บทที่ 32 ภาพที่สะท้อนผ่านเงากระจก
บทที่ 32 ภาพที่สะท้อนผ่านเงากระจก
เฟียร์ โมเรน และไกร่า ทั้งสามคือมารระดับสูงที่ถูกกล่าวขานแม้กระทั่งในโลกของมารว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างโดดเด่นที่สุดทีมหนึ่ง พวกเขาแม้มีพลังส่วนบุคคลที่แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว แต่พอรวมกันเป็นทีมเมื่อไหร่จะยิ่งแสดงพลังอันแข็งแกร่งออกมาได้โดดเด่นยิ่งกว่า
รูปแบบการจัดองค์ประกอบในการรบที่พวกเขาใช้จนกลายเป็นสไตล์การต่อสู้หลักก็คือการแบ่งสามระยะ โดยมีไกร่าเป็นทัพหน้าซึ่งทำหน้าที่บุกทะลวงและทำลายศัตรูด้วยพละกำลังอันแข็งแกร่ง ส่วนเฟียร์ซึ่งอยู่ทัพกลางจะคอยต้านทานการจู่โจมของศัตรูและคอยสกัดกั้นไม่ให้มีศัตรูตัวใดหลุดรอดไปหาโมเรนซึ่งอยู่ทัพหลัง เขาจะทำหน้าที่จู่โจมด้วยพลังอันแข็งแกร่งจากระยะไกล นี่ก็คือองค์ประกอบการจัดทัพของทั้งสามตน
เมื่อเห็นการจัดองค์ประกอบแบบนี้เมื่อไหร่ แสดงให้เห็นว่าทั้งสามมีความตั้งใจจริงที่จะบดขยี้ฝ่ายตรงข้ามให้แหลกลาญ
แน่นอนว่าสไปค์เองก็รับรู้ถึงความร้ายกาจจากการจัดรูปแบบการต่อสู้นี้ได้ เขามองดูท่าร่างของไกร่าที่เดินเข้ามาทีละก้าว เสียงฝีเท้าที่ดังกระทบพื้นอย่างหนักแน่นเป็นจังหวะของมันทำให้นึกถึงนาฬิกาที่กำลังนับถอยหลัง
หากละสายตาไปแม้เสี้ยววิ อาจจะโดนขวานยักษ์สองคมเล่มนั้นสับร่างจนขาดเป็นสองท่อนในทันที
ไกร่าเริ่มเปลี่ยนจากท่าเดินเป็นวิ่ง เสียงตึงตังดังขึ้นตามจังหวะที่น้ำหนักของมันกระทบกับพื้นดิน สไปค์เพ่งสายตามองร่างอันใหญ่โตนั้นอยู่สักพักก่อนจะพุ่งสวนกลับเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง การกระทำอันบ้าบิ่นนี้สร้างความประหลาดใจให้กับฟลอร์เลนเป็นอย่างมาก
เขาควรจะรอตั้งรับและสวนกลับ
เมื่อเห็นสไปค์วิ่งเข้าสู่ระยะขวาน ไกร่าจับอาวุธของตนยกขึ้นก่อนจะเหวี่ยงฟาดไปอย่างรุนแรง!
เคล็ดหักเขี้ยว!
ร่างกายของสไปค์คล้ายละลายหายไปกับอากาศ เขาผุดขึ้นมายืนอยู่เหนือขวานตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ไกร่าทิ้งขวานของตนแล้วใช้สองมือหมายจะคว้าร่างที่เล็กกว่ามาไว้ในอ้อมอก ตั้งใจจะรัดอีกฝ่ายให้ตายในคราวนั้น ซึ่งสไปค์กลับรู้ทันจังหวะที่มันยื่นมือเข้ามา เขาแยกขาทั้งสองออกยันมือของไกร่าทิ้งไปนอกระยะ ก่อนจะตั้งฉากแขนทั้งสองขึ้นตรงส่วนศีรษะของมัน
พลังปราณสีม่วงเข้มขยายอาณาเขตออกมาจากฝ่ามือ อัดกระแทกใส่ใบหน้าของไกร่าเต็มเหนี่ยวจนหงายผึงกลับไป!
