ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 โชคชะตาของเถี่ยซินหยวน

บทที่ 1 เรือหนีภัยของเถี่ยซินหยวน


บทนำ

 

ทะเลทรายโกบีโดนสายฝนชะล้างอย่างหมดจด เป็นทิวทัศน์งดงามน่าหลงใหลยิ่งนัก

 

ยังไม่ต้องกล่าวถึงต้นหูหยางที่กลางวันจะเห็นใบเป็นสีเหลือง เพียงแค่ต้นหนามอูฐที่ขึ้นรวมกันเป็นหย่อมๆ สีสันก็เขียวขจีสดใส จนทำให้ผู้พบเห็นเกิดความอบอุ่นขึ้นในหัวใจ

 

เมื่อรู้สึกเหนื่อยหน่ายจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร เพียงแค่เอนกายพิงก้อนหินอุ่นร้อน แล้วทอดสายตามองดวงอาทิตย์ลอยหายลับไปจากเส้นขอบฟ้า บริเวณนั้นคล้ายว่าจะมีมวลหมอกเบาบางบดบัง สุดท้ายมันก็กลืนกินดวงอาทิตย์สีแดงเจิดจ้าจนเลือนหายไปทั้งดวง เวลาในวันหนึ่งก็ถูกทิ้งขว้างจนหมดไปอีกครั้งเช่นนี้เอง

 

ดาวดวงหนึ่งที่เคยดึงดันปรากฏกายอยู่ข้างดวงอาทิตย์ ทอแสงระยิบระยับจับตามากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากดวงอาทิตย์ตกดิน ก่อนหน้าที่ดวงจันทร์จะส่องแสงสุกสกาว การดำรงอยู่ของดวงดาวนั้นทรงพลังที่สุดบนฟากฟ้า

 

ในที่สุดความมืดมิดก็ปกคลุมผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ ด้วยเหตุนี้เองดวงดาวทั้งหลายจึงมีโอกาสได้เผยโฉม พวกมันส่องสว่างเรียงรายกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า ท้ายที่สุดยังส่องแสงวิบวับคล้ายกะพริบตาให้ผู้คนที่เฝ้ามองอย่างโอ้อวด ส่วนดวงดาวที่ทอประกายสว่างไสวที่สุดนั้น หลังจากดวงอาทิตย์ลาลับไปได้ไม่นาน ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาผู้คนพร้อมกับการหมุนรอบตัวเองของโลกใบนี้ ดาวดวงหนึ่งเผยโฉมและลาลับขอบฟ้าในเวลาเดียวกับดวงอาทิตย์อันร้อนแรง สำหรับมันก็นับเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุดอยู่แล้ว

 

ดวงอาทิตย์นั้นมีหลายรูปแบบ พวกที่ส่องแสงสว่างแรงกล้าขึ้นมาหน่อย แม้ไม่เรียกว่าดวงอาทิตย์ แต่ว่าการดำรงอยู่ของพวกมันมักมีส่วนที่คล้ายคลึงกับดวงอาทิตย์ก็คือ เมื่อใดที่เริ่มเปล่งประกาย ผู้อื่นล้วนต้องปิดปากให้สนิท

 

วิธีปิดปากนั้นมีอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่น โดนฉีดยาชาแล้วถูกเอามาปล่อยทิ้งในทะเลทรายโกบีเช่นนี้ ก็เป็นวิธีปิดปากอย่างหนึ่ง

 

จะให้ไปโทษใครได้เล่า หลักการที่ว่าชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร ผู้คนต่างรับรู้กันมาเนิ่นนานแล้ว

 

เพียงแต่คนพวกนั้นรีบร้อนเกินไปหน่อย...เขาอยู่มาหลายปีขนาดนี้แล้วถึงได้พบว่า ชีวิตของตนมีแต่ความมืดมนมากกว่าความสุขสงบ แม้แต่เวลานั่งชื่นชมดาวบนฟ้าเงียบๆ ก็ดูเหมือนจะไม่เคยมีมาก่อน

แต่ตอนนี้เขามีเวลานั่งมองอย่างเต็มตาแล้ว...

 

อย่างไรเสียแสงสว่างพร่างพราวจากดวงดาวก็เย็นยะเยือกไปเล็กน้อย ภายใต้แสงดาวที่ส่องประกายทำให้ก้อนหินใต้ร่างลดอุณหภูมิลงอย่างช้าๆ และแล้วกระทั่งความคิดก็ยังโดนดวงดาวกักขังเอาไว้ในแสงสว่างที่ดูอ้างว้างหนาวเหน็บนั้น

 

แท้ที่จริงแล้วดวงดาวอยู่ห่างไกลจากพวกเรามากนัก ไกลมากเสียจนจำเป็นต้องใช้ปีแสงมาบันทึกระยะทางที่ห่างกัน ปีแสงย่อมเป็นหน่วยวัดระยะห่างอย่างหนึ่ง แต่ว่ามีหลายต่อหลายครั้งที่พวกเรายินดีเอามาใช้เป็นหน่วยนับเวลามากกว่า แม้จะไม่สอดคล้องกับหลักความรู้ทางฟิสิกส์ แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรสักนิด เพราะความรู้ทางฟิสิกส์มักจะมีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จะถูกหรือผิดใครยืนยันได้แน่ชัดบ้าง?

 

มีแสงสว่างอันหนาวเหน็บปรากฏสู่สายตา สวรรค์รู้ดีว่าเขาบันทึกข้อมูลในปีนั้นเอาไว้ เพียงแต่สำหรับพวกเราก็ไม่มีอะไรต่างกัน พวกเราไม่มีปัญญาตีความสารบางอย่างในข้อมูลนี้แน่...

 

พวกเราปฏิเสธแสงดาวตรงหน้า ก็เพราะมันทั้งเย็นยะเยือก เฉยชา เหมือนจริง และไร้หัวใจจนเกินไป

 

เรายอมใช้ดวงตาอันร้อนแรงเปี่ยมพลังเฝ้ามองอนาคตของโลกใบนี้ แต่ไม่ยอมให้ดวงดาวถ่ายทอดประวัติศาสตร์อันหนาวเหน็บเข้าไปในความคิดของเรา แม้ว่าจะงดงามพร่างพราวเพียงใด แต่ความหนาวเหน็บเสียดกระดูกนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำร้ายพวกเราได้ลึกล้ำเหลือเกิน

 

ถ้าหากให้พวกเรากล่าวถึงความตายให้ละเอียดขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความหนาวเหน็บกับความตายเป็นคำบรรยายที่เข้าคู่และเหมาะสมที่สุดแล้ว....

 

สิ่งที่แสงสว่างจากดวงดาวนำมาให้คือความหนาวเหน็บ ส่วนเรื่องราวของความตายที่ผ่านพ้นไปแล้ว บันทึกอยู่ในหนังสือรวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ให้พวกเราได้กราบไหว้บูชา

 

ถ้าหากเป็นไปได้ พวกเราคงอยากรู้ว่าในวันหน้าโชคชะตาจะนำพาให้พบเจอกับอะไร ไม่ใช่การหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา ในเมื่อทำผิดพลาดไปแล้ว ก็ปล่อยทุกอย่างไว้ตรงนั้นเถิด ไม่ว่าจะเป็นการลงหม้อต้มหรือโหวหมื่นครัวเรือนก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญก็คือพวกเขาเคยมีตัวตนมาก่อน

 

สิ่งโบราณคร่ำครึส่งกลิ่นเหม็นโฉ่เหมือนโลงศพพวกนั้น ไม่เหมาะจะให้คนที่ยังหนุ่มแน่นคนหนึ่งไปพินิจพิเคราะห์เท่าไร

 

เพราะพวกเขานิยมของใหม่มากกว่า ตั้งแต่เจ้าสาวจนถึงเด็กแรกคลอด

 

มีลำแสงไร้ที่มาสายหนึ่งปรากฏสู่สายตา ไม่มีใครรู้ว่ามันจะสะท้อนวูบวาบอยู่ในสายน้ำที่ทอดยาวนี้นานเท่าใด เพียงแต่น่าประหลาดนัก อุณหภูมิของมันยังไม่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ แต่แฝงด้วยไออุ่นจางๆ ทำให้หัวใจของเราอบอุ่น มีชีวิตชีวา...

 

สายตามองตามแสงสว่างอันอบอุ่นนี้ มองย้อนไปถึงต้นกำเนิดของสายน้ำอย่างเป็นธรรมชาติ ลำแสงที่ปะทะกันย่อมเกิดประกายวูบวาบ โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็สว่างเจิดจ้า...

 

ความอบอุ่นย่อมดีที่สุด พวกเราจะรู้สึกเหมือนทารกที่โผเข้าสู่อ้อมอกของมารดา โผเข้าหาอ้อมอกหอมกรุ่นกลิ่นน้ำนม...

 

เมื่ออาศัยพลังแห่งแสงสว่าง พวกเราสามารถเดินทางท่องกาลเวลาได้...

