บทที่ 3 การให้เขาตรวจนับเป็นเกียรติของเธอแล้ว
บทที่ 3 การให้เขาตรวจนับเป็นเกียรติของเธอแล้ว
“ขอแค่เป็นคนที่ไว้ใจได้ก็พอ” ตอนนี้ฉางฉิงรู้สึกระคายเคืองช่วงล่างสุดๆ แค่อยากจะรักษาให้หายไวๆ
“คุณหมอเยี่ยนใช่ไหมครับ”
ขณะนั้นเองเงาร่างในชุดกาวน์สีขาวที่สง่าผ่าเผยและสูงโปร่งก็เดินเข้าประตูมา ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มภายใต้แสงไฟสีขาวดูเย็นชา เขามีถุงใต้ตา ดูอ่อนล้าแต่กลับเซ็กซี่ด้วย
ปฏิกิริยาแรกของฉางฉิงคือผู้ชายคนนี้เป็นแฟนเก่าของกว่านอิงที่เจอกันที่คลับเมื่อคืนไม่ใช่หรือ ปฏิกิริยาที่สองคือคนที่จะมาตรวจเธอคงไม่ใช่...หมอผู้ชายคนนี้หรอกใช่ไหม
เมื่อเห็นชื่อ “ซ่งฉู่อี๋” ตรงหน้าอกเขา เธอก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา “พี่ คุณคนนี้คงไม่ใช่...คุณหมอซ่งที่พี่พูดถึงใช่มั้ย”
ฉางซินฉีกยิ้มและขอโทษเธอ
ฉางฉิงอยากจะบ้าตาย หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ฉางซินคงตายไปเป็นพันครั้งแล้ว
“คุณเป็นน้องสาวของคุณหมอเยี่ยนสินะครับ ไม่สบายตรงไหนเหรอครับ” ซ่งฉู่อี๋นั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะทำงาน ในโรงพยาบาลที่เงียบสงบแบบนี้ เสียงของเขาฟังดูชัดใสแบบที่ไม่ค่อยมีในผู้ชาย
เพียงแต่ตอนนี้ฉางฉิงไม่อาจสงบจิตสงบใจได้ เธอออกแรงลากฉางซินออกจากห้องตรวจ แล้วพูดด้วยสีหน้าเดือดดาลว่า “ทำไมพี่ไม่เห็นบอกฉันเลยว่าคุณหมอซ่งคนนี้เป็นผู้ชาย”
ฉางซินรีบตบบ่าเธอเบาๆ และลูบปลอบเธอ “เธอฟังพี่นะ อยู่ต่อหน้าโรคภัยไข้เจ็บ หมอเขาไม่แบ่งชายหญิงหรอก อีกอย่างถึงแม้ว่าคุณหมอซ่งคนนี้จะเป็นผู้ชาย แต่ฝีมือการรักษาดีกว่าคุณหมอแผนกสูตินรีเวชเสียอีก ให้เขาตรวจให้ รับรองว่าหายเป็นปลิดทิ้ง”
ฉางฉิงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ “จะให้ผู้ชายตรวจได้ยังไงกันล่ะ ถึงจะฝีมือดีแค่ไหนก็ไม่ได้หรอก พี่อย่าลืมสิว่าเมื่อกี้พี่ยังพูดอยู่เลยว่าไม่ให้ผู้ชายเป็นคนตรวจให้ฉัน ปกติพี่จะกะล่อนแค่ไหนก็ช่างมันเถอะ แต่ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ พี่เลิกแกล้งฉันสักทีได้มั้ย”
“โธ่เอ๊ย ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นล่ะก็ พี่ไม่มีทางยอมแน่นอน แต่คุณหมอซ่งไม่ใช่คนธรรมดาๆ นะ เขาเป็นอัจฉริยะเชื้อสายจีนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ระหว่างที่เรียนก็ได้รับรางวัลมากมายจากมหาวิทยาลัยแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา โรงพยาบาลที่นั่นต่างรั้งให้เขาอยู่ต่อ ทั้งยังหนุ่มยังแน่นและหน้าตาก็หล่อเหลา นับเป็นไอดอลของโรงพยาบาลเราหรือแม้กระทั่งในวงการแพทย์เลยทีเดียว การที่ให้เขาตรวจนับเป็นเกียรติของเธอแล้ว รีบเข้าไปเถอะ ได้พี่ชายรูปหล่อมาตรวจดูน้องสาวของเธอแบบนี้ ไม่เสียเปรียบแล้วล่ะ” ฉางซินผลักเธอเข้าไป จากนั้นปิดประตูตามหลังทันที
ฉางฉิงชักเริ่มสงสัยแล้วว่าคนๆ นี้คงไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ ของเธอ
“ชื่ออะไรครับ” ดูเหมือนว่าซ่งฉู่อี๋จะไม่เห็นปมที่ขมวดมุ่นอยู่ที่หว่างคิ้วของเธอ เขาเปลี่ยนคำถามด้วยท่าทีที่ยังคงสงบนิ่ง
“...เยี่ยน...ข้างบนเป็นตัวรื่อ ข้างล่างเป็นตัวอัน...”
ฉางฉิงก้มหน้าก้มตาและมองดูมือข้างที่ใช้เขียนหนังสือของเขา สวยงาม สะอาดสะอ้าน แล้วก็ขาวมาก ขาวกระจ่างเหมือนกับใบหน้าของเขาเลย เพียงแต่ปากกาหมึกซึมด้ามนั้นหยุดชะงักบนกระดาษอยู่หนึ่งวินาที แล้วถึงค่อยเขียนคำว่า ‘เยี่ยน’ ลงไป จากนั้นจึงถามต่อว่า “ไม่สบายตรงไหนเหรอครับ”
แล้วคำถามนี้ก็มาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เยี่ยนฉางฉิงรู้สึกอึดอัดใจจนหน้าแดงก่ำ ดีที่สวมผ้าปิดปากไว้เลยเห็นได้ไม่ชัด เพียงแต่ว่าเสียงที่เปล่งออกมาอย่างยากลำบากฟังดูแห้งผาก “สัปดาห์ก่อนหลังจากทำงานการกุศลเสร็จได้ไม่นาน ตอนที่อัดรายการ ฉันต้องอยู่ในน้ำสกปรกที่เย็นเป็นน้ำแข็งนานมาก ต่อมา...ช่วงล่างก็รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวค่ะ...”
ตอนนี้ซ่งฉู่อี๋ถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเธออย่างจริงจัง ภายใต้ขนตาที่งอนหนาของเขาฉายแววเคร่งขรึมเล็กน้อยโดยที่ไม่มีทางสังเกตเห็นได้ เยี่ยนฉางฉิงหัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ กลัวเขาจะจำได้ว่าเธอเป็นเพื่อนของกว่านอิง แล้วมาระบายโมโหใส่เธอเรื่องที่ถูกสวมเขา
แต่ตอนนี้เธอเชื่อคำพูดของกว่านอิงแล้วจริงๆ ที่ว่าเขาไม่เก่งเรื่องอย่างว่า
นั่นสินะ...ผู้ชายที่เก่งที่สุดในแผนกสูตินรีเวชจะต้องเห็นสรีระของผู้หญิงทุกวันอยู่แล้ว พอนานวันเข้า การที่เรื่องนั้นไม่ปกติหรือไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองนับว่าเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดามาก ไม่ได้จิตวิปริตก็ดีถมไปแล้ว
“ไม่สบายเนื้อสบายตัวยังไงครับ”
ผิดคาดแฮะ ซ่งฉู่อี๋ไม่ได้ถามนอกเรื่องเลย
.............................................................