แรงดีดส่งผลให้ทั้งคู่แยกตัวออกจากกัน พลันนั้นมีแส้เส้นหนึ่งตวัดเข้ามากลางเวหา หมายจะพันธนาการร่างของสไปค์เอาไว้ แต่แม้จะตวัดมาด้วยความเร็วสูงสุดหลังจากที่เห็นช่องโหว่ ชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายก็ยังไหวตัวรู้ทันอยู่ดี เขากวาดมือวาดปราณไร้ลักษณ์ต้านทานแส้เส้นนั้นไว้อย่างแม่นยำ ปัดมันกระเด็นจนพ้นทาง
เมื่อตั้งตัวได้อีกครั้งไกร่าก็วิ่งตรงเข้ามาหยิบขวานของตน เหวี่ยงขึ้นจากด้านล่างหมายจะแหวกร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นให้ขาดเป็นสองท่อน สไปค์ตั้งปราณไร้ลักษณ์ของตนขึ้นเสมือนเป็นกำแพงปกปักษ์ เมื่อปราณนั้นปะทะเข้ากับแรงเหวี่ยงของขวานก็สร้างแรงต้านทานระหว่างกันเอาไว้
ชั่วพริบตานั้นแสงดรรชนีสีเหลืองก็พุ่งทะลวงผ่านเข้ามาอย่างดุดัน แทงใส่แผ่นอกของชายหนุ่มจนกระเด็นหลุดออกจากระยะขวานไปไกล!
“สไปค์!” ฟลอร์เลนอุทานออกมาเมื่อเห็นสไปค์พลาดพลั้งโดนจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว
ร่างของสไปค์กลิ้งขลุกไปตามพื้นจนเนื้อตัวมอมแมม และโดยไม่รอเวลาให้เขาลุกขึ้นยืน ไกร่าวิ่งพุ่งมาหมายจะใช้ขวานยักษ์สะบั้นร่างนั้นให้แหลกเป็นเศษเนื้อ แววตาของมันยามนี้เกรี้ยวกราดอำมหิตยิ่งนัก
“ปราณไร้ลักษณ์ระดับห้า”
พลันนั้นมีเสียงทุ้มต่ำเล็ดลอดผ่านกลุ่มควันออกมา
“กระบวนท่ารุก”
บังเกิดเสียงอัดกระแทกดังลั่นท้องฟ้าราวถูกสายฟ้าฟาดผ่าลงมา แผ่นอกอันหนาแน่นกำยำของมารร่างยักษ์กลายเป็นหลุมหมัดในเสี้ยววินาที ไกร่ากระเด็นออกไปด้านหลังด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่าร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวมันกระแทกเข้ากับซากอาคารด้านหลังจนพังทลายยังพึ่งรู้สึกตัวว่าโดนจู่โจมกลับมา
กระทั่งเฟียร์และโมเรนยังพึ่งจะหันไปมองดูไกร่าหลังจากที่เวลาล่วงเลยมานานกว่าสามวินาที...
ไกร่าที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำ พอกลับคืนสู่ร่างมารยิ่งมีแผ่นอกแกร่งกล้าราวกับเหล็กไหลเคลื่อนที่ได้ แต่สภาพที่มารทั้งสองเห็นในตอนนี้คือแผ่นอกของไกร่ากลับมีรอยปริร้าวเพิ่มขึ้นมา ตรงจุดศูนย์กลางของรอยร้าวถึงกับมีรอยหมัดประทับอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ
“พ...พลังนั่นมัน” เมื่อมองเห็นสภาพของไกร่าแล้ว เฟียร์ถึงกับอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพร่างของชายผู้หนึ่งขึ้นมา
บุรุษผู้นั้นมีลักษณะที่องอาจ เกรียงไกร เต็มไปด้วยมวลหมู่อำนาจพลังอันล้ำลึกสุดหยั่งถึง ในอดีตเขาคือจุดรวมศูนย์แห่งความหวาดกลัวไม่ว่าจะเป็นทั้งมนุษย์หรือแม้กระทั่งมารด้วยกันก็ยังต้องยอมศิโรราบให้ แต่ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปเนิ่นนานซึ่งเขาไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาให้ใครเห็นอีก ทำให้หลายต่อหลายคนล้วนแต่หลงลืมไปว่าเขาเองยังมีชีวิตอยู่
