลวไหลอะไร!”
“เจ้าบอกก่อนนี้คนลงมือกระทำทุกอย่างมีเพียงคนๆ เดียวและกลายเป็นศพให้ใต้เท้าเถียนไปจัดการ มาตอนนี้กลับคำบอกมีคนร้ายอีกคน วาจาเช่นนี้ไม่เรียกเหลวไหลจะให้เรียกอะไร!!” หม่าจงตวาดดัง จนงักหลิวผงะถอย
“ก็ตอนนั้นน้องข้ายังหาตัวไม่เจอ หากไม่ขังมันไว้เพื่อเค้นเอาความจริง เกิดพวกเจ้าปล่อยให้มันหนีไป ข้าจะทำยังไง!!!”
“การกระทำของเจ้ามันเป็นการขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ มีหัวคิดหรือเปล่า!!!!”
“เพราะมีหัวคิดไง ข้าถึงทำเช่นนี้ ข้าเสียน้องชายไปแล้วคนหนึ่ง จะให้เสียน้องชายอีกคนไปได้ยังไง!!!!!”
หม่าจงกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายอย่างแรง
“โดยการที่เจ้าทรมานเขาทั้งที่รู้ชัดอยู่กับใจว่าเขาไม่ผิดเช่นนั้นหรือ ไอ้คนสารเลว!!!!!!”
ซาเถียนรีบลุกจากที่นั่งมาห้าม แต่ก็สู้แรงหม่าจงไม่ไหว ไป่ยู่เดินเข้าไปหาแล้วจับบ่าของหม่าจงไว้เป็นเชิงห้าม
“แต่มันทำให้ไป่หลงตายนะ!”
ไป่ยู่ส่ายศีรษะเบาๆ หม่าจงสูดหายใจลึกแล้วยอมปล่อยมือ งักหลิวจัดคอเสื้อของตัวเองให้เข้าที่ สีหน้าหยิ่งผยองยั่วโทสะยิ่ง
ท่านย่าฝูหน้านิ่วสักพักก็รู้สึกเจ็บตรงอกขึ้นมาอีก งักฮัวที่นั่งอยู่ใกล้จึงงรีบลุกไปลูบอกให้อย่างเป็นห่วง
ไป่ยู่จะเข้าไปดูอาการนางให้ แต่งักหลิวรั้งแขนเขาไว้ จอมเวทที่ยังอ่อนแรงอยู่จึงเข่าทรุดลงเล็กน้อย เฉินหลินรีบเข้ามาประคอง งักหลิวจึงยอมปล่อยมือ นางส่งสายตามองคุณชายใหญ่อย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันมาสนใจไป่ยู่
“เป็นอะไรไหม”
“ไม่เป็นไร ข้าไหว” ไป่ยู่กล่าวก่อนจะพยายามทรงตัวยืนให้เป็นปกติ เขาหันไปมองงักเจียงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ท่านย่าฝูเพราะห่วงใย หนึ่งคนหนึ่งวิญญาณมองหน้ากัน ไป่ยู่พยักหน้าถอนหายใจก่อนจะกล่าวขึ้น
“ตอนนี้ท่านพบตัวงักโยวแล้ว คงยืนยันได้แล้วว่าข้าไม่ใช่คนร้าย”
“เหลวไหล! เจ้าเอาอะไรมาเป็นข้ออ้าง ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ลักพาตัวงักโยวไปขังไว้ที่คุกศิลานั่น”
“แค่สถานที่ที่พบคุณชายเล็กก็เพียงพอแล้ว ข้าเป็นเพียงคนนอกของที่นี่ มาถึงก็นอนสลบ ฟื้นมาก็อยู่เพียงแค่ในห้องพักของตัวเองกับพี่ชาย เดินไปไกลสุดก็จวนหลังนี้ที่เพื่อมารับประทานอาหารตามคำเชิญ ไม่ต้องพูดถึงคุกศิลานั่น ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหอคอยนั่นเป็นคุก กระทั่งเดินทั่วคฤหาสน์สกุลงักข้ายังไม่เคย แล้วจะเอาคุณชายเล็กไปขังไว้ที่นั้นได้เช่นไร”
“เจ้า... เจ้า... เจ้าอาจจะบังเอิญพบว่ามันเป็นคุกก็ได้ หอคอยนั่นก็ใช่ว่าจะยืนไกลจวนที่เจ้าพักฟื้น” งักหลิวไม่ยอมต่อข้อจำนน
“พอเถอะคุณชายใหญ่ ที่เราควรกระทำตอนนี้คือการคลี่คลายปริศนา ไม่ใช่ดื้อรั้นเอาชนะ”
“ที่ข้ายืนยันว่าเป็นเจ้านี่แหละคือการคลี่คลายปริศนา!” งักหลิวรั้งหัวชนฝา ไป่ยู่สุดจะต่อคำ
ทว่าช่วงขณะนั้นเอง
“ท่าน... ท่านนั่นแหละ... ท่านนั่นแหละที่ขังข้าที่นั่น”
อยู่ๆ งักโยวก็ร้องเสียงสั่นปนสะอื้นทั้งที่นั่งคุดคู้อยู่มุมห้อง คุณชายเล็กของตระกูลชี้ไปที่พี่ชายตัวเองแล้วยืนยันคำเดิมซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นวนเวียนไปมา
งักหลิวดวงตาเบิกโพลง คิดคำใดไม่ออกว่าจะกล่าวยังไง เขาไม่คิดด้วยซ้ำ ว่าน้องชายตัวเองจะมีสติปัญญาเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ ท่านย่าฝูหอบหายใจอย่างยากลำบาก สองมือเกร็งแน่นที่หน้าอก ไป่ยู่รีบเข้าไปสกัดจุดจนนางสลบไป
“เจ้าทำอะไรท่านย่าข้า!” งักหลิวชี้หน้าจะเอาเรื่อง แต่หม่าจงประชิดตัวเขาอย่างเท่าทัน
“ข้าว่าแล้วว่าทำไมเจ้ารั้นจะให้ไป่ยู่เป็นแพะ ที่แท้คนสารเลวก็เป็นเจ้า”
“มะ ไม่ ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ ข้าไม่ได้ทำ อาโยว เจ้าพูดอะไรของเจ้า ไอ้น้องปัญญานิ่ม รีบบอกทุกคนเร็วว่าข้าไม่ได้ทำ”
“ท่านนั่นแหละ เป็นท่านนั่นแหละที่ทรมานข้า” งักโยวกรีดร้องสุดเสียงก่อนที่จะสลบไปอีกคน เสี่ยวจือที่อยู่ใกล้รีบประคองเข้าไว้ทันที
ไป่ยู่มองสภาพที่เกิดขึ้นแล้วหันไปมองวิญญาณของงักเจียง จึงได้เห็นว่ากระทั่งคนที่ตายแล้วยังตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน...