บทที่ 7 สาวน้อย ราชาของเจ้ามาเยือนแล้ว
บทที่ 7 สาวน้อย ราชาของเจ้ามาเยือนแล้ว
บนใบหน้ายังหลงเหลือคราบน้ำตาอย่างชัดเจน น้ำเสียงโอหังไม่อาจปกปิดเสียงสะอื้นในจมูกได้ แต่คำพูดที่สือเสี่ยวไป๋กล่าวออกไป “สาวน้อย จงทำสัญญากับข้า” ด้วยท่าทางจริงจัง หลี่จือถึงกับชะงักฝีเท้าอย่างไม่รู้ตัว พร้อมเริ่มไตร่ตรองความหมายแฝงของถ้อยคำนี้
สือเสี่ยวไป๋กล่าวต่อไปอีกว่า “กรีดโลหิตทำสัญญากับข้า ยอมเป็นผู้รับใช้แห่งราชา แล้วเจ้าจะได้รับพลังหนึ่งในล้านส่วนจากตัวข้า”
เมื่อเห็นสือเสี่ยวไป๋กำลังจะพูดเรื่องไร้สาระยืดยาวต่อไปอีก หลี่จือได้สติขึ้นมาทั้งโกรธทั้งตลก ยังจะเรียกว่าราชาอีกหรือเห็นชัดๆ ว่าเจ้าเป็นเด็กขี้ขลาดเจ้าน้ำตา เมื่อคิดเช่นนี้จึงปราดสายตาเยาะเย้ยใส่เขา
สือเสี่ยวไป๋ยกมือเช็ดน้ำตา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ร่างของข้าแหลกสลายไปกับห้วงอากาศจนมาโผล่ยังโลกใบนี้ โชคร้ายที่ต้องสูญเสียพลังในร่างจนสิ้น แม้วันนี้จะอยู่ในร่างมนุษย์ธรรมดา แต่สักวันหนึ่งจะสามารถครอบครองโลก สาวน้อย เจ้าจงอย่าได้พลาดโอกาสดีที่สวรรค์หยิบยื่นให้เช่นนี้”
หลี่จือกรอกตามองบน ภาพลักษณ์ของสือเสี่ยวไป๋ในความรู้สึกของเธอ นอกจากเจ้าจะเป็นเจ้าเด็กขี้แยขี้ขลาดแล้ว ยังพ่วงด้วยคำว่าเจ้าโง่อีกด้วย ปกติด้วยนิสัยของหลี่จือเวลาที่เจอเจ้าโง่แบบนี้มักจะด่าให้ไสหัวไป แต่เจ้าโง่ผู้นี้กลับเป็นผู้มีพลังจิตพิเศษหนึ่งในหมื่น เป็นความสามารถพิเศษที่ทุกองค์กรต่างแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง และเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เธอเป็นผู้ชนะในการเดิมพันครั้งนี้
แม่งเอ้ย โลกนี้มีความยุติธรรมอยู่หรือเปล่า ?
หลี่จือสบถอยู่ในใจ แสร้งทำไม่ได้ยินที่สือเสี่ยวไป๋พูด กล่าวแทรกแนะนำตัวเอง “อะแฮ่ม ฉันหลี่จือแห่งวังทักษิณ ส่วนข้างๆ นี้คือท่านอาจารย์อีเฉวียน พวกเรามาจาก [ ไกอา ] พวกเรา...”
“ช้าก่อน” สือเสี่ยวไป๋กล่าวอย่างตื่นเต้น “[ ไกอา ] ที่เจ้าพูดถึงนี้ หมายถึงเทพีแห่งพิภพไกอาใต้บัลลังก์ของข้าอย่างนั้นหรือ?”
“อะไรนะ แม้แต่ [ ไกอา ] เจ้าก็ไม่รู้จักอย่างนั้นเหรอ?” ปฏิกิริยาตกใจของหลี่จือรุนแรงกว่าสือเสี่ยวไป๋เสียอีก เธอกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “บนดวงดาวแห่งนี้ยังมีคนไม่รู้จักชื่อเสียงของพวกเรา [ ไกอา ] ด้วยหรอ!หรือว่าเจ้าจะไม่ใช่คนบนโลกนี้จริงๆ ?”
สือเสี่ยวไป๋ยิ้มเย้ยขึ้นทันที “เหอะๆ สาวน้อยในที่สุดเจ้าก็ได้สัมผัสประตูแห่งสัจธรรมแล้ว”
เมื่อเห็นว่าหัวข้อสนทนาของสองคนนี้เลยเถิดไปไกล อีเฉวียนกระแอมไอพูดตัดว่า “[ ไกอา ] คือองค์กรฮีโร่ระดับโลก”
“องค์กรฮีโร่!” เมื่อได้ยินคำว่าฮีโร่นัยน์ตาของสือเสี่ยวไป๋ก็พลันสว่างวาบ แต่ทันใดนั้นก็ก้มหน้าลงแล้วจมเข้าสู่ห้วงความคิด พูดพึมพำกับตัวเอง “ถ้าเป็นองค์กรฮีโร่ เช่นนั้น [ ไกอา ] ก็คือคู่แข่งของข้า ไม่สิ บางทีอาจจะเป็นศัตรูตามโชคชะตา!”
