บทที่ 25 : นิยามคำสั่ง
บทที่ 25 : นิยามคำสั่ง
“เป็นอะไรเปล่าจ้ะ ฮอรัส” เอลีอาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดปกติที่แผ่ออกมาจากหุ่นสงครามหลังจากที่เผลอกอดเขาดังนั้นก็เอ่ยออกมาพร้อมแสดงสีหน้าเป็นกังวล เพราะความจริงโดยทั่วไปมันควรจะเป็นความรู้สึกเขอะเขิน แต่สิ่งที่เธอรู้สึกนั้นไม่ใช่
ถึงแม้บนโลกนี้ คนที่คลุกคลีและเข้าใจภาษาท่าทางการแสดงออกของฮอรัสมากที่สุดจะเป็นตัวเธอเอง แต่เธอก็ไม่กล้าฟันธงสิ่งที่เขาคิดหรือรู้สึก เพราะขนาดเจ้าตัวเองยังไม่เข้าใจความหมายของความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองเลย เช่นนั้นต่อให้เป็นเธอก็ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่ฮอรัสคิดได้ เพียงแค่มองเห็นความแตกต่างของการแสดงออกเท่านั้นมันไม่พอจะใช้บอกอะไร
ทว่าคำถามที่เธอถามออกไปนั้นไร้ซึ่งคำตอบอย่างที่เธอต้องการจะเข้าใจ เมื่อหุ่นสงครามไม่แสดงออกทางสีหน้าหรือภาษากายใดๆ เขาเพียงแค่ปฏิเสธออกมาด้วยน้ำนิ่งเรียบ แล้วรายงานภารกิจด้วยความเคยชิน
“ผมไม่เป็นอะไร... ผมผ่านการทดสอบรอบแรกแล้ว ภารกิจสำเร็จสมบูรณ์” ฮอรัสกล่าวขณะที่เดินถอยออกห่างจากเอลีอามาก้าวหนึ่ง พลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเฉยชา ไม่ส่อประกาย
แต่การแสดงออกเช่นนั้นทำให้เอลฟ์สาวผ่อนลมหายใจของตัวเองออกมาอย่างเป็นห่วง เพราะเธอรู้ว่ามีเด็กน้อยเดียงสา อ่อนโยนซ่อนอยู่ในตัวฮอรัส แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามสอนหรือทำอย่างไรก็ไม่สามารถกระเทาะทำลายเปลือกนอกแห่งความเป็นตุ๊กตาของเขาลงได้เลย จนบางทีเธอก็คิดว่ามันอาจเป็นตัวเขาเองที่ไม่ต้องการจะออกไปจากกรงที่กักขังความรู้สึกต่างๆ เอาไว้ด้วยเหตุผลที่เธอก็ไม่เข้าใจ
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรอว่านี่ไม่ใช่ภารกิจ เธอต้องเลิกคิดว่าทุกอย่างเป็นภารกิจได้แล้วนะฮอรัส” เอลีอาว่าขณะมองเข้าไปในดวงตาสีดำมืด ซึ่งตอนนี้เอียงลงเล็กน้อยเป็นการสื่อความหมายที่ทุกคนเริ่มจะชินและรู้กันหมดแล้วว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
“ผมไม่เข้าใจ...” อย่างที่ทุกคนพอจะเดาได้ เขาเอียงคอแล้วบอกว่า ‘ไม่เข้าใจ’ มันเป็นเช่นนี้เสมอมา ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน เพียงแค่ทักษะในการสื่อสารของฮอรัสกับคนปกติทั่วไปดูจะพัฒาขึ้นแล้ว เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ได้มีแต่คำถาม มันมียังมีคำอธิบาย “การสอบคือสิ่งที่ผมถูกมอบหมายให้ทำ มันคือภารกิจ ถ้าไม่ใช่แล้วมันคืออะไร”
“มะ มันคือ...” ทว่าดูเหมือนสิ่งที่ฮอรัสว่านั้นดูจะเป็นการปิดประตูคำตอบสำหรับเอลฟ์สาวเสียมากกว่า เพราะมันทำให้เธอถึงกับแสดงอาการเลิกลักคิดคำตอบไม่ออก
