บทที่ 4 ข้ามาแล้ว
บทที่ 4 ข้ามาแล้ว
ในบรรดากลุ่มคนที่ยืนขวางช่องว่างนั้น มีขุนนางผิวพรรณดำคล้ำประหนึ่งชาวนาสูงวัยก้าวออกมา เขาขวางทางหลาวคมกริบของขุนพลผู้องอาจเอาไว้
ชายบนหลังม้าศึกดูสง่างามราวเทพแห่งสงคราม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้แล้วดูเหมือนว่าแม้กระทั่งเอวก็ไม่กล้าเหยียดตรง ชายผิวดำคล้ำมายืนขวางหน้าม้า แล้วตำหนิขุนพลตรงหน้าเสียงดังว่า “เหลวไหล!”
ขุนพลผู้นี้กอดเถี่ยซินหยวนกระโดดลงจากหลังม้า ค้อมเอวลงแล้วเอ่ยว่า “หญิงชาวบ้านนางนี้ละเมิดกฎมีโทษสมควรตาย!”
ขุนนางผู้มีผิวพรรณดำคล้ำมองหน้าท่านขุนพล แล้วชี้ไปทางชาวบ้านที่ยืนเบียดเสียดมุงดูอยู่ไกลๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “ละเมิดกฎย่อมสมควรรับโทษ แต่หญิงชาวนาผู้นี้ไม่ใช่พลทหารในกองทัพของเจ้า ต่อให้ในมือของนางจะถือมีดแหลมคมเอาไว้ คาดว่าคงมีเหตุผลอื่นแน่ เจ้าเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ มีอำนาจสั่งลงโทษราษฎรด้วยหรือ?”
ขุนพลผู้นั้นส่งเถี่ยซินหยวนคืนให้กับหวังโหรวฮวาที่เพิ่งมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย เขาลูบศีรษะของตนเองแล้วเอ่ยว่า “จะหน่วยตรวจสอบการลงทัณฑ์หรือศาลไคเฟิงมาตัดสินคดี ล้วนมิใช่โทษตายสถานเดียวหรอกหรือ?”
“หลานไม่คิดว่าท่านลุงจะลงโทษสถานเบาแน่”
ขุนนางบุ๋นหน้าดำส่งเสียงฮึด้วยความไม่พอใจแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อบ้านเมืองมีกฎหมาย ก็สมควรดำเนินการตามกฎหมายถึงจะถูกต้อง แม้นอกจากกฎหมายแล้ว ยังมีเรื่องมนุษยธรรมที่ต้องพิจารณา แต่อำนาจของโอรสสวรรค์ไม่อาจล่วงเกิน นี่เป็นกฎเหล็กที่พวกเราจะละเลยมิได้”
“ไฮว๋อวี้ เจ้าเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน คราวหลังอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นอีกเป็นอันขาด เวลานี้บิดาของเจ้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการป้องกันเมืองเฟิ่งโจว มีผู้คนมากมายจับจ้องไม่คลาดสายตา หวังให้เขาประสบเคราะห์ร้าย ส่วนเจ้าก็มีตำแหน่งทหารม้าองครักษ์ส่วนพระองค์ของฝ่าบาทอยู่ อย่าปล่อยให้พวกเขาจับจุดอ่อนเจ้าได้ มิฉะนั้นจะเดือดร้อนไปถึงบิดาของเจ้าด้วย
หญิงชาวนาผู้นี้มีความผิดโทษสมควรตายก็จริง แต่ว่าพวกเขาเป็นลูกกำพร้าและหญิงหม้าย มีสภาพน่าเวทนาโดยแท้ ถ้าหากเจ้าลงมือสังหารโดยพลการ จะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าต้องด่างพร้อยอย่างยิ่ง!”
ขุนพลหนุ่มโค้งตัวคารวะและกล่าวขอบคุณว่า “ขอบคุณท่านลุงเปาที่สั่งสอน หลานจำใส่ใจไว้แล้ว”
หวังโหรวฮวาแลดูยังเลอะเลือนสับสนไม่เข้าใจว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้น แต่เถี่ยซินหยวนกลับได้ยินอย่างกระจ่างชัด เมื่อเห็นเบื้องหลังนายทหารผู้นี้มีธงอักษร ‘ซ่ง’ รวมถึงคำเรียกขานระหว่างสองคนนี้ เถี่ยซินหยวนที่คุ้นเคยกับตำราประวัติศาสตร์เป็นที่สุด จะคาดเดาฐานะของพวกเขาไม่ได้เลยเชียวหรือ?