หลี่จือได้ยินคำพูดนั้นพลันรู้สึกผิดหวังอย่างมาก ที่แท้เจ้าโง่นี่ก็ถูกองค์กรอื่นดึงตัวไปก่อนแล้ว คิดดูก็เป็นไปได้ เพราะถึงแม้จะเป็นเจ้าโง่คนหนึ่ง แต่อย่างไรเสียก็เป็นผู้มีพลังจิตพิเศษ คนที่คิดอยากจะแย่งตัวไปมีอยู่มากมาย
“ทีมฮีโร่เสี่ยวไป๋ของข้าแม้ว่าในตอนนี้จะมีสมาชิกเพียงสองคน แต่ไม่นานจะต้องตระหง่านบนโลกใบนี้ ถึงเวลานั้นหาก [ ไกอา ] กล้าขวางทางของข้าแล้วล่ะก็ อย่ามาตำหนิว่าข้าไร้ความปราณีก็แล้วกัน” สือเสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้น อย่างฮึกเหิม
ผ่านไปสองวินาทีหลี่จือจึงแสดงปฏิกิริยาออกมา ในความรู้สึกลึกๆ คิดว่าตัวเองเจอคนปัญญาอ่อน แต่สิ่งที่เห็นคือสือเสี่ยวไป๋ยังคงมีท่าทางจริงจัง เหมือนกับเวลาที่มีคนโยนก้อนหินเข้าใส่แล้วพูดว่ามันคือระเบิด เห็นอยู่ว่าโง่เขลาสิ้นดีแต่การแสดงออกบนใบหน้าของคนผู้นั้นกับดูเข้มขรึมจริงจังราวกับว่าก้อนหินนั้นคือระเบิดจริงๆ
ทันใดนั้นความอดทนอันน้อยนิดของหลี่จือก็หมดลง และระเบิดอารมณ์ออกมา เธอยื่นมือไปคว้าคอเสื้อสือเสี่ยวไป๋ แล้วกล่าวอย่างโมโห “ชั้นชวนนายมาเข้าร่วมกับ [ ไกอา ] นายจะไปไหม?”
สือเสี่ยวไป๋ตะลึงงั้น เงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาชาญฉลาดคู่นั้นของหลี่จืออย่างเงียบๆ เป็นการสบตาที่ยาวนาน
หลี่จือพลันนึกถึงมุกตลกมอบจูบแรกเมื่อครู่นี้ขึ้นมา คำพูดล้อเล่นพวกนี้หลี่จือไม่มีทางคิดเป็นจริงแน่นอน ขนาดการเดิมพันเธอยังกล้าแสร้งไม่รู้ เช่นนั้นคงไม่ต้องพูดถึงมุกตลกที่แม้แต่คนในทีมสักคนยังไม่รู้จักนี้เลย แต่ตอนนี้ที่สบตากับนัยน์ตาสุกสว่างคู่นั้นของสือเสี่ยวไป๋ ในใจของเธอกลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
ทันใดนั้น สือเสี่ยวไป๋เอ่ยถามเสียงเบา “เข้าร่วมกับ [ ไกอา ] แล้วจะได้เป็นฮีโร่ใช่ไหม?”
หลี่จือตะลึง คลายมือออก กล่าวตอบอย่างสุขุมว่า “ในทางทฤษฎีนั้นใช่ แม้ว่าเด็กใหม่จำเป็นจะต้องผ่านการฝึกฝนและทดสอบในช่วงหนึ่งก่อนจึงจะกลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของ [ ไกอา ] แต่สำหรับนายผู้มีพลังจิตพิเศษไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่โตอะไร สำหรับสมาชิกอย่างเป็นทางการของ [ ไกอา ] จะต้องผ่าน ‘การทดสอบฮีโร่’ ในอัตราส่วน 90% ขึ้นไป หึ! ขอเพียงนายขยันสักหน่อย การเป็นฮีโร่ก็มีความเป็นไปได้สูงมาก”
หลี่จือเสริมอีกประโยคในใจว่า “เพียงแต่ฮีโร่นั้นมีการแบ่งขั้น คนโง่ทึ่มอย่างเจ้าอย่างมากที่สุดก็คงได้แค่ขั้น F อันดับท้ายๆ”
เมื่อสือเสี่ยวไป๋ได้ฟังก็นิ่งไป เพราะเขาไม่เข้าใจ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะในใจของสือเสี่ยวไป๋มีแผนของตัวเองอยู่แล้ว เขาจึงถามต่อว่า “หลังจากเข้าร่วมกับ [ ไกอา ] แล้ว ข้า...ข้าจะสามารถเอาชนะปิศาจตนนั้นได้หรือไม่ ?”