 

ดวงอาทิตย์นั้นทอแสงอบอุ่นยิ่ง ลำแสงบริเวณนี้เกิดการหักเหอย่างที่ควรจะมี ระหว่างทางเขายังพบดาวพุธบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากหักหลบดาวศุกร์ที่มีอุณภูมิสูงลิบ ศีรษะก็พุ่งเข้าใส่ดาวเคราะห์สีฟ้าสดใสดวงหนึ่ง...

 

เมื่อมีแสงทอประกายก็แปลว่าฟ้าสว่างแล้ว

 

ลำแสงนั้นแผ่กระจายไปทั่วท้องทะเลอย่างช้าๆ หลังจากนั้นจึงคืบคลานสู่ขุนเขาสูงชัน ท้ายที่สุดแสงสว่างก็ส่องประกายเจิดจ้าไปทั่วแผ่นฟ้าและผืนดิน!

 

แต่น่าเสียดายนัก ยังมีหมู่เมฆหนาแน่นเป็นชั้นๆ ที่แสงสว่างเรืองรองจากดวงอาทิตย์ไม่อาจลอดผ่านไปได้...

 

............

 

เมฆฝนสีดำสนิทดุจน้ำหมึกปกคลุมท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง...แม้เป็นช่วงกลางวันแต่กลับมืดครึ้มราวยามพลบค่ำ ฝนตกลงมาอย่างหนักดังฟ้ารั่ว เหมือนโลกทั้งใบโดนสายฝนซัดสาดจนเปียกชุ่มโชกไปหมด

 

สภาพอากาศเลวร้ายดั่งภัยพิบัติ มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบสว่างจ้า และเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเหนือศีรษะ...

 

พายุฝนเทกระหน่ำทำลายเมืองหลวงอันรุ่งโรจน์ และบนแนวเขื่อนมีผู้คนในสภาพย่ำแย่ยืนอยู่เต็มไปหมด พวกเขาประหนึ่งฝูงมดที่กรูขึ้นมาบนเขื่อนกั้นแม่น้ำสายนี้ ต่างใช้ตะกอนดินทราย ถุงกระสอบ ก้อนหินขนาดยักษ์ ร่างกายของตน หรือแม้กระทั่งเรือลำใหญ่มาปิดรอยแตกที่น่าสะพรึงกลัวบนเขื่อนเอาไว้

 

เรือสำราญสามชั้นขนาดใหญ่มหึมาลำหนึ่งลอยโคลงเคลงเหนือแม่น้ำฮวงโหอันเชี่ยวกราก มันค่อยๆ เคลื่อนเข้าฝั่งอย่างยากลำบาก ชายที่คอยควบคุมสั่งการยืนเท้าเปล่าอยู่ตรงหัวเรือ ขณะกำลังส่งเสียงคำรามออกคำสั่ง สีหน้าของเขาดูดุร้ายน่ากลัว ส่วนชายฉกรรจ์เปลือยกายท่อนบนนับร้อยคนยืนอยู่ริมฝั่ง มีเชือกป่านเส้นหนาหลายเส้นรัดที่กล้ามเนื้อแน่นเปรี๊ยะจนนูนออกมาเอาไว้แน่น ทุกคนตะโกนส่งสัญญาณด้วยเสียงทุ้มต่ำ พร้อมใจกันลากเรือสำราญลำนี้มุ่งหน้าไปที่รอยแตกของเขื่อนอย่างสุดกำลัง

 

เมื่อคนเรือชราเห็นว่าเรือลำใหญ่มาถึงบริเวณที่มีรอยแตกเรียบร้อยแล้ว ก็พยายามใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีควบคุมหางเสือที่สั่นไม่หยุดแล้วแผดเสียงดังก้องว่า “หยวนอี หยวนอู่ ไปพังไม้กระดานแผ่นนั้น รีบไป....”

 

ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันสองคนมาถึงพื้นที่ว่างของท้องเรือสำราญ สองมือยกค้อนหนักอึ้งขึ้นมา ทุบลงไปที่แผ่นไม้กระดานที่เหลืออยู่แผ่นสุดท้ายตรงท้องเรืออย่างแรง เพียงแค่ทุบลงไปครั้งเดียวแผ่นไม้หนาปึกก็มีรอยแตกร้าว อีกทั้งน้ำสีขุ่นคลั่กก็พวยพุ่งขึ้นมา ในขณะเดียวกันทั่วทั้งห้องเก็บของใต้ท้องเรือก็มีเสียงน่าสะพรึงกลัวดังขึ้น

 

ชายทั้งสองคนหันกายจากไป หลังจากได้ยินเสียงเร่งรัดของคนเรือชราจึงกระโจนลงไปในแม่น้ำฮวงโห ชายที่หนุ่มแน่นกว่าเล็กน้อยทะลึ่งพรวดเหนือผิวน้ำ หันหน้าไปหาเรือสำราญที่จมลงไปอย่างรวดเร็วแล้วตะโกนเรียกด้วยเสียงอันดังว่า “พ่อ!”