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มิคาดคิดว่าผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในประวัติศาสตร์ทั้งสอง คนผู้หนึ่งกลับมีนิสัยมุทะลุวู่วาม ส่วนอีกคนก็ความคิดคร่ำครึ พวกเขาสองคนแม่ลูกเพียงแค่เข้ามาหลบพายุฝนตรงมุมกำแพงเท่านั้น สุดท้ายแม้กระทั่งชีวิตก็เกือบรักษาเอาไว้ไม่ได้
เถี่ยซินหยวนเหลือบมองชายสองคนที่ยืนกางร่มสนทนากันด้วยสายตาเคียดแค้น เปาเจิ่ง[1]คล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจึงหันกายกลับมา มองไปที่หวังโหรวฮวาซึ่งยืนเนื้อตัวสั่นเทาอยู่กลางสายฝน เขาเดินเข้ามาใกล้อีกสองก้าวแล้วเอ่ยกับนางว่า “เรื่องบุตรของเจ้าข้าจะจัดการอย่างเหมาะสมแน่นอน เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป”
น้ำตาของหวังโหรวฮวาร่วงกระทบใบหน้าเถี่ยซินหยวน ราวกับสายฝนเม็ดใหญ่โปรยปรายลงมาก็ไม่ปาน สายตาเย็นชาของเถี่ยซินหยวนจ้องเขม็งที่ใบหน้าเปาเจิ่งอย่างไม่กะพริบตา
เปาเจิ่งรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ส่ายหน้าสลัดความคิดแปลกประหลาดนั้นทิ้งไป ปราชญ์เช่นท่านขงจื๊อไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ขัดกับหลักการและเหตุผล[2] เขาไม่สมควรคิดมากเกินไปเลยจริงๆ เด็กน้อยผู้นี้อายุยังมิครบขวบปีเสียด้วยซ้ำ...
เมื่อโดนตรวนพันรอบคอแล้ว หวังโหรวฮวาที่อุ้มเถี่ยซินหยวนเอาไว้จึงถูกมือปราบลากตัวออกมาจากมุมกำแพง ทันใดนั้นเองเถี่ยซินหยวนก็มองเห็นรถม้าคันใหญ่มหึมาจอดอยู่ไม่ไกลนัก
บนไม้คานเทียมรถม้ามีชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่กำยำยืนอยู่สองคน แม้ว่าสายฝนจะเทกระหน่ำก็ยังยืนหยัดอย่างไม่สะทกสะท้าน ส่วนนายทหารที่เหลือยืนขนาบตัวรถม้าทั้งสองฝั่งยิ่งนิ่งงันเหมือนรูปสลักไม่ยอมเอ่ยวาจาใด
ท้องฟ้ายังมิทันจะมืดสนิท โคมไฟขนาดใหญ่ที่สามารถต้านแรงลมได้สิบกว่าดวงก็ส่องแสงสว่างไสวรอบทิศทางราวกับเวลากลางวัน
เดิมทีเถี่ยซินหยวนนั้นนอนสงบนิ่งเรียบร้อยดี แต่จู่ๆ กลับร้องไห้เสียงดังขึ้นมา เสียงร้องของเด็กน้อยโหยหวนน่าเวทนาจับใจ ทำให้หวังโหรวฮวานึกถึงวันหน้าที่บุตรชายจะต้องขาดมารดา นางจึงทรุดตัวลงกับพื้นร้องไห้โฮออกมาเช่นกัน ไม่ว่ามือปราบที่ดึงรั้งตรวนเหล็กจะฉุดลากอย่างไรก็ไม่ยอมลุกขึ้นมา นางได้แต่อุ้มบุตรชายนั่งร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเหลือแสนอยู่กลางแอ่งน้ำโคลน
ห่อผ้าของเถี่ยซินหยวนเปียกชื้นไปหมดแล้ว ส่วนเจ้าจิ้งจอกน้อยที่เมื่อครู่นี้ซ่อนตัวอยู่ในห่อผ้าด้วยความหวาดกลัว เวลานี้มันยิ่งซ่อนตัวอย่างระมัดระวังเพราะรอบข้างมีคนรายล้อมมากกว่าเดิม พวงหางที่แสนซุกซนปัดป่ายไปมาอยู่บนผิวนิ่มๆ ของเถี่ยซินหยวน หลายต่อหลายครั้งที่อากัปกิริยาของมันทำให้เสียงร้องไห้ของเขาแหลมสูงแสบแก้วหูมากขึ้นไปอีก