จนกระทั้งเสียงเล็กๆ ดังขึ้นจากนักวิเคราะห์สาวตัวเล็กซึ่งยืนฟังบทสนาทของทั้งสองคนอยู่แล้วตั้งแต่แรก
“มันอาจจะเป็นคำขอ หรือไม่ก็อาจจะเป็นคำสั่งล่ะมั้งคะ ฮอรัส” ไอน์กล่าวเสียงใส พร้อมเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ทั้งสองคน แล้วก้มกลับไปตรวจสอบเอกสารในมือของตัวเองต่อ “ต่างคน ต่างก็มีนิยามของคำต่างกันไป แต่สำหรับพวกเรา ภารกิจคือหน้าที่ มันคืองานที่ต้องทำ ไม่อาจบิดพลิ้วหรือหลีกเลี่ยงได้ ต่างจากคำขอที่คุณมีสิทธิ์เลือก จะทำหรือไม่ก็สุดแล้วแต่จะสมัครใจ คำสั่งก็เช่นกันมันอาจฟังดูเป็นการบังคับ แต่ในท้ายที่สุดคุณก็ยังเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะทำตามคำสั่งของใคร หรืออาจจะเลือกที่จะไม่ทำตามเลยก็ได้”
“การขัดคำสั่งถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ มันคือการผิดกฎขั้นร้ายแรง” ฮอรัสประมวลภาพ แล้วกล่าวตามสิ่งที่ถูกฝังอยู่ในหัวของเขาออกมา ในฐานะของตุ๊กตาและอาวุธ เขาคงอยู่ได้ด้วยคำสั่งและภารกิจ มันคือตัวตนที่เขาถูกปาดป้ายมาให้เป็นในยุคสงคราม
และนั่นคือสิ่งที่เอลีอาพยายามเปลี่ยนแปลง เขาอาจถือกำเนิดในโลกที่ถูกแต่งแต้มด้วยเลือด ไฟ และเถ้าสงคราม แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจำเป็นจะต้องจมไปกับมัน
พอได้ยินคำตอบของฮอรัสดังนั้นไอน์ก็ละจากเอกสารในมือทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องฮอรัสด้วยสายตาจริงจังกว่าเดิม “งั้นถ้าฉันสั่งให้คุณทำร้ายคุณเอลีอาเดี๋ยวนี้ล่ะคะ”
“อะ เอ๋!” เอลฟ์สาวอุทานขึ้นมาเบาๆ แม้จะมั่นใจอยู่แล้วว่าฮอรัสจะไม่ทำอะไรเธอแน่
และก็เป็นเช่นนั้น เพราะฮอรัสเพียงนิ่งงันไปเฉยๆ ไม่แสดงท่าทางเป็นภัยคุกคามใดๆ ออกมา นอกจากสายตาสีนิลที่จับจ้องไปยังนักวิเคราะห์สาวอย่างกระด้างแข็ง แม้นิ่งเรียบ แต่แฝงแรงกดดันที่ไอน์เองก็เข้าใจว่ามันคือความรู้สึกไม่พอใจ เพราะเธอเคยสัมผัสมันมาแล้วเมื่อครั้งเหตุการณ์ในวันที่เอลีอาถูกโกเลมทำร้ายจนสาหัส เธอได้เห็นได้สัมผัสมากับตาตัวเอง
ถึงกระนั้นแล้ว เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวมันเหมือนอย่างครั้งก่อน ทั้งที่คราวนี้มวลอารมณ์นั้นมุ่งหมายมาที่เธอโดยตรง เพราะนั่นแหละคือจุดประสงค์ที่เธอต้องการให้มันเกิด
เธอคือนักวิเคราะห์ เธอต้องรับมือพร่ำพูด ย้ำเตือนความเสี่ยงกับนักผจญภัยร้อยพ่อพันแม่หลากหลายรูปแบบทุกวัน มันทำให้เธอเข้าใจวิธีการสื่อสารดีกว่าใคร
