บทที่ 6 มาทำสัญญากันเถอะ
บทที่ 6 มาทำสัญญากันเถอะ
บทสนทนาธรรมดาของเด็กสองคนที่กำลังกอดคอร้องไห้ หากว่านำมาแต่งเติมนิดหน่อยก็เหมือนจะได้นิยายเรียกน้ำตาเรื่องหนึ่ง เสียงร่ำไห้แฝงด้วยความยินดีและความน้อยใจ คิดไปแล้วคงเป็นท่วงทำนองสุดซาบซึ้ง เป็นถ้อยคำแสนงดงาม
แววตาของฮีโร่หัวล้านฉายประกายอ่อนโยน ถอนหายใจเบาเบา จากนั้นเดินไปทางสาวน้อยที่กำลังเดินก่นสบถ
“ชิ ก็แค่ปีศาจระดับ F คะแนนน้อยนิดแค่นี้ไม่พอแคะฟันฉันด้วยซ้ำ”
สาวน้อยอายุประมาณ 15-16 ปี ใบหน้าประณีตงดงาม ผิวขาวราวหิมะ มัดผมหางม้าดูแล้วน่ามอง เธอสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกางเกงขาสั้นกุดสีดำ หน้าอกเบียดแน่นเป็นเส้นโค้ง ขาทั้งสองผอมเรียว รูปร่างสมบูรณ์แบบหมดจด
ได้ยินคำบ่นของสาวน้อยแล้ว ฮีโร่หัวล้านก็ยิ้มน้อยๆ ถามว่า “หลีจื่อน้อยตอนนี้เธออยู่อันดับที่เท่าไหร่?”
หลีจื่อขมวดคิ้วเป็นปม “อาจารย์อีเฉวียน อย่าเติมคำว่า ‘น้อย’ สิ กรุณาเรียกลูกศิษย์ของท่านว่า ‘หลีจื่อ’ ด้วย”
แววตาของอีเฉวียนฉายแววขบขัน พยักหน้ารับพลางกล่าว “ก็ได้ หลีจื่อน้อย”
“เฮอะ!” หลีจื่อทำเสียงฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจ แต่ไม่จู้จี้กับการเรียกขานนั้นอีก คิดดูแล้วนางพ่ายแพ้มาก็หลายครั้งหลายครา
หลีจื่อนึกถึงคำถามของอีเฉวียนเมื่อครู่ ก้มลงมองบางสิ่งที่มีลักษณะเหมือนนาฬิกาข้อมือ พร้อมถอนหายใจอย่างหมดแรง บ่นว่า “ฮีโร่ขั้น E อันดับที่สามร้อยยี่สิบเอ็ด อ๊าาาาาาา~ สาวน้อยอย่างฉันอยากจะบ้า!”
จากนั้นมองไปทางอาจารย์หัวล้านข้างตัวอย่างน่าสงสาร กล่าวอ้อนว่า “อาจารย์อีเฉวียน~ ช่วยหนูจับปีศาจระดับ S สักตัวนะ ให้หนูได้ลงดาบสุดท้าย นะคะ น้าาา~”
อีเฉวียนกล่าวอย่างจริงจังว่า “อย่าทำแบบนี้ ขนลุกหมด”
“เชอะ!” สีหน้าของหลีจื่อเปลี่ยนทันทีพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง “คนอื่นเขาไม่มีโอกาสเห็นหนูอ้อนหรอกนะ อาจารย์อีเฉวียนมีโอกาสเห็นของดีกลับไม่รู้ค่า เฮอะ! สมแล้วที่โสดมาทั้งชีวิต”
อีเฉวียนลูบหัวล้านกลมมน นิ่งเงียบไม่พูดอะไร หันมามองเด็กสองคนที่ยังคงร้องไห้อยู่
หลีจื่อมองตามสายตาของอีเฉวียนก็เห็นสือเสี่ยวไป๋ทันที แค่ครั้งแรกก็มองออกว่าเขาไม่ใช่ผู้มีพลังจิต มองครั้งที่สองก็รู้ว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ก็แค่โดนปีศาจทำให้ตกใจเท่านั้น ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนนี่ ต้องร้องไห้จะเป็นจะตายขนาดนี้เลยเหรอ? หึ ฉันล่ะเกลียดพวกผู้ชายขี้ขลาดและยังขี้แยที่สุด” หลีจื่อที่กำลังไม่สบอารมณ์ตำหนิอย่างไม่รักษาน้ำใจ