ในที่สุดเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยก็ทำให้คนในรถม้าตกใจ จนกระทั่งมีคนผู้หนึ่งสวมเสื้อกันฝนถักทอจากหวาย และในมือถือแส้ขนหางจามรีเดินลงมาจากรถม้า เขาสนทนากับเปาเจิ่งแผ่วเบาอยู่หลายประโยค จากนั้นเหลือบมองพวกหวังโหรวฮวาสองแม่ลูกที่นั่งร้องไห้ไม่ยอมหยุดแล้วกลับขึ้นรถม้าไปอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นานนักชายหนุ่มท่าทางบอบบางอ่อนแอก็เดินลงมาจากรถม้า โดยมีร่มกันฝนคันใหญ่กางบังศีรษะเอาไว้ เมื่อเขาได้เห็นหวังโหรวฮวาเต็มตาแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันมืดมิดก่อนจะกล่าวกับเปาเจิ่งว่า “ภัยพิบัติเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน สวรรค์คงกำลังเตือนเรา ความทุกข์ยากของราษฎรล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น”
เปาเจิ่งค้อมกายลงแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงออกราชโองการสำนึกตนเนื่องด้วยเหตุภัยพิบัติแล้ว ฟ้าดินต้องซาบซึ้งในความจริงใจของพระองค์เป็นแน่ ปีหน้าฝนฟ้าคงตกต้องตามฤดูกาลพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มสูงศักดิ์ส่งเสียงไอแผ่วเบาก่อนเอ่ยตอบว่า “หลายปีมานี้เรามีราชโองการสำนึกตนถึงสามฉบับ เกรงว่าในสายตาสวรรค์ เราจะเป็นผู้มีความผิดไปเสียแล้ว
ช่างเถิด พวกเจ้าสร้างบาปให้เราน้อยลงหน่อย เราก็พอใจมากแล้ว เจ้าเห็นว่าแม่ลูกคู่นี้สามารถคุกคามวังหลวง กระทั่งใช้มีดเล่มนั้นสังหารเราได้หรือไร?”
เปาเจิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “เปล่าเลยพ่ะย่ะค่ะ แต่อย่างไรความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายก็ต้องธำรงรักษาไว้”
“สังหารหญิงชาวบ้านผู้นี้ก็รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายไว้ได้แล้ว? เราไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น ราชวงศ์สูญเสียองค์ชายไปสามคนแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเราก็ยังไม่มีทายาท น่ากลัวว่าคงเกี่ยวข้องกับกฎหมายที่เข้มงวดเกินไปเป็นแน่”
เปาเจิ่งไม่สนใจสายฝนเม็ดใหญ่ที่โปรยปรายลงมา เขาถอดหมวกหญ้าที่สวมกันฝนทิ้งไป ปล่อยให้น้ำฝนเทรดจนใบหน้าเปียกชุ่ม จากนั้นเอ่ยปากด้วยเสียงอันดังว่า “เมตตาธรรมและความกตัญญูนั้นเป็นเสาหลักในการสถาปนาอาณาจักรต้าซ่ง กฎหมายเป็นรากฐานในการปกครองบ้านเมือง ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายจะเสื่อมลงโดยไร้เหตุผลเพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับองค์ชายได้อย่างไร? ขอฝ่าบาทโปรดทรงไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ทรงส่ายพระพักตร์ ชี้ไปทางนอกเมืองแล้วตรัสว่า “ช่างเถิด วันนี้เราเห็นศพของราษฎรมามากมายเกินพอ ไม่อยากจะเห็นศพของผู้ใดอีกแล้ว
ถ่ายทอดคำสั่งไป วันนี้ยกชายคากำแพงเขตพระราชฐานมุมหนึ่งให้พวกนางสองแม่ลูกได้พักพิง ท่านเปาไม่ต้องกล่าวให้มากความอีก!”