แม้จะไม่เคยรับมือกับอะไรอย่างตุ๊กตาไร้สำนึกเช่นฮอรัสมาก่อน แต่เธอก็พอจะรู้ว่าเขามีรูปแบบความคิดส่วนหนึ่งคล้ายกับคนที่มีหลักยึดอันแข็งแกร่ง เชื่อในแนวทางที่ตัวยึดมั่นอย่างที่สุด ไม่ยอมอ่อนไม่ยอมงอ ถึงแม้ในความหมายของฮอรัสมันจะไม่ใช่แนวความคิด หากแต่เป็นกฎเหล็กที่ถูกสลักฝังไว้ในสมองก็ตาม ซึ่งวิธีที่ได้ผลที่สุดในการทำให้กฎหรือหลักยึดมั่นนั้นโอนอ่อนลง ก็คือการให้ตัวเจ้าของเป็นคนโยกคลอนมันด้วยตัวเอง และนั่นคือสิ่งที่นักวิเคราะห์ทำ
“เห็นมั้ยคะ คุณเพิ่งเลือกที่จะขัดคำสั่งที่คุณไม่ต้องการ และมันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรตราบใดที่คุณเชื่อว่ามันสมควร” ไอน์เงยหน้ายิ้มแล้วยักไหล่ให้ฮอรัส แสดงให้เขาเห็นว่าสุดท้ายแล้ว ‘กฎ’ ที่เขายึดถือ มันอาจสำคัญในยุคที่เขาจากมา แต่ในยุคสมัยแห่งอัตตะศิลา มันก็ไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนที่ปลดออกเมื่อไหร่ก็ได้
ฝ่ายฮอรัสได้ฟังคำพูดของไอน์ที่สร้างความขัดแย้งขึ้นมาในกฎเหล็กของเขาดังนั้น แม้แต่ตุ๊กตาเยือกเย็นไร้ชิวิตอย่างเขาก็ถึงกับแสดงท่าทางผิดปกติ ผงกพักศีรษะหลักเหลื่อราวกับพยายามจะทำความเข้าใจแต่ก็คล้ายว่ายังสับสน
ยิ่งตอนที่เอลฟ์สาวได้เห็นเขาทำท่าทาคล้ายว่าจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็กลืนคำพูดตัวเองกลับไปไม่กล่าวออกมา ก็ทำเอาเธอเผลอเลิกคิ้วทำหน้าเหยเกปนขบขัน เพราะดูไปแล้วนี่อาจเป็นครั้งแรกที่ท่าทางของเขาดูมีชีวิตขึ้นมามากกว่าเป็นแค่หุ่น ซึ่งนั่นทำให้เธอยิ้มแล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
ก่อนไอน์จะหันกลับไปให้ความสนใจกับเอกสารในมืออีกครั้งพลางพูดต่อ
“แต่ตอนนี้พวกคุณน่าจะไปพักนะคะ มีเวลาแค่สองชั่วโมงก่อนที่การสอบรอบสองจะเริ่ม”
“ผมไม่ต้องพัก” ฮอรัสโพล่งขึ้นมาทันทีที่ไอน์พูดจบ เพราะดูท่าเขาจะเลิกคิดเรื่อง ‘คำสั่ง’ นั่นแล้ว ซึ่งสิ่งที่เขาเอ่ยก็ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้กับใครเท่าไหร่ เพราะทุกคนรู้กระบวนการมหัศจรรย์ของฮอรัสอยู่ ว่าเขาแทบจะไม่จำเป็นต้องพักเลยตราบใดที่มีทรัพยากรในการซ่อมบำรุงเพียงพอก็สามารถทำงานต่อเนื่องติดกันได้นานเป็นเดือนๆ ราวกับจะเล่นเป็นมุกตลกได้ว่าเขานอนตุนเอาไว้แล้วเป็นพันปีพอตื่นขึ้นมาคราวนี้เลยไม่จำเป็นต้องนอน แค่มีเวลาให้ตรวจเช็คร่างกายแบบละเอียดซักเดือนละสองสามชั่วโมงก็เหลือเฟือ
“แต่ฉันต้องพัก เจ้าบ้า” พลันตอนนั้นเองที่เสียงแก่นของเอเดลดังขึ้นอย่างแหบ แอบซ่อนความเหนื่อยอ่อนอิดโรยเอาไว้ แต่ไม่มิด เพราะร่างสาวที่เดินเข้ามาภายในสนามทรายบัดนี้ดูซูบโทรมและมีรอยแผลฟกช้ำอยู่หลายจุด ทุกคนในบริเวณเห็นสภาพของเธอเช่นนั้นต่างก็แสดงอาการหลากหลายไปพร้อมกัน
แม้แต่ฮอรัสเองก็ยังไม่แน่ใจต้องพยายามประเมินอาการบาดเจ็บ เพราะเมื่อเช้าอีกฝ่ายยังดีอยู่เลย แต่พอรู้ว่าเอเดลปลอดภัย เป็นเพียงอาการบาดเจ็บภายน้อกเล็กน้อยจึงไม่ได้แสดงท่าทีสนใจอะไรออกมาอีก
