บทที่ 7 พิณไผ่ประสาน (3)
บทที่ 7 พิณไผ่ประสาน (3)
พอฉินซางถลึงตาโพลงใส่เย่หลี สุดท้ายก็ต้องพยักหน้าอย่างจนปัญญาจนได้ จึงกัดฟันกล่าวว่า “ก็ได้ ข้ารับปากเจ้า”
มือสองข้างของเย่หลีไพล่หลัง ดวงตายิ้มหรี่ลงเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เงื่อนไขข้อสุดท้ายนี่ง่ายกว่าเยอะ ไหนเรียกคุณลุงให้ฟังทีซิ”
ฉินซางตะลึงงัน “เจ้า...”
เย่หลีหัวเราะพลางกล่าวว่า “ข้าพูดอะไรผิดรึ? ในเมื่อเจ้าเป็นอาจารย์ของหลานชายข้า แถมอ่อนกว่าข้ารุ่นหนึ่งอยู่แล้ว เรียกคุณลุงสักคำคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“ก็ได้ ไอ้แก่ เจ้าแกล้งแหย่ข้า” ฉินซางโถมเข้าไปหาเย่หลีอย่างรุนแรง ไม่พะวงว่าอีกฝ่ายคือนักรบที่มีความสามารถระดับม่วงแต่อย่างใด
เย่หลีไม่ได้ใช้พลังยุทธ์หรือทักษะการต่อสู้เช่นกัน ยอดฝีมือระดับม่วงสองคนที่อายุเกินหกสิบมานานแล้ว กลับตะลุมบอนกันอยู่ในบ้านไม่ไผ่ทั้งอย่างนั้น ไม่มีใครยอมใคร ยังดีว่าของในกระท่อมไม้ไผ่มีไม่เยอะ จึงไม่ถึงกับเละตุ้มเป๊ะ
อย่างไรเสียฉินซางก็เป็นนักเวท แม้จะเป็นพลังกาย แต่ก็ยังไม่อาจเทียบเย่หลีได้ ตอนที่เขาถูกเย่หลีกดล้มลงไปกับพื้นอีกครั้งก็กล่าวขึ้นอย่างอับอายคับแค้นว่า “ไม่สู้แล้ว เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
เย่หลีปล่อยตัวฉินซาง นั่งลงข้างๆ เขา เมื่อมองดูท่าทางกระหืดกระหอบของเขาแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็อดคลี่กว้างยิ่งกว่าเดิมไม่ได้
“ตาเฒ่าฉิน ตั้งชื่อให้หลานข้าหน่อยสิ เด็กคนนี้เพิ่งจะครบเดือน ยังไม่มีชื่อเลย”
ฉินซางรู้ว่าตอนนี้เย่หลีตอบรับตนจริงๆ แล้ว ความคิดแล่นผ่านในสมองก่อนกล่าวว่า “ชื่อว่าเย่อินจู๋แล้วกัน สืบทอดดนตรีของข้าและไผ่ของเจ้า”
เย่หลีหัวเราะดังลั่น “ดี งั้นก็ชื่อเย่อินจู๋”
ฉินซางพลันคว้าเคราของเย่หลีเอาไว้ ก่อนกล่าวเสียงเหี้ยมว่า “เจ้าตั้งใจจะรับปากข้าแต่แรกอยู่แล้วใช่หรือเปล่า”
เย่หลีพยักหน้าอย่างไม่ปิดบังแต่อย่างใดก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ก็ใช่น่ะสิ!”
ฉินซางกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “แล้วที่เจ้าเล่นแง่อยู่เมื่อกี้ล่ะ?”
เยี่ยหลีแค่นหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ใครใช้ให้เจ้ามาขอร้องข้าถึงบ้านล่ะ เจ้าเด็กโง่เย่ฉง ไม่รู้จักตักตวงผลประโยชน์ ออกตัวว่าอย่ายึดติดสำนัก ข้านี่แหละเป็นคนพูดคำนี้เอง ถ้าไม่ใช่เพราะข้าโยนมันออกไปทันเวลา มันคงแบไต๋ข้าหมด แล้วข้าจะตักตวงผลประโยชน์ยังไง เจ้าสองสำนัก ไม่เลวๆ ท่านผู้ก่อตั้งแปดสำนักมังกรบูรพา ฮ่าๆๆๆ”
“เจ้า...” พอเห็นท่าทางพออกพอใจของเย่หลี ฉินซางถึงได้เข้าใจว่าตัวเองโดนหลอกเข้าให้แล้วจริงๆ แต่เขาก็ดันจนปัญญาอีก
“เจ้าไผ่เฒ่า เงื่อนไขของเจ้าข้าก็รับปากแล้ว ในเมื่อเจ้ายอมตกลงให้ข้าเป็นอาจารย์ของหลานชายเจ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าสักสองสามข้อ”
เย่หลีหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วกล่าวว่า “ทำไม? อยากรีบเอาคืนขนาดนั้นเชียว?”
ฉินซางกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้าคิดว่าข้าเหมือนเจ้าเรอะ! ข้าทำเพื่ออินจู๋ต่างหาก แน่นอน ต่อไปนี้เจ้าห้ามยกเรื่องข้าอ่อนกว่าเจ้ารุ่นหนึ่งมาพูดอีก เรามาถกกันทีละข้อ”
เย่หลีเห็นฉินซางจริงจังขึ้นมาจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เจ้าว่ามาสิ”
ฉินซางกล่าวว่า “หัวใจพิณพิสุทธิ์เมื่อเริ่มฝึกฝนจะลำบากอย่างยิ่ง หากอยากฝึกสำเร็จ จะต้องพยายามให้อินจู๋รักษาหัวใจอันบริสุทธิ์เอาไว้ให้ได้มากที่สุด และหมายความว่าต้องพยายามไม่ให้อินจู๋ติดต่อกับโลกภายนอกให้ได้มากที่สุดด้วยเช่นกัน กระทั่งพวกเจ้าเองก็ต้องติดต่อให้น้อยที่สุด นอกจากพลังยุทธ์ไผ่แล้ว ถ้าไม่มีความเห็นชอบจากข้าพวกเจ้าห้ามสอนทักษะต่อสู้ใดๆ แก่เขา พอเขาอายุได้สามปี ทุกสัปดาห์พวกเจ้ามาพบเขาได้แค่หนึ่งครั้ง ห้ามเล่าเรื่องโลกภายนอกใดๆ กับเขา มีเพียงหัวใจบริสุทธิ์ที่จิตใจไม่วอกแวกเท่านั้นจึงสามารถฝึกเป็นหัวใจพิณพิสุทธิ์ได้”
เย่หลีเอ่ยขึ้นว่า “ห้ามเรียนทักษะต่อสู้ตลอดไปเลยรึ? ไม่เป็นทักษะต่อสู้สำนักไผ่ ต่อไปเขาจะเป็นเจ้าสำนักไผ่ได้อย่างไร?”
ฉินซางคิดสักครู่แล้วกล่าวว่า “ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ตลอดไป อย่างน้อยภายในสิบห้าปีอย่าสอนทักษะต่อสู้อื่นให้แก่เขา เพื่อไม่ให้เสียสมาธิ ถ้าภายในสิบห้าปีเขายังสำเร็จขั้นเก้าของหัวใจพิณพิสุทธิ์ไม่ได้ เกรงว่าข้าคงล้มเหลวแล้ว”
เย่หลีกล่าวอย่างสุขใจว่า “ได้ ข้ารับปากเจ้า อย่างนี้ดีแล้ว เจ้ากังวลเรื่องแบ่งรุ่นไม่ใช่รึ? ข้างนอกเจ้าเป็นอาจารย์ของเขา แต่ตอนที่มีแค่พวกเรา ให้อินจู๋เรียกเจ้าว่าปู่ก็แล้วกัน”
ฉินซางเหลือบมองเย่หลีแวบหนึ่ง “นี่ยังถือว่าเจ้าจริงใจอยู่บ้าง”
ทั้งคู่พลังความสามารถแข็งแกร่ง แต่กลับไม่เคยสบตากับตาแก่ที่เดินทางไปทั่วทวีปลองกินุสเลยสักครั้ง พวกเขามองเห็นประกายความหวังในดวงตาของอีกฝ่าย นั่นคือความหวังต่ออนาคตของเย่อินจู๋ และต่อแปดสำนักมังกรบูรพา...