ฮ่องเต้หนุ่มตรัสจบความก็หันไปมองเถี่ยซินหยวนในอ้อมกอดมารดา ซึ่งเด็กน้อยกำลังหรี่หูรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ทรงเห็นว่าแม่ลูกคู่นี้ช่างน่าเวทนาโดยแท้ อดระลึกถึงโอรสทั้งสามที่จากไปตั้งแต่เยาว์วัยขึ้นมามิได้ จนพระทัยพลันอ่อนยวบ หลังจากโบกพระหัตถ์ส่งสัญญาณกับขันทีคนสนิทแล้ว ก็หันพระวรกายกลับขึ้นรถม้าไป
เปาเจิ่งก้าวออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง สั่งให้เจ้าหน้าที่ปลดตรวนที่คล้องคอหวังโหรวฮวาเอาไว้ จากนั้นเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ว่า “ฝ่าบาททรงมีเมตตา พวกเจ้าสองคนแม่ลูกจึงเคราะห์ดีพ้นภัยโดยไม่คาดคิด เพียงแต่ชายคากำแพงบริเวณนี้ไม่ควรเป็นที่อาศัยพักพิง ข้าจะหาสถานที่เหมาะสมกว่านี้ให้เป็นอย่างไรเล่า?”
หลังจากฟังบทสนทนาระหว่างฮ่องเต้และเปาเจิ่งจนเข้าใจกระจ่างแจ้ง หวังโหรวฮวารับรู้แล้วว่านางไม่ต้องมีโทษถึงตาย อุปนิสัยเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเช่นหญิงชาวนาคนหนึ่งก็สำแดงออกมา นางกอดบุตรชายเอาไว้แน่นแล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ข้าคือราษฎรของฝ่าบาท ย่อมเชื่อฟังรับสั่งของพระองค์ ข้ายอมสร้างเพิงหญ้าเล็กๆ ใต้ชายคากำแพงนี้ แต่ไม่มีทางไปอยู่ในคฤหาสน์หลังงามที่ท่านมอบให้เด็ดขาด!”
เมื่อกล่าวจบหวังโหรวฮวาก็อุ้มบุตรชายกลับไปนั่งซุกตัวอยู่ที่มุมกำแพง ขันทีที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ข้างๆ มาตลอดหัวร่อฮาๆ เสียงดังแล้วเอ่ยว่า “วาจานี้มีเหตุผลนัก! สิ่งที่ฝ่าบาทพระราชทานต่อให้เป็นเพียงเพิงหญ้า ก็นับว่าเป็นเกียรติสูงสุดยิ่งกว่าคฤหาสน์หลังงามจากผู้อื่นมากทีเดียว นี่เป็นเงินห้าพวงที่ฝ่าบาทพระราชทานเป็นรางวัลให้กับพวกเจ้า”
หลังจากขันทีผู้นี้กล่าวจบ ก็ไม่ใส่ใจเปาเจิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีอึดอัดลำบากใจ เขาถอดเสื้อกันฝนของตัวเองมาคลุมร่างของหวังโหรวฮวาเอาไว้แล้วกล่าวว่า “นี่เป็นรางวัลที่ข้ามอบให้เจ้า ข้าชอบใจวาจาที่เจ้าเอ่ยเมื่อครู่นัก”
มือข้างหนึ่งของหวังโหรวฮวาอุ้มบุตรชายเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นออกมารับเงินห้าพวงหนักอึ้งด้วยท่าทียินดีอย่างยิ่ง แต่ขันทีผู้นั้นไม่รอฟังคำขอบคุณจากนาง เขาหายลับไปจากสายตาไม่เห็นแม้แต่เงา
เปาเจิ่งถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวกับหวังโหรวฮวาว่า “เจ้าดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน!”