เช่นเดียวกันกับนักวิเคราะห์สาวที่เหมือนจะรู้อยู่ก่อนใครแล้วว่าเอเดลจะต้องกลับมาในสภาพนี้แน่ แต่สิ่งที่เธอให้ความสำคัญเป็นพิเศษก็คือสร้อยคออัตตะศิลาที่อีกฝ่ายยังซ่อนเอาไว้ในเสื้อต่างหาก
“เอเดล!! เกิดอะไรขึ้นลูก” ผิดกับผู้เป็นแม่ เอลีอาที่เห็นลูกสาวของตัวเองในสภาพนั้นก็รีบวิ่งไปดูอาการทันที เธอตรวจเช็คบาดแผลภายนอกของเอเดลอย่างละเอียด จนเริ่มเกินความจำเป็น ยกแขนจะถกเสื้อขึ้นมาจะเช็คบาดแผลในร่มผ้า จึงเป็นตอนนั้นเองที่เอเดลรีบปัดป่ายมือของแม่ตัวเองออกไป
“นะ หนูไม่เป็นไรค่ะแม่ พอแล้ว” เธอว่าพลางจับมือเอลีอาเอาไว้แน่น ให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกแม่ตัวเองทำรุ่มร่ามใส่กลางฝูงชนเช่นนี้อีก
“แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร” เอลีอาถามย้ำ ก่อนจะพยายามดึงมือของตัวเองออกมา แล้วล้วงเข้าไปในย่ามข้างเอวประจำตัว ควานหาขวดโพชั่นขนาดเล็กเท่านิ้วก้อยขึ้นมาสามขวด
ขวดนึงเป็นสีแดงสดมีฤทธิ์เร่งรักษาอาการบาดเจ็บและฟอกระบบโลหิต อีกขวดหนึ่งสีฟ้าใสสะอาดเป็นยาป้องกันการติดเชื้อขนานอ่อนและมีฤทช่วยบรรเทาความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ส่วนขวดสุดท้ายเป็นโพชั่นสีขาวใสสรรพคุณทำให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็วทำให้กระปรี้กระเป่าหายง่วงหายเหนื่อยในทันที ออกฤทธิ์แทบจะทัดเทียมกับการได้นอนพักผ่อนสิบสองชั่วโมงเต็มเลยทีเดียว
เอลีอาหยิบทั้งสามขวดขึ้นมาเปิดฝาตั้งใจจะป้อนให้เอเดลด้วยลืมตัวเหมือนสมัยลูกสาวยังเตาะแตะ จนอีกฝ่ายต้องรีบห้าม
“แม่คะ หนูไม่เป็นไร” เอเดลเอ่ยเบาๆ พร้อมมองตาผู้เป็นแม่ที่ตอนนี้ดูจะตื่นตูมเกินเหตุ แถมยังทำให้พวกเธอกลายเป็นจุดสนใจไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิเคราะห์สาวที่หรี่ตามองไปยังสองสาวอย่างครุ่นคิด
เพราะยาในมือของเอลีอาทั้งสามขวดนั้นถือเป็นโพชั่นควบคุมทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยากดความเจ็บปวดขวดสีฟ้า ถือเป็นยาควบคุมพิเศษ แต่เธอยังไม่เห็นเอกสารขอผลิตหรือสั่งทำจากอีกฝ่ายเลยแม้แต่ใบเดียว
เอเดลที่สัมผัสได้ถึงสายตานั้นก็ยิ้มแหยๆ แล้วรับยาทั้งสามขวดมาจากเอลีอา แต่แยกขวดสีฟ้าหย่อนกลับเข้าไปในย่ามของแม่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เห้อ.. เดี๋ยวฉันขอทะเบียนยาให้ก็ได้ค่ะ แต่วันนี้มีคนจากต่างหมู่บ้านเยอะอย่าให้มันประเจิดประเจ้อสิคะ” ไอน์ถอนหายใจ ตัดพ้อมองไปทางสองแม่ลูก เพราะยาควบคุมพิเศษดังกล่าวนอกจากสรรพคุณของมันแล้วยังมีบางคนเอาไปใช้ผิดวัตถุสงค์ทำให้เคลิบเคลิ้มและเสพติดอย่างแรงอีกด้วย จึงต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ หรือเภสัชหมอยาเท่านั้น