“เด็กคนนั้นกล้าหาญมาก” อีเฉวียนที่ยืนหันหลังให้หลีจื่อพูดขึ้น ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ไม่ได้ดูง่วงงุนอีกต่อไป แต่เป็นลักษณะท่าทางจริงจังอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็น
น่าเสียดายที่หลีจื่อไม่ได้เห็นท่าทางนั้นของอีเฉวียน เธอละสายตากลับมาพร้อมชวน “ไปกันเถอะ ครั้งนี้เราออกมาหาคน ไม่ได้มาปลอบใจพวกขี้ขลาด เจ้าพวก [ ผู้สร้าง ] นั่นบอกว่าเจอผู้มีพลังจิตพิเศษ พวกเราเหล่า [ ผู้ทำลาย ] ครั้งนี้กลับไม่มีแม้แต่โอกาสได้เด็กใหม่ระดับ A”
“อืม” อีเฉวียนขานรับ ยังคงสนใจเด็กสองคนที่อยู่ไม่ไกลออกไป
หลี่จือเตะขาสองสามที เร่งอย่างไม่พอใจว่า “รีบไปกันเถอะน่า อาจารย์หัวล้าน! ท่านอยู่ในฐานะ [ ผู้ทำลาย ] นะ ชื่อเสียงของ [ ผู้ทำลาย ] ก็คือชื่อเสียงของพวกเรา ต่อให้เป็นมาตรฐานการรับสมาชิกใหม่ประจำปีพวกเราก็ไม่อาจแพ้ให้ [ ผู้สร้าง ]! พวกเราจะต้องหาเด็กใหม่ที่ทำให้ [ ผู้สร้าง ] เทียบเราไม่ติด!”
หลี่จือเห็นอีเฉวียนไม่สนใจเธอเลย ก็ถอนหายใจกล่าวว่า “ปีนี้ [ ผู้สร้าง ] รับผู้มีพลังจิตพิเศษไปหนึ่งคน พวกเรากลับไม่มีแม้สักคน ออกมารอบนี้จะต้องหาผู้มีพลังจิตพิเศษคนใหม่ให้เจอ แม้ว่าผู้มีพลังจิตพิเศษจะมีแค่หนึ่งในหมื่น พอตื่นขึ้นก็จะถูกองค์กรนู้นนี้ดึงตัวไป จะหาปลาที่รอดพ้นตาข่ายเจอนั้นยากซะยิ่งกว่าถูกหวย แต่ว่าข้าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อย่างเด็ดขาด!”
ในขณะที่หลี่จือกำลังพูดอยู่ ไม่รู้คิดเรื่องอะไรได้ จู่ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมา “พระเจ้า ทำไมชีวิตฉันถึงได้ลำบากขนาดนี้? ทำไมถึงไปเดิมพันกับคนใจดำเจ้าเล่ห์แบบนั้นได้! ฉันจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด! ผู้มีพลังจิตพิเศษเอ๋ยผู้มีพลังจิตพิเศษ หากปรากฏตัวต่อหน้าฉันตอนนี้ ฉันจะมอบจูบแรกให้เลย!”
เวลานี้เองอีเฉวียนหันกลับมาอย่างฉับพลันด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“เป็นอะไรไป?” หลี่จือมองท่าทีแปลกๆ ของอีเฉวียน พลันเกิดลางสังหรณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ได้
“เด็กนั่น” อีเฉวียนชี้ไปยังสือเสี่ยวไป๋
“หืม?” ลี่จืองุนงง
“ผู้มีพลังจิตพิเศษที่เธอต้องการ” อีเฉวียนกล่าวเช่นนั้น
หลี่จือตะลึงอ้าปากค้าง
......