หวังโหรวฮวาส่งเสียงรับคำ จากนั้นเก็บรางวัลที่ตนได้รับแล้วกลับไปนั่งที่มุมกำแพงอีกครั้ง
เปาเจิ่งกวาดสายตามองผู้คนรอบข้าง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย แล้วออกคำสั่งกับมือปราบว่า “นอกจากแม่ลูกคู่นี้ ผู้ใดก็ตามเข้าใกล้กำแพงเมืองเขตพระฐานในระยะสิบก้าว ประหาร!”
บรรดามือปราบเอ่ยรับคำเสียงดังกระหึ่ม ก่อนจะก้าวออกมายืนที่ระยะสิบก้าว กวัดแกว่งดาบในมือแล้วตะโกนเสียงดังก้องว่า “พวกเจ้าทั้งหลายกางหูฟังให้ดี ใต้เท้าผู้ว่าเมืองหลวงมีคำสั่ง ผู้ใดบังอาจเข้าใกล้บริเวณนี้เกินสิบก้าว ประหาร!”
หวังโหรวฮวากลับไปที่มุมกำแพง อุ้มบุตรชายวางลงในถังไม้นั้นอีกครั้ง นางสะบัดศีรษะที่เปียกชุ่มน้ำฝนแล้วมองเขาด้วยความภาคภูมิใจว่า “คุณชาย พวกเราร่ำรวยใหญ่แล้ว ตอนนี้มีเงินมากถึงแปดพวง เจ้าว่าพวกเราสร้างเพิงพักเล็กๆอยู่ตรงนี้ดีหรือไม่?
ส่วนเงินที่เหลือแม่จะเก็บไว้ให้เจ้า เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมแล้วเจ้าก็แต่งภรรยาที่งดงามอ่อนหวานเข้าบ้านสักคน”
เถี่ยซินหยวนอ้าปากที่ยังไม่มีฟันขึ้นซักซี่ แล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปกับวาจาของมารดา เจ้าจิ้งจอกน้อยมองเห็นว่าคนกลุ่มนั้นจากไปแล้วก็กระโดดออกมาจากห่อผ้า หันไปทางหวังโหรวฮวาแล้วส่งเสียงครางหงิงๆ
หวังโหรวฮวารอดพ้นเคราะห์ร้ายมาได้ จิตใจย่อมสดชื่นแจ่มใสอย่างยิ่ง นางยื่นมือไปโยกศีรษะน้อยๆ ของลูกจิ้งจอกแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าก็โชคดีเหมือนกัน”
เมื่อเห็นผ้าอ้อมของบุตรชายเปียกไปหมดก็ไม่กล้ารอช้า หวังโหรวฮวารีบหยิบผ้าออกมาเปลี่ยนให้ใหม่ แม้ว่าผ้าผืนนั้นจะชื้นอยู่บ้าง แต่ก็ยังแห้งสบายกว่าผ้าอ้อมผืนเดิม
หลังจากหวังโหรวฮวาได้ที่พักพิงให้ลงหลักปักฐาน ดูเหมือนว่านางจะมีเรี่ยวแรงให้ใช้ได้ไม่หมดสิ้น ในช่วงเวลาเพียงน้อยนิดนางไม่เพียงใช้ผ้าเคลือบน้ำมันมาตั้งกระโจมอย่างเรียบง่ายหลังหนึ่ง ยังนำเสื้อผ้าแห้งสะอาดมาปูในถังไม้ ก่อนจะอุ้มบุตรชายพร้อมด้วยเจ้าจิ้งจอกน้อยกระโดดลงไปเตรียมตัวนอนพักผ่อน
แม้สายฝนยังโปรยปรายอย่างต่อเนื่อง แต่ว่าก็ซาลงไปมากแล้ว มีเพียงหยาดน้ำฝนโดนลมพัดกระเซ็นเข้ามาใต้ชายคากำแพง ร่วงลงกระทบกับกระโจมจนเกิดเสียงดังเปาะแปะเป็นครั้งคราว
หวังโหรวฮวานั่งอยู่ในถังไม้เฝ้าอธิษฐานว่า “พี่ชี ทั้งหมดนี้เป็นเพราะวิญญาณท่านที่อยู่บนสวรรค์คอยคุ้มครอง ท่านต้องช่วยดูแลให้ลูกชายของเรามีร่างกายแข็งแรงดั่งลูกวัว จะได้มีลูกหลานสืบทอดวงศ์ตระกูล คอยเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ข้าก็จะตั้งใจทำงานให้ดี เลี้ยงดูลูกชายของเราให้เติบใหญ่”
