บทที่ 7 สาวน้อยหลังบานหน้าต่าง
บทที่ 7 สาวน้อยหลังบานหน้าต่าง
พอเห็นร่างของซอมบี้กลายพันธุ์ล้มลง เย่เลี่ยนก็รีบกระโจนเข้ามาและควักก้อนเหนียวหนืดที่อยู่ในสมองออกมาทันที
ระดับความเร็วของมือเย่เลี่ยนในตอนนี้เรียกได้ว่าเธอสามารถควักเจ้าก้อนเหนียวหนืดนั้นออกมาจากสมองได้โดยตัวเองไม่เปื้อนเลือดเลยสักหยด จนกระทั่งหลังจากเธอปล่อยมือแล้ว ศีรษะด้านหลังที่โดนควักเป็นรูโบ๋ของซอมบี้กลายพันธุ์ถึงค่อยเริ่มมีของเหลวสีแดงและสีขาวผสมรวมกันไหลออกมา
แต่ที่หลิงม่อประหลาดใจคือก้อนเหนียวหนืดในสมองของซอมบี้กลายพันธุ์แตกต่างจากของซอมบี้ทั่วไปโดยสิ้นเชิง ก้อนเหนียวหนืดในสมองของซอมบี้ทั่วไปจะออกสีแดงจางๆ แต่ก้อนเหนียวหนืดที่เย่เลี่ยนควักออกมาจากสมองของซอมบี้กลายพันธุ์ก้อนนี้กลับเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับอัญมณีสีแดงอันงดงามเลอค่า
หลังจากออกคำสั่งให้เย่เลี่ยนรอ หลิงม่อก็หยิบก้อนเหนียวหนืดจากในมือเธอมาพิจารณาดูอย่างละเอียด
หลิงม่อเคยคาดเดาอยู่ก่อนแล้วว่าเจ้าก้อนเหนียวหนืดนี้น่าจะเป็นจุดศูนย์รวมของโรคที่ติดเชื้อไวรัส คล้ายกับพวกก้อนนิ่วในร่างกายอะไรทำนองนั้น เพียงแต่อ่อนนุ่มกว่าหน่อย อาจจะเป็นเพราะว่าจุดศูนย์รวมของโรคนี้อยู่ในสมอง ถึงทำให้คนที่ติดเชื้อสูญเสียสติสัมปชัญญะและกลายเป็นซอมบี้
แต่การกินก้อนศูนย์รวมเชื้อโรคนี้กลับทำให้ไวรัสในร่างกายของเย่เลี่ยนบริสุทธิ์มากขึ้น ผลกระทบจากการได้รับเชื้อไวรัสก็จะค่อยๆ ซึมลึกมากขึ้น นี่คงจะเป็นวิธีหนามยอกเอาหนามบ่งสินะ...
เมื่อเอามาดมที่จมูก กลิ่นเบาบางแต่แสบฉุนก็พุ่งเข้าจมูกทันที ทำให้หลิงม่อขมวดคิ้วแน่นและเกือบจะสำลักกลิ่นจนเป็นลม แต่ของที่คนปกติไม่พิสมัยนี้กลับเป็นอาหารเลิศรสในสายตาของเย่เลี่ยน
ดูจากลักษณะของเจ้าก้อนเหนียวหนืดนี้แล้ว ระดับความบริสุทธิ์ของเชื้อไวรัสที่อยู่ข้างในจะต้องสูงกว่าก้อนเหนียวหนืดของซอมบี้ปกติทั่วไปมากทีเดียว แล้วเมื่อใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หลิงม่อก็ตัดสินใจว่ารอให้เจอที่พักที่เหมาะสมก่อน แล้วค่อยให้เย่เลี่ยนกินเจ้าก้อนเหนียวหนืดนี้ ถึงแม้มันจะไม่เป็นไรหากเธอจะเป็นลมสลบไป แต่หลิงม่อเองก็จะไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้เช่นกัน แล้วเมื่อถึงตอนนั้นถ้าเกิดมีซอมบี้ตัวหนึ่งโผล่มา เขาต้องกลายเป็นของเล่นมันแน่ๆ