สิ่งที่เฟียร์สัมผัสได้จากพลังที่สไปค์ปล่อยออกมาเมื่อครู่ ดูไม่ต่างไปจากพลังที่เขาคนนั้นมีเช่นเดียวกัน
“แกเป็นตัวอะไรกันแน่!” โมเรนปล่อยพลังดรรชนีใส่สไปค์ที่เดินออกมาอย่างไม่กลัวเกรง พลัวดรรชนีที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดดุดัน มันแสดงออกผ่านพลังอำนาจที่แฝงเร้นเอาไว้อย่างมหาศาล แต่สไปค์กลับเพียงเคลื่อนกายอย่างเรียบง่าย เอี้ยวตัวหลบเส้นแสงเหล่านั้นเหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ก็มิปาน
“ปราณไร้ลักษณ์ระดับห้า เคล็ดสลายปีก”
ชายหนุ่มหมุนตัวพลิ้วไหวแลดูสอดคล้องกับเส้นแสงดรรชนีเหล่านั้น การโจมตีของโมเรนไม่มีจุดไหนที่เข้าเป้าเลย พอจังหวะใกล้กระทบผิวหนังฝ่ายตรงข้ามก็พลันถูกปราณไร้ลักษณ์ขับเคลื่อนปัดไปทางอื่นจนหมดสิ้น เขายิ่งจู่โจมมากเท่าไหร่ สไปค์ก็ยิ่งเคลื่อนตัวเข้าไปข้างหน้าหาเขาได้เร็วมากเท่านั้น เฟียร์เล็งเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเหวี่ยงแส้ของตนและตวัดรัวเร็วหมายจะสกัดกั้นไม่ให้อริศัตรูเดินเข้าใกล้ไปมากกว่านี้
“เคล็ดกายมายา!”
แส้ของเฟียร์ไม่อาจสัมผัสโดนตัวของสไปค์ได้เลยแม้แต่น้อย ในการตวัดแส้ทุกครั้งมักจะถูกปัดออกอย่างรวดเร็วเสมอ พลังของเฟียร์ในร่างมารนี้อยู่ในระดับปราณขั้นที่เจ็ด แต่แม้เป็นเช่นนั้นก็ยังฝ่ากระบวนท่าไร้ลักษณ์ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังปราณระดับห้าของสไปค์ไม่ได้
ฟุ่บ!
สไปค์พุ่งเข้าประชิดตัวของเฟียร์อย่างรวดเร็วชนิดที่ตัวเธอเองยังมองตามไม่ทัน
และ ‘กระบวนท่ารุก’ ก็ถูกใช้ออกมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เปรี้ยง!
ร่างของเฟียร์กระเด็นไปตามแรงอัดของหมัด มันส่งผลเร็วกว่าที่เสียงจะดังขึ้นด้วยซ้ำไป พอเห็นเช่นนั้นแล้วโมเรนก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจว่าเป้าหมายถัดไปจะเป็นตนแน่แล้ว
และก็เป็นดั่งที่คิดเอาไว้ ภายในพริบตาเดียวสไปค์ก็กระโดดขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าเขา
“นี่คือพลังของพวกเจ้าทั้งสามงั้นเหรอ?”
เปรี้ยง!
กล่าวจบก็เหวี่ยงเท้าฟาดร่างของมารร่างเล็กลงมากระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรงจนทะลวงกลายเป็นหลุมลึก สไปค์หมุนตัวสองตลบร่อนลงมาเหยียบพื้นด้านล่าง ใช้มือทั้งสองปัดป้องเศษฝุ่นที่ติดตามเนื้อตัวก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
“พวกเจ้าใช่มารที่เคยบุกหมู่บ้านข้าเมื่อเจ็ดปีก่อนแน่รึ?”
คำถามของสไปค์หาใช่การเอ่ยออกมาด้วยความเหยียดหยัน แต่เนื่องมาจากการที่เขาสงสัยจริง ๆ จึงได้ถามออกมาแบบนั้น เพราะเมื่อเจ็ดปีก่อนเขายังจดจำความรู้สึกหวาดกลัวในใจได้อยู่เลย พลังของมารที่เขาได้สัมผัสกับตัวเป็นครั้งแรกนั้นช่างชวนให้รู้สึกหวาดกลัวจนไม่เป็นอันต้องทำอะไร แต่พอเป็นคราวนี้...เขากลับรู้สึกผิดหวังขึ้นมา
มารที่มนุษย์ต่างเกรงกลัว อ่อนแอถึงเพียงนี้รึ?