หลี่จือมองเห็นความปรารถนาแสนเจ็บปวดในดวงตาของสือเสี่ยวไป๋อย่างชัดเจน
“เจ้าโง่นี่เวลาไม่โง่ก็น่ารักนะเนี่ยะ”
ในใจหลี่จือคิดเช่นนี้ ใบหน้ากลับแสดงออกถึงความจนใจ เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็นชา “ชิ! ก็แค่ปิศาจระดับ F ที่เป็นขยะจนไม่รู้จะขยะยังไง ให้ใครสักคนใน [ ไกอา ] มาเก็บกวาดง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย”
แม้ว่าจะดูโอ้อวดเกินไปเสียหน่อย แต่สำหรับหลี่จือแล้วซาฮัตตัน มันก็อ่อนแอจริงๆ ยิ่งอยู่ต่อหน้าอีเฉวียนแล้วยิ่งต้องหลบหลีกและหนีไปเท่านั้น
“ข้าคิดว่าคือความสิ้นหวังมาโดยตลอด ที่แท้กลับอ่อนแอมากขนาดนี้...อ่อนแอเสียจนน่าหมดหวังเฮ้อ...”
ในใจฉือเสี่ยวไป่คิดเช่นนี้ ก้มหน้าเงียบอยู่พักหนึ่งจึงกล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้าจะเข้าร่วมกับ [ ไกอา ] ข้าต้องการเป็นฮีโร่”
เสียงพูดนั้นเบามาก คล้ายกับเสียงที่ออกจากทางจมูก
แววตาหลี่จือค่อยๆ อ่อนโยนขึ้นบ้าง แม้จะเป็นเจ้าโง่แต่ก็ยังเป็นแค่เด็กน้อยน่ะนะ ในฐานะพี่สาว ต่อไปต้องอ่อนโยนกับเขาให้มากเสียหน่อย
“อุวะฮะฮ่าฮ่า”
สือเสี่ยวไป๋พลันแหงนหน้าหัวเราะลั่น “สักวันหนึ่ง ข้าจะทำให้ [ ไกอา ] แห่งโลกใบนี้กลับมาอยู่ใต้บัลลังก์ของข้าเหมือนเดิมให้ได้ หัวเราะสิ ตื่นเต้นสิ สาวน้อย ราชาของเจ้ามาเยือนแล้ว !”
ในที่สุดหลี่จือก็ทนไม่ไหว ซัดกำปั้นลงบนศีรษะสือเสี่ยวไป๋อย่างแรงไปหนึ่งหมัด
“โอ๊ย!” สือเสี่ยวไป๋ร้องโอดครวญขึ้นทันที ถอยหลังไปหลายก้าวพลางตะโกนว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าคิดจะทำลายมงกุฎล่องหนแห่งราชาของข้า สาวน้อย หรือว่าเจ้าเป็นศัตรูที่องค์กรมืดส่งตัวมา”
“ศัตรูบ้าอะไร เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”
......
สนธยาค่อยๆ เลือนหาย ราตรีค่อยๆ คืบคลาน สือเสี่ยวไป๋ลูบศีรษะที่ปวดร้าว โดยมีหลี่จือยืนหน้าบึ้งตึงอยู่ถัดออกไปไม่ไกล
“พี่ชาย ผมต้องกลับบ้านแล้ว” เด็กอ้วนกอดลูกฟุตบอลเอ่ยขึ้น
“พวกเราเองก็ต้องแยกย้ายแล้วเช่นกัน”อาจารย์อีเฉวียนกล่าวเตือนสติ
สือเสี่ยวไป๋พยักหน้า เดินไปยังเด็กอ้วนมองดูใบหน้ากลมที่เช็ดคราบน้ำตาจนแห้งแล้ว แต่น้ำมูกยังคงย้อยจากจมูกเช่นเดิม พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ชื่อ บอกชื่อของเจ้ากับข้า ราชามารน้อย !”
เด็กอ้วนใช้หลังมือปาดเช็ดน้ำมูก กล่าวเสียงเล็ก “จูจู[1] (ไผ่มุข)”
สือเสี่ยวไป๋จ้องมองเด็กอ้วนอย่างลึกซึ้งแล้วกล่าวเสียงเข้ม “จูจู(หมูน้อย) จำไว้ให้ดี เจ้าคือสมาชิกคนที่สองของทีมฮีโร่เสี่ยวไป๋ตลอดไป”
“อื้ม”
เด็กอ้วนพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น
[1] จูจู 朱竹 ชื่อของเด็กอ้วนแปลว่าไผ่มุข ซึ่งเสียงคล้องกับ 猪猪 ที่แปลว่าหมูน้อย