“ฉันขอโทษจริงๆ จ้ะ” เอลีอารู้ตัวว่าพลาดไปจึงก้มหน้าขอโทษ
“ค่ะๆ ไม่เป็นไร แต่ก็อย่างที่บอก อย่าให้ประเจิดประเจ้อเกินนะคะ” ไอน์ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร ก่อนจะหันไปทาง เอเดล ซึ่งตอนนี้บาดแผลฟกช้ำจากการฝึกและร่องรอยเหนื่อยอ่อน กำลังค่อยๆ หายไปช้าๆ
บ่งบอกคุณภาพของยาที่เธอเพิ่งจะดื่มลงไปสองขวด สีแดงและสีขาว ว่าคุณภาพนั้นสูงเลิศเพียงใด แน่นอนว่าราคาก็คงพุ่งสูงตามคุณภาพไปด้วย สมแล้วที่เอลีอาถูกยกให้เป็นบุคคลสำคัญของสมาคม เพราะในยามขัดสนก็ได้ยาของเธอนี่เองที่ประคับประคองดูแลค่าใช้จ่ายให้กับสมาคมแห่งนี้
ถ้าไม่ติดว่ายาควบคุมพิเศษคุณภาพสูงราคาแพงนั้นมีการควบคุมอย่างเข้มงวดจากสภากลางอีกที ให้จำเป็นต้องมีทะเบียนยา มีการรับรองถูกต้องโดยตรงจากส่วนกลางถึงจะปล่อยขายในตลาดได้ เทรียลก็คงจะมีสนามทรายขนาดใหญ่ได้มาตรฐานแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว
เพราะลำพังยาทั่วไปแต่มีคุณภาพเป็นเลิศชุดเดียวก็มีราคาเกือบจะเที่ยบเท่าอาชาพันธุ์ดีทั้งตัว ยิ่งเป็นโพชั่นควบคุมพิเศษระดับสูงอีกราคาต่อขวดอาจดีดตัวขึ้นไปมากกว่านั้นถึงสิบเท่าหรือร้อยเท่า ซึ่งเอลฟ์สาวมีศักยภาพเหลือเฟือจะปรุงกี่ขวดก็ได้หากมีวัตถุดิบเพียงพอ
หรืออีกนัยหนึ่ง ถึงจะดูไม่เหมือนแต่เอลีอาคือเศรษฐีนีใจดีผู้อุปถัมป์สมาคมท้องถิ่นแห่งนี้มานาน ซึ่งการที่เธอมีสวนสมุนไพรขนาดใหญ่บนที่ดินติดริมธารนอกหมู่บ้านเป็นของตัวเองก็ถือเป็นเครื่องยืนยันฐานะ และเพราะแบบนั้นเอเดลจึงถือว่าเป็นลูกคนรวยคนหนึ่งก็ว่าได้
เพียงแต่อาจจะเพราะมีสายเลือดเอลฟ์ป่าแบบแม่เข้มข้นมากไปหน่อยจึงไม่เคยแสดงความฟุ้งเฟ้อออกมาเลย ซ้ำสายเลือดมนุษย์ฝั่งพ่อก็ยังเป็นสายเลือดนักรบนักผจญภัยขนานแท้อีกต่างหาก มันจึงพอจะอธิบายพื้นฐานความเป็นไปของครอบครัวนี้ได้บ้าง
“ว่าแต่คุณเอเดล... การทดลองฝึกเป็นยังไงบ้างคะ” ไอน์เอ่ยถามต่อถึงการฝึก แต่แทนที่จะตอบเป็นคำพูดครึ่งเอลฟ์สาวกลับใช้วิธีแอบยกสร้อยอัตตะศิลาของตัวเองขึ้นมาจากคอเสื้อเล็กน้อย ให้อีกฝ่ายพอเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากอัตตะศิลาอันเดิมลับหลังเอลีอา ไม่ให้แม่ของเธอเห็น
แต่ดันกลายว่านักวิคราะห์สาวพอเห็นประกายที่เปลี่ยนไปของอัตตะศิลลาชิ้นนั้นก็ลืมตัว เผลอทำตาโตด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าสิ่งที่เธอวางแผนลงทุนลงแรงเป็นของขวัญให้นั้นจะได้ผลเกินคาดไปขนาดนี้ จนพานให้เอลีอาสงสัยไปได้วยว่ามันเรื่องอะไรกันแน่
“ฝึกอะไรหรอจ๊ะ?” เอลฟ์สาวหันกลับมาถามด้วยความสงสัย แต่ไม่ทันเห็นสร้อยอัตตะศิลาใต้คอเสื้อของลูกสาวเพราะเธอรีบเก็บมันเข้าไปซะก่อน