เถี่ยซินหยวนเข้าใจดีว่า นี่ถึงจะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหวังโหรวฮวา ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้ หรือว่าผู้ว่าเมืองหลวง หรือว่าขุนพลผู้องอาจก็ห่างไกลจากตัวนางมากนัก
นางยอมเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะดวงวิญญาณของสามีสำแดงอิทธิฤทธิ์ แต่กลับไม่ยอมเชื่อว่าขุนน้ำขุนนางผู้มีบารมีมากล้นเหล่านั้นกำลังแสดงความเมตตา
เหตุผลข้อนี้เรียบง่ายทีเดียว เถี่ยซินหยวนไม่เคยคิดว่าตนและมารดามาอาศัยพักพิงที่มุมกำแพงเขตพระราชฐานสักครู่หนึ่ง จะเป็นความผิดใหญ่โตอะไรนักหนา
หรือต่อให้มี...ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
ลูกผู้ชายมีบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ ในชาติก่อนเรื่องที่ทำให้เขาเจ็บใจเป็นที่สุดคือ ยังไม่ทันทวงหนี้แค้นจากผู้ที่ติดค้างจนครบถ้วน ดวงวิญญาณก็หลุดลอยมาที่นี่เสียก่อน ฉะนั้นในชาตินี้จึงไม่อาจทนให้เรื่องราวเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมได้อีก
หยางไฮว๋อวี้ เปาเจิ่ง? ฮ่องเต้ ขันที?
ช่างน่าสนใจเสียจริง....
หวังโหรวฮวาพยายามดันศีรษะบุตรที่ชอบโผล่ออกมากลับเข้าไปในผ้าอ้อม แล้วผลักเจ้าจิ้งจอกไปอยู่อีกทาง จากนั้นเอนตัวหนุนห่อผ้าที่เก็บเงินเอาไว้ ก่อนจะหลับสนิทไปในเวลาไม่นาน
เถี่ยซินหยวนยังนอนไม่หลับ เขาลองบังคับลิ้นของตัวเองให้ฝึกพูดหลายต่อหลายครั้ง เรื่องน่าหงุดหงิดที่สุดของเด็กทารกก็คือไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้
เพียงแต่การฝึกพูดไม่ใช่เอาไว้คุยกับมารดาในวันพรุ่งนี้ ถ้าหากทำเช่นนั้นนางและผู้คนในเมืองหลวงคงตกใจมากเป็นแน่
สายตามองลอดช่องว่างเล็กๆ ของผ้าอ้อม เถี่ยซินหยวนเหลือบมองท้องฟ้ามืดมิดสีดำสนิท เขาเผยรอยยิ้มแปลกพิกลออกมา และเปล่งวาจาด้วยเสียงทุ้มต่ำชัดเจนว่า “ข้ามาแล้ว!”
ลมหายใจของหวังโหรวฮวาสงบนิ่งมั่นคง นางหลับสนิทไปโดยไม่รู้สึกตัวแล้วจริงๆ ฉะนั้นจึงไม่มีทางได้ยินบุตรชายเปล่งวาจาด้วยเสียงแปลกประหลาด แต่ลูกจิ้งจอกที่นอนอยู่ตรงเท้าของเถี่ยซินหยวนกลับได้ยินเข้า หูของมันตั้งชันด้วยความสับสน เมื่อไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก ก็เอาหน้าซุกกับพวงหางน้อยๆ ของตนอีกครั้ง...
----------------------------
[1] เปาเจิ่ง (包拯)ชื่อจริงของเปาบุ้นเจิ้น ขุนนางที่มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ (北宋)
[2] คำสอนของท่านขงจื๊อ(孔子)จะเน้นคุณธรรม จริยธรรม ในหลุนอวี่(论语)คัมภีร์พื้นฐานของสำนักปรัชญาขงจื๊อ จะไม่กล่าวถึงเรื่องแปลกประหลาด ความป่าเถื่อน ความสับสนวุ่นวายและเรื่องผีสางเทวดา