หลังจากเดินข้ามร่างซอมบี้กลายพันธุ์ไป หลิงม่อก็ขมวดคิ้วพลางก้าวเข้าไปในห้องทำงานที่ไม่ต่างอะไรกับโรงฆ่าสัตว์ ส่วนเย่เลี่ยนนั้นถูกเขากันไว้ให้อยู่ข้างนอก เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นเลือดสดไปดึงดูดพวกซอมบี้ได้
พื้นห้องดูเหมือนเคลือบด้วยเลือดและเศษเนื้อหนังหนึ่งชั้น ตอนที่เหยียบลงไปรู้สึกแปลกนิดๆ แต่กลิ่นเหม็นเน่านั้นอบอวลเต็มห้องจนปวดหัว
พอคิดขึ้นมาว่าในบรรดาเลือดและกระดูกพวกนี้อาจจะมีของหวังหลิ่นอยู่ หลิงม่อก็อยากจะลากร่างของซอมบี้กลายพันธุ์ตัวนั้นมาต่อยสักหมัดเสียเหลือเกิน
ภายในห้องทำงานมีมีดและดาบที่ทำเสร็จแล้วและยังไม่เสร็จอยู่มากมาย แต่พวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่หลิงม่อต้องการ เขาค้นหาอยู่พักหนึ่ง จนในที่สุดก็เจอเข้ากับกล่องใบหนึ่งซึ่งซุกซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อที่เปื้อนเลือดไปครึ่งผืน
เมื่อเปิดกล่องออกมาก็เห็นกริชและมีดสั้นอยู่หลายเล่มจริงๆ ด้วย พอชักออกมาก็เผยให้เห็นถึงคมแสงที่เย็นยะเยือก มีดที่ผ่านการลับคมแล้วดูคมกริบเป็นพิเศษ แถมคุณภาพก็ไม่เลวทีเดียว ดีกว่ามีดหั่นผักเล่มใหญ่เทอะทะพวกนั้นตั้งเยอะ ทั้งยังพกพาสะดวกอีกด้วย
หลังจากลองจับดูแล้ว หลิงม่อก็หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งมาเหน็บที่เอว พร้อมกับเลือกกริชที่เหมาะมือมาอีกเล่ม เมื่อมีสองสิ่งนี้แล้ว ก็คงจะพอช่วยได้บ้างในระหว่างที่เดินทางไปยังเขตตัวเมืองหลัก...
แม้เย่เลี่ยนจะแข็งแกร่ง แต่ยิ่งเข้าไปในเขตตัวเมืองลึกมากเท่าไร จำนวนซอมบี้ที่เจอก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น จะเอาแต่พึ่งพาเย่เลี่ยนอย่างเดียวก็คงไม่ได้
แล้วก็เพราะอยู่กับเย่เลี่ยนนี่เอง หลิงม่อจึงมักจะมีความคิดที่ละเอียดอ่อนอย่างหนึ่ง เขาอยากจะแข็งแกร่งกว่าเย่เลี่ยน ไม่ใช่อาศัยเย่เลี่ยนเอาชีวิตรอดไปวันๆ เผื่อวันใดวันหนึ่งที่เย่เลี่ยนฟื้นคืนสติกลับมา เขาจะได้ยืดอกเผชิญหน้ากับเธอได้...