“พวกเขาทั้งสามเป็นมารระดับสูงแห่งโลกของตนเอง มีฝีมือแข็งแกร่งไม่ผิดไปจากที่ท่านคิดแน่ เพียงแต่...” ฟลอร์เลนพูดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าอันว่างเปล่าของสไปค์ “...ท่านแข็งแกร่งเกินไป เพียงระยะเวลาสั้น ๆ แค่นี้ ท่านไปทำอะไรมา?”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากฝึกฝนอยู่ตลอด เพื่อค้นหาวิชารุกของกระบวนยุทธ์ไร้ลักษณ์น่ะสิ”
“อ้อ กระบวนท่ารุกที่ว่าคือท่าที่ใช้จู่โจมไกร่ากับเฟียร์น่ะเหรอ”
“ใช่ มันค่อนข้างเร็ว ท่านอยากให้ข้าอธิบายไหม?”
“ไม่จำเป็นหรอก” ฟลอร์เลนส่ายหน้า “ข้าพอจะรู้จักมันอยู่”
“อะไรนะ ท่านรู้จักมันได้ยังไง?”
ฟลอร์เลนเงียบไปทันที คำถามนี้ดูจะยากเกินกว่าจะตอบกลับได้
“ก็เพราะนางคือผู้ที่เคยยืนอยู่เคียงข้างบุรุษที่มีพลังแบบเดียวกับเจ้ามาก่อนน่ะสิ”
ดวงตาของฟลอร์เลนถึงกับเบิกโพลงขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก สไปค์หันไปทางทิศที่มีเสียงนั้นก่อนจะพบกับร่างของมารทั้งสามที่กำลังพยุงกันให้ลุกขึ้นอยู่ กระแสปราณของพวกมันต่างติดขัดจนรวบรวมแทบไม่ได้ การโจมตีของสไปค์หนักหน่วงรุนแรงจนเกินกว่าจะต้านรับไหว แม้จะโดนกันเข้าไปแค่หนึ่งครั้งก็ยังส่งผลมากถึงขนาดนี้
“รูปแบบการต่อสู้ของพวกข้าถึงกับโดนเจ้าทำลายได้ง่าย ๆ เจ้าหนู...ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฟลอร์เลนถึงต้องการปกป้องเจ้านัก” เฟียร์เผยแววตาเคียดแค้นออกมา
สไปค์หันมามองทางฟลอร์เลน เขาไม่กล้าพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่เฟียร์พูดออกมาเมื่อครู่ และใบหน้าของฟลอร์เลนตอนนี้กลับฉายแววสับสนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอะไรไป กลัวอะไร ท่านไม่กล้าเผยความจริงงั้นหรือ ฟลอร์เลน”
“หุบปากของเจ้าซะ เฟียร์”
“หรือไม่กล้าบอกว่าแท้จริงแล้ว ท่านก็คือ...สิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับพวกข้า”
รอยยิ้มของเฟียร์แสยะออกมากว้างขวางน่ากลัว มันแฝงความสะใจเอาไว้ในนั้น ในขณะที่สีหน้าของสไปค์เปลี่ยนไปทันที ปราณไร้ลักษณ์ที่ห่อหุ้มร่างอยู่ถึงกับสลายไปเพราะความสับสนจนไม่อาจควบคุม
สิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับพวกข้า
นั่นมันไม่ได้หมายถึง...
“ท่านคงไม่ได้หมายถึง...มาร ใช่ไหม?”
น้ำเสียงของสไปค์เจือปนความรู้สึกไม่อยากเชื่อเอาไว้ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อมองไปที่ใบหน้าของฟลอร์เลน เขาจะได้ยินคำพูดตอบกลับมาว่าข้าไม่ใช่
แต่สิ่งที่ได้กลับมา กลับเป็นดวงตาที่ว่างเปล่าและรอยยิ้มอันเจือจางยากจะปฏิเสธข้อกล่าวหานั้น
“ข้า...” เธออ้าปากขึ้น ตั้งใจจะกล่าวคำพูดใดออกมาแต่ก็ตัดสินใจเงียบเสียงไป
สไปค์กัดริมฝีปากตนแน่น เขาหยิบกระจกเงามารขึ้นมาแล้วส่องไปทางฟลอร์เลนอย่างไม่ลังเล ภาพที่ปรากฏในเงากระจกยิ่งทำให้เขาตกตะลึงมากยิ่งขึ้น แม้มันไม่ได้เผยให้เห็นร่างมารที่น่าเกลียดชังเฉกเช่นมารตนอื่น ๆ แต่ก็ยังปรากฏเงาทมิฬครอบคลุมร่างของฟลอร์เลนเอาไว้ทุกส่วนสัด ตัวเธอในกระจกแม้ไม่ใช่ตัวตนที่น่าเกลียดชัง แต่พอยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกถึงความเย็นเยือกที่ไม่มีทางที่มนุษย์ตนไหนมี
เธอคือ มาร...