ฉินซางกลับเมืองลูน่าไปเตรียมตัวอย่างง่ายๆ เช้าวันถัดมาก็กลับมาทะเลโพรงมรกต เห็นได้ชัดว่าท่านนายกสมาคมเวทมนตร์ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งท่านนี้ไม่ได้ใส่ใจสมาคมเวทมนตร์อาร์คาเดียเลย ในใจของเขาไม่มีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่าการฝึกฝนลูกศิษย์อัจฉริยะผู้มีแปดนิ้วโดยกำเนิดของตนเองให้ดีอีกแล้ว
แม้ว่าเย่หลีจะเป็นเจ้าสำนักไผ่ แต่ในทะเลโพรงมรกตแห่งนี้กลับมีครอบครัวเขาอาศัยอยู่เท่านั้น ภรรยาของเย่หลีจากไปแล้ว มีแค่เขากับลูกชายลูกสะใภ้แล้วก็หลานชายรวมสี่คน ตอนนี้ฉินซางเข้ามา จึงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน เดิมทีกระท่อมไม้ไผ่มีเยอะแยะอยู่แล้ว แต่ฉินซางกลับดึงดันไม่ยอมอยู่ร่วมกับพวกเขา เย่ฉงสร้างกระท่อมไม้ไผ่ขึ้นมาอีกหลังห่างจากบริเวณที่พวกเขาอาศัยอยู่ห้าร้อยเมตร สำหรับนักรบปฐพีระดับเขียวอย่างเขาแล้ว เรื่องแบบนี้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
ในทวีปลองกินุส ระดับของนักรบเหมือนกับนักเวท แบ่งเป็นเจ็ดระดับเช่นเดียวกัน สอดคล้องกับสายรุ้งเจ็ดสี คือนักรบ นักรบระดับกลาง นักรบระดับสูง นักรบปฐพี นักรบเวหา ยอดนักรบ ปรมาจารย์นักรบ แม้พลังยุทธ์ที่สำนักไผ่ฝึกฝนจะมีสีพิเศษ แต่ตอนนี้เย่ฉงเพิ่งเลื่อนขั้นขึ้นสู่ไผ่เหลือง เทียบเท่ากับระดับเขียวขั้นพื้นฐานในระดับสีรุ้ง จึงถือว่าเป็นนักรบปฐพี
ถึงแม้กระท่อมไม้ไผ่จะสร้างง่าย แต่เงื่อนไขของฉินซางกลับเข้มงวดอย่างยิ่ง รวมไปถึงมุมของไม้ไผ่บางต้นและขนาดของบ้าน ฟุตและนิ้ว ถึงขั้นซื้อวัสดุพิเศษบางอย่างจากเมืองลูน่ามาเพิ่มเติมด้วย จนกระทั่งภายหลังเย่ฉงถึงได้รู้ว่าสาเหตุที่ฉินซางต้องเข้มงวดเรื่องการสร้างกระท่อมไม้ไผ่อย่างนี้ ก็เพื่อให้เสียงพิณสามารถกระจายรอบทิศได้อย่างมีประสิทธิภาพในบ้านไม่ไผ่
สิบวันผ่านไป ในที่สุดกระท่อมไม้ไผ่ตามเงื่อนไขของฉินซางก็เสร็จสมบูรณ์ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเย่ฉง
“สมองเจ้ายังปกติดีอยู่ใช่ไหม อินจู๋เพิ่งจะครบเดือนไม่นาน ตอนนี้จะไปเรียนอะไรได้!” เย่หลีถลึงตามองฉินซางตรงหน้า ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าตาแก่คนนี้คิดอะไรอยู่ในใจ
ฉินซางเอามือสองข้างไพล่หลัง แสร้งทำท่าทางดูแคลนพลางมองเพื่อนสนิทของตนเอง “ใครบอกว่าเด็กทารกเรียนไม่ได้ ต่อให้ไม่เรียนก็ฟังเอาไม่ได้หรือไง? เจ้าคิดว่าหัวใจพิณพิสุทธิ์เรียนง่ายขนาดนั้นเชียว? ไม่เริ่มตั้งแต่ก่อนปราณโดยกำเนิดยังไม่สลายไปตอนยังเล็ก จะสำเร็จได้อย่างไรกัน”
เย่หลีส่ายหน้ารัว “ไม่ได้ๆ คิดว่าข้าไม่รู้จักพลังของเสียงพิณเจ้ารึ? ถ้ามนต์จิตวิญญาณในเสียงพิณเจ้ากระเทือนหลานข้าบาดเจ็บ เกรงว่าจะปัญญาทึบไปเสียก่อน”
ฉินซางกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ข้าว่าเจ้านั่นแหละปัญญาทึบ ข้าห่วงใยเจ้าอินจู๋น้อยกว่าเจ้ารึไง? เขาคือความหวังสูงสุดในชีวิตของข้า ต่อให้ตัวเองบาดเจ็บก็ให้เขาบาดเจ็บไม่ได้ ก่อนเขาอายุสามปีห้ามเรียนพลังยุทธ์กับพวกเจ้า ก่อนเขาอายุห้าปีก็ห้ามเรียนพิณกับข้า แต่ช่วงเวลานี้ล่ะสำคัญที่สุด ข้าต้องใช้เสียงพิณของข้าทำให้เขากลายเป็นหัวใจพิณเองระหว่างที่รับฟังทุกวัน เด็กยังต้องการการดูแล ก็ให้เย่ฉงกับเหมยอิงฟังอยู่ข้างๆ ด้วยแล้วกัน ทางหนึ่งจะได้ดูแลลูก อีกทางหนึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนพลังยุทธ์ของพวกเขา”
ดวงตาของเย่หลีฉายแววเจ้าเล่ห์ ก่อนเตะลูกชายตัวเองไปทีหนึ่ง “ยังไม่รีบขอบคุณลุงฉินของเจ้าอีก เพลงบ่มปราณสงบจิตไม่ใช่เพลงที่ใครๆ ก็ฟังได้นะ”
……………………………………….