“คุณเอเดลฝึกใช้ธน-” ฮอรัสได้ยินถามก็อดไม่ได้ที่จะตอบ แต่กลายเป็นยังไม่ทันจะพูดจบก็ถูกสายตาดุกร้าวเกรี้ยวกราดจ้องเขม็งตรงเข้ามาใส่ จึงรู้ว่าเขาทำอะไรบางอย่างผิดไปแน่
ก่อนที่เอเดลจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแล้วเขย่งก้าวเข้ามาพูดกับผู้เป็นแม่ด้วยท่าทางร่าเริงผิดวิสัย
“เรื่องนั้นความลับค่ะ”
“หืม ความลับอะไร พวกเรามีความลับกันตั้งแต่เมื่อไหร่” เอลีอาได้ยินคำตอบของลูกสาว ก็ส่งเสียงอ่อนโยนถามกลับไป
“ก็ตั้งแต่แม่เอาผู้ชายเข้าบ้าน ไม่ยอมบอกหนูนี่แหละค่ะ” เอเดล วางมือไพ่หลังแล้วตอบออกไปอย่างประชดประชันหยอกล้ออย่างสนิทสนมพร้อมเสียงหัวเราะ ซึ่งไม่ต้องบอกทุกคนก็รู้ว่าผู้ชายที่่ว่านั่น เธอหมายถึงฮอรัส
“นี่!” เอลีอาเอ็ด แม้จะรู้ว่าลูกสาวเพียงหยอกเล่นแต่เธอไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะรู้เหมือนเธอหรือไม่ โดยเฉพาะคนนอกที่ตอนนี้ก็ยังนั่งอยู่บนอัฒจันทร์รอเก็บข่าวสารเกียวกับปีศาจแห่งเทรียลเอาไปเล่าต่อ
“ค่า อีกแค่สองสามชั่วโมงนี้ก็ได้รู้พร้อมกันแล้วค่ะแม่”
“แม่รู้ตอนนี้ไม่ได้หรอ”
“ม่าย ได้” เอเดลทำเสียงเปิ่นตอบกลับผู้เป็นแม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บ่งบอกว่าสองคนนี้ใกล้ชินกันขนาดไหน “หนูหายเหนื่อยแล้ว มีเวลาสองชั่วโมงไปเดินงานเทศกาลกันเถอะค่ะ”
“เรื่องนั้น... ตอนนี้คงไม่ได้หรอกจ้ะ แม่ต้องกลับไปช่วยจัดดอกไม้ต่อ เอาไว้หลังฮอรัสสอบก็ได้นะ” เอลีอาปฎิเสธเสียงอ่อน
“งะ งั้นก็ได้ค่ะ” เอเดลพอได้ยิเช่นนั้นก็ใช้นิ้วเกาศีรษะเบาๆ ยอมรับอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่เอลีอาจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“จริงสิ งั้นก็ไปกับฮอรัสสิ แม่ก็กำลังเป็นห่วงอยู่เลยว่าจะเอายังไงกับเขาดีก่อนถึงเวลาสอบ”
“จะให้หนูเป็นพี่เลี้ยงเด็กรึไงคะแม่” เอลีอาว่าพร้อมกับเหลือบตาทางฮอรัสที่ตอนนี้กำลังตั้งใจฟังบทสนาของทั้งคู่อย่างกับว่ามันสำคัญเป็นตายยังไงอย่างงั้น ยิ่งเห็นแบบนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงสิ่งที่เธอพูดเข้าไปอีก เพราะฮอรัสบางทีก็เหมือนเด็กจริงๆ ก่อนที่ไอน์จะหันมาพูดกับพูดกับเธอบ้าง
“ฉันว่าก็ดีนะคะ... ถือว่าเก็บข้อมูล รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งไงคะ” ไอน์สนับสนุน พร้อมอธิบายสื่อความหมายให้เอเดลรู้ว่าหมายเรื่องที่เธอจะต้องจับคู่ต่อสู่กับฮอรัสเพื่อทดสอบระดับความเข้ากันได้
แต่ดูท่าว่าการออกไปเดินเที่ยวกันของคู่นี้ ดูจะเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์สาวอย่างเธอ สนใจอยากจะเห็นผลลัพธิ์ของมันมากกว่าจับมาสู้กันเสียแล้ว
“แต่ถ้าคุณเอเดลไม่ว่างก็ไม่เป็นไรค่ะ พวกนักผจญภัยฝึกหัดดูจะอยากจะไปเดินเทศกาลกับฮอรัสอยู่แล้ว โดยเฉพาะพวกสาวๆ” ไอน์ว่ายิ้มๆ