สือเสี่ยวไป๋ร้องไห้จะเป็นจะตาย เด็กอายุแค่สิบสามปีอย่างเขาในอีกโลกหนึ่งใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ ไร้ความกังวลแต่ก็ไร้รสชาติของชีวิต
จู่ๆ ก็ทะลุข้ามมิติมายังอีกโลกที่มีเทคโนโลยีทัดเทียมกัน แต่เรื่องอารยธรรมกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในตอนแรกเขารู้สึกตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะตอนที่ได้รู้เรื่องการมีอยู่ของฮีโร่และปีศาจจากคนที่เดินสวนไปมาบนถนน เขายิ่งจินตนาการใฝ่ฝันถึงอนาคต
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์สั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงนี้กลับทำให้เขาพบกับความทุกข์ทรมานยาวนานราวศตวรรษ
ตอนแรกที่เขาตัดสินใจช่วยเด็กอ้วนก็เพราะว่ารางวัลระดับ A และความรู้สึกผิดในใจ หลังจากที่คำโกหกของเขาได้มอบความกล้าหาญจอมปลอมให้กับเด็กอ้วน
ครั้งที่สองที่เขายังคงเลือกที่จะช่วยเด็กอ้วน เพราะยังไม่รู้ว่าการเลือกของเขาจะทำให้เกิดการย้อนกลับของเวลา เขาคิดว่าการตายครั้งแรกเป็นเพียงภาพนิมิต
แต่การเลือกครั้งที่สาม ภายในใจเขาสับสนอยู่นาน เหตุผลบอกให้เขาเลือก [ หนี ] แต่ลูกบอลของเด็กอ้วนที่โดนตัวปีศาจนั่นได้บอกความจริงกับเขาอย่างหนึ่งว่า ตอนที่เขาตกอยู่ในอันตรายเด็กอ้วนไม่ได้หนีไปไหน บวกกับข้อมูลที่ฮีโร่จะมาและการที่ได้รู้ว่าหากตายเวลาก็จะย้อนกลับ สือเสี่ยวไป๋ที่ไม่ได้กล้าหาญอะไรได้เลือกตัวเลือก [ ช่วยเด็กอ้วน ] อีกครั้ง
ทว่าเขาก็ยังกลัวอยู่ตลอด หากตัวเขาในครั้งที่สามยังคงล้มเหลว ครั้งที่สี่จะยังมีความกล้าเลือก [ ช่วยเด็กอ้วน ] ต่อไปหรือไม่
“คงหนีไปล่ะมั้ง จะต้องหนีไปแน่ๆ ข้าสือเสี่ยวไป๋กลายเป็นคนธรรมดาไปเเล้ว”
สือเสี่ยวไป๋คิดเช่นนี้ น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด จนกระทั่ง...เสียงดุดันดังขึ้นในหัวเขา
“การเลือกจบสิ้นลงแล้ว ยินดีด้วยผู้เลือกได้รับ ‘รางวัลระดับ A: พลังจิตพิเศษตื่นขึ้น’”
สือเสี่ยวไป๋ถึงได้รู้สึกโล่งอกในที่สุด ฝันร้ายน่ากลัวนั่นจบสิ้นสักที ถึงแม้จะไม่รู้ว่า ‘พลังจิตพิเศษตื่นขึ้น’ คืออะไร แต่คิดว่ารางวัลระดับ A ไม่น่าจะด้อยสักเท่าไหร่
ไม่รู้ทำไมสือเสี่ยวไป๋ที่ผ่อนคลายลงแล้วถึงรู้สึกอยากร้องไห้อีก เขากอดเด็กอ้วนร้องไห้อยู่อย่างนั้นไม่หยุด ราวกับว่าจะร้องไห้ให้น้ำตาที่ต้องไหลในชีวิตนี้เหือดแห้งไป
ทันใดนั้น สือเสี่ยวไป๋เหลือบเห็นฮีโร่หัวล้านและสาวน้อยไร้เทียมทานที่อยู่ไม่ไกลกำลังเดินมา
“ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!”
สือเสี่ยวไป๋รู้สึกว่าใจของเขาเต้นรัว สาวน้อยไร้เทียมทานคนนั้นฉีกซาฮัตตันเป็นชิ้นๆ อย่างง่ายดายเลยนะ
“หากได้เรียนรู้จากเธอสักสองสามกระบวนท่า ข้าสือเสี่ยวไป๋ก็อาจจะกลายเป็นฮีโร่ได้!”
ด้วยความคิดเช่นนี้ สือเสี่ยวไป๋ที่ยังร้องไห้ไม่หยุดจึงชี้นิ้วไปยังสาวน้อยที่กำลังเดินมาทางเขา กล่าวเสียงดังว่า
“สาวน้อย มาทำสัญญากันเถอะ!”