 

คนเรือชราที่จมดิ่งลงไปพร้อมกับเรือ มองเห็นบุตรชายทั้งสองโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ ใบหน้าที่ตึงเครียดมาตลอดก็ผ่อนคลายลงในที่สุด เขาโบกมือไล่แล้วตะโกนว่า “ไปเสีย...ไปสิ”

 

เรือสำราญที่บรรทุกหินทรายและสิ่งของอื่นๆ มาเต็มลำเรือ ติดค้างอยู่เหนือรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ ทำให้เกลียวคลื่นในแม่น้ำที่พุ่งสูงขึ้นมากวาดทุกสิ่งทุกอย่างบนดาดฟ้าร่วงลงมาหมด เพียงชั่วพริบตาคนเรือชราก็โดนซัดหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา

 

ถุงกระสอบที่อัดแน่นไปด้วยหินทรายร่วงลงน้ำไปราวกับห่าฝน ตะกร้าไม้ไผ่สานขึ้นจากซี่ไม้ไผ่เหลาหยาบๆ ซึ่งบรรจุก้อนหินเอาไว้เช่นกัน ก็ได้ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำงัดขึ้นแล้วผลักให้หล่นลงไปตรงรอยแตกที่มีน้ำไหลเชี่ยว จนความรุนแรงของกระแสน้ำที่ไหลผ่านช่องทางนั้นลดลงอย่างช้าๆ ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ของทางการที่อยู่บริเวณตลิ่งแม่น้ำต่างส่งเสียงกู่ร้องด้วยความยินดี ทุกคนยิ่งเร่งงานในมือให้รวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม

มีเสียง ‘เปรี้ยง’ ดังขึ้น สายฟ้ารูปร่างเหมือนส้อมผ่าใส่ต้นหลิวที่ยืนต้นลู่ลมอยู่ริมแม่น้ำ ประหนึ่งกระบี่แหลมคมผ่าต้นไม้ทั้งต้นออกเป็นสองซีก ผู้คนที่หลบอยู่ใต้ต้นไม้เพื่อหาที่กำบังฝนกลายสภาพเป็นลูกไฟไปในทันที

 

เขื่อนสูงใหญ่กำลังสั่นไหว มีรอยปริแตกเล็กๆ เกิดขึ้นอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง จากนั้นจึงมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นตามมา แนวคันดินขนาดใหญ่พังทลายลง ในเวลาเดียวกันนั้นเองน้ำขุ่นคลั่กจากแม่น้ำอันเชี่ยวกรากก็ฉีกกระชากรอยแตกให้น่ากลัวกว่าเดิม ไหลเร็วแรงราวกับฝูงม้าป่าที่ห้อตะบึงมาอย่างคลุ้มคลั่ง ผู้คนทั้งหลายที่กำลังวุ่นวายอยู่ใต้เขื่อนเพียงแค่วิ่งหนีออกไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น ก็โดนสายน้ำหลากพัดหายไปเสียแล้ว

 

“ไม่! ไม่นะ! โธ่ สวรรค์....”

 

ขุนนางสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งชูสองมือขึ้นเหนือศีรษะ ส่งเสียงคำรามต่อสวรรค์เบื้องบนอย่างเกรี้ยวกราด และแล้วเขาก็กระโดดพรวดลงไปในคลื่นสูงที่ไหลบ่ามา สายน้ำขุ่นมัวด้วยตะกอนดินเพียงหมุนวนเล็กน้อย จากนั้นก็กลืนกินของเซ่นไหว้ชิ้นเล็กนี้ไปอย่างง่ายดาย

 

ฮวงโหเอ๋ย...ฮวงโห!

 

ถ้าหากเจ้านอนหมอบอยู่ริมแม่น้ำ แล้วมองไปทางเมืองหลวงตามแนวราบของตลิ่ง เจ้าจะมองเห็นชั้นที่สามของเจดีย์เหล็กในเมืองหลวง แต่วันนี้ตลิ่งแม่น้ำฮวงโหพังทลายลงเสียแล้ว...