หลังจากก่อร่างสร้างสายสัมพันธ์ทางจิตกับเย่เลี่ยนแล้ว หลิงม่อก็ได้พัฒนาไปพร้อมกับเธอ ซึ่งเป็นโอกาสที่หลิงม่อจะได้แข็งแกร่งขึ้นพอดี แต่แค่การพัฒนาไปพร้อมกันยังไม่เพียงพอ ในฐานะที่เป็นซอมบี้กลายพันธุ์ ร่างกายของเย่เลี่ยนจึงแข็งแรงกว่าหลิงม่อมากทีเดียว หากแต่ข้อดีของหลิงม่อก็คือหมั่นเรียนรู้และค้นหาเทคนิคการต่อสู้อยู่เรื่อยๆ
หลายวันมานี้ที่ได้ร่วมต่อสู้กับเย่เลี่ยน หลิงม่อได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการลงสนามจริง ซึ่งสามารถเห็นได้จากการต่อสู้ระหว่างเขากับซอมบี้กลายพันธุ์เมื่อสักครู่นี้
แต่เท่านี้มันยังไม่พอ...หลิงม่อเดินออกจากห้องทำงาน แล้วหันไปมองแผ่นหลังเย่เลี่ยนด้วยความสับสน
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามีซอมบี้กลายพันธุ์แบบเย่เลี่ยนอยู่จริงๆ นอกจากนี้แค่ดูจากอัตราการเติบโตอันน่าทึ่งของเย่เลี่ยนก็รู้แล้วว่า อีกไม่นานพวกเขาคงต้องเจอกับสิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าซอมบี้กลายพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตตัวเมืองที่มีซอมบี้ชุกชุม เกรงว่าคงมีซอมบี้กลายพันธุ์อยู่ไม่น้อยแน่ๆ...จะว่าไปแล้วเขายังพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งได้ไม่เร็วพอ
“ไปกันเถอะ”
เมื่อเห็นว่าหาสิ่งของอย่างอื่นในร้านไม่เจอแล้ว หลิงม่อจึงพาเย่เลี่ยนออกไปจากที่นี่ สำหรับเย่เลี่ยนแล้ว แม้ว่าเธอจะรับคำสั่งที่มาจากหลิงม่อล้วนๆ แต่ในสายตาของชายหนุ่มแล้ว เธอยังคงเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยขี้อ้อนคนนั้น จนเขาอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกับเธอ
แต่สิ่งที่หลิงม่อไม่รู้ก็คือ หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว ภายในตึกสองชั้นขนาดเล็กที่อยู่ตรงข้ามกับร้านค้านั้น จู่ๆ ก็มีมือขาวเนียนบอบบางข้างหนึ่งเปิดม่านหน้าต่างอันหนาหนักออก แล้วดวงตาวาวใสคู่หนึ่งก็มองหลิงม่อและเย่เลี่ยนจนลับสี่แยกไปผ่านทางร่องเล็กๆ
“หวังหลิ่น เป็นอะไรไป”
เสียงของผู้ชายดังมาจากในห้อง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าหวังหลิ่นรีบปล่อยผ้าม่านลงทันที แล้วหันไปมองภายในห้องที่ค่อนข้างมืดสลัว บนใบหน้าสวยน่ารักที่เค้าโครงชัดเจนไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เมื่ออยู่ในสถานที่ที่แสงไม่เพียงพอด้วยก็ยิ่งดูอ่อนแอกว่าเดิม “เจ้าซอมบี้กลายพันธุ์นั่นถูกจัดการแล้ว มีดสั้นในร้านก็ถูกเอาไปด้วย แถมเป็นเล่มที่ดีที่สุดเล่มนั้นอีกต่างหาก”
ผู้ชายที่เอ่ยถามเดินออกมาจากเงามืด แล้วถามต่อด้วยความประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้! ว่าแต่ใช้วิธีไหนกันนะ”
“สู้กันซึ่งๆ หน้าเลย” สีหน้าของหวังหลิ่นดูสับสนเล็กน้อย “ตอนแรกคิดว่าอย่างไรเสียก็เป็นญาติ เลยตั้งใจจะหาวิธีที่เหมาะสมในการจัดการเขา คิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่สามารถต่อกรกับซอมบี้กลายพันธุ์ซึ่งๆ หน้าได้...ฉันสังเกตเห็นพวกเขาตั้งแต่ตอนที่พวกเขามาแล้ว คนหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่ดูไม่มีทักษะการต่อสู้ ส่วนอีกคนหน้าตาคุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าใคร ดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเหมือนกัน...”