“เห็นแล้วสินะ ตัวจริงของข้า”
เธอเบนสายตาหันไปมองทางสไปค์ด้วยสีหน้าเว้าวอน ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเธอในยามนี้เล็กลงจนแทบมองไม่เห็น เขารู้สึกเหมือนสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้กำลังอ้อนวอนไม่ให้เขาเปลี่ยนไปจากเดิม
“ท่านคือมารงั้นหรือ” แม้จะเห็นผ่านกระจกแล้ว แต่เขาก็ยังอยากได้ยินจากปากเธอเหมือนเดิม
และคำตอบที่ได้กลับมาคือการพยักหน้า
“ท่าน...ท่านดูไม่เหมือนมารเลยสักนิด ไม่มีทางเป็นไปได้”
“ความจริงก็คือความจริง และเพราะข้าเป็นเช่นนี้จึงได้ต้องการท่าน สไปค์” แต่แล้วสิ่งที่ฟลอร์เลนกล่าวกลับยิ่งทำให้สไปค์ประหลาดใจมากขึ้นไปอีก
“ข้าเฝ้ารอช่วงเวลานี้มาตลอด แต่ทว่า...มันคงจะเป็นไปไม่ได้แล้วกระมัง”
รอยยิ้มที่เธอแสดงออกมา แสดงออกถึงความเศร้าที่แสนหนาวเหน็บ อาจบางทีเธอคงกำลังคิดว่าเขาคงไม่เหลียวแลเธออีกต่อไปแล้ว เมื่อได้รู้ความจริงข้อนี้
“บอกข้าให้เข้าใจ” แต่สไปค์กลับยังต้องการคำยืนยัน เขาไม่ได้ฉลาดพอจะเดาออกว่าสิ่งที่เธอตั้งใจจะพูดมาตลอด มันหมายถึงเรื่องอะไรกันแน่
“คนนี้น่ะรึ ที่ทำให้เจ้าหนีจากข้าไป”
แต่แล้วกลับมีเสียงปริศนาดังแทรกเข้ามาระหว่างกลางของทั้งคู่
อย่างรวดเร็ว และไม่ทันได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ ก็ปรากฏร่างสูงใหญ่แทรกกลางชายหญิงทั้งสองเอาไว้โดยไม่มีแม้สัมผัสหรือกลิ่นอายอันใด
ดวงตาของสไปค์ลุกโพลงขึ้นก่อนจะถอยกายออกห่างในพริบตา เพราะลางสังหรณ์มันบอกกับเขาไว้ว่าหากไม่ทำเช่นนี้ ก็คงจะไม่มีโอกาสได้ทำอีกแล้ว เมื่อเขาถอยออกมาตั้งหลักได้ก็จ้องมองไปยังจุดนั้นอีกครั้ง ที่นั่นเขาพบกับบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง เขายืนอยู่เบื้องหน้าฟลอร์เลนที่มีร่างกายสั่นเทาไม่อาจควบคุม ดวงตาของเธอเลิ่กลั่กไปมา ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วยามนี้กลับกลายเป็นขาวซีดจนดูไร้ชีวิต
มารทั้งสามที่อยู่ห่างออกไปต่างมีสีหน้าแตกตื่นระคนตกใจขึ้นพร้อมกัน พวกมันไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่ตนมี และรีบหมอบราบกับพื้นพร้อมทั้งโน้มหัวลงมาอย่างพร้อมเพรียง การกระทำเช่นนั้นอยู่ในสายตาของสไปค์ตั้งแต่ช่วงแรกยันจบช่วง คนที่ทำให้มารระดับสูงทั้งสามต้องรีบปฏิบัติตัวเช่นนี้ จะมีใครอื่นได้อีก
“ราชันย์มาร อัชลี่ย์”
ชายหนุ่มมีความรู้สึกว่าน้ำเสียงของตนกำลังแหบแห้งลงทุกวินาที...