“สุดยอดเลย! พวกเราก็อุตส่าห์คิดหาวิธีตั้งมากมาย นึกไม่ถึงว่าจะมีคนชิงลงมือไปเสียก่อน” ชายหนุ่มแสดงสีหน้าตกใจสุดขีด แต่ออกจะดูเศร้าซึมเสียมากกว่า
ทันใดนั้นเองหวังหลิ่นก็ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “ประเด็นคือมีดเล่มนั้นต่างหาก! เป็นมีดที่ฉันทำเองเลยนะ แต่กลับถูกเขาฉกไปเสียแล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะมีดเล่มนั้น ฉันก็คงไม่ถ่อกลับมาหรอก”
“เขาเอาไปแล้วก็ช่างมันเถอะนะ...” หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง ชายหนุ่มก็พูดขึ้นด้วยความจนใจ
สายตาของหวังหลิ่นฉายแววโกรธเกรี้ยวทันที “ไม่ได้! ฉันใช้เวลาตั้งครึ่งปีกว่าจะทำเสร็จ แล้วจู่ๆ เขาก็มาเอาไปเนี่ยนะ! เรารีบตามเขาไปกันเถอะ!”
“อย่าหาเรื่องเลยน่า...”
“นายนี่มันใจเสาะจริง! อย่าให้ฉันเจอเขาอีกก็แล้วกัน ไม่งั้นได้เห็นดีกันแน่! บังอาจมาเอาของฉันไป เจ้าหัวขโมย!”
“ใช่ เธอพูดถูก...” ชายหนุ่มเออออตามอย่างปวดหัว แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ไม่มีมีดแล้ว แล้วทีนี้จะทำยังไงดี คงได้แต่ลองไปดูที่ร้านของน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเธอล่ะมั้ง ลองไปดูว่ายังมีใครที่รอดชีวิตอยู่อีกหรือเปล่า...”
“ฉันอยากให้พวกเขาตายๆ ไปน่ะดีแล้ว!” หวังหลิ่นแสดงสีหน้ารังเกียจพลางบ่นอุบอิบด้วยความไม่พอใจ
แต่หลังจากนิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง เธอก็ผงกหัวอย่างเสียไม่ได้ “ไม่มีทางเลือกแล้ว บ้านนั้นได้รับถ่ายทอดวิชาจากคุณตา มีดที่ทำออกมาก็ไม่เลว ลองไปดูกันเถอะ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันใช้อะไรอย่างอื่นนอกจากมีดไม่เป็น ฉันเองก็ขี้เกียจจะไป! จะว่าไปแล้ว ผู้ชายคนเมื่อกี้นี้ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตา...”
“ในสถานที่เล็กๆ แบบนี้ ยังไงก็ต้องเคยเจอกันบ้างละ ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่นา เลิกคิดได้แล้ว รีบเตรียมข้าวของแล้วไปบ้านญาติเธอกันดีกว่า”
เมื่อเทียบกับความเย็นชาของหวังหลิ่นแล้ว ชายหนุ่มกลับดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอได้เห็นปฏิกิริยาของชายหนุ่ม หวังหลิ่นก็ได้แต่ทำเสียงฮึดฮัด “อยากให้พวกเขาตายกันไปหมดแล้วจริงๆ! โดยเฉพาะไอ้คนเมื่อกี้ที่เอามีดฉันไป ขอให้มันตายวันตายพรุ่ง!”
หลิงม่อที่กำลังรีบมุ่งหน้าไปยังที่พักชั่วคราวจู่ๆ ก็รู้สึกชาที่หนังศีรษะ แล้วลมเย็นยะเยียบก็พัดวูบขึ้นมาจากฝ่าเท้าทันที
เขารีบหันขวับ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร มีเพียงแค่ซากซอมบี้สามสี่ตัวที่เขาเพิ่งจะฆ่าไปเมื่อกี้นี้
“นี่มันอะไรกัน คิดไปเองงั้นเหรอ”
หลิงม่อหันไปมองรอบๆ ด้วยความระแวงสงสัย สุดท้ายก็ส่ายหัวและหันไปมองเย่เลี่ยน จากนั้นรีบพาเธอไปจากแถวนี้
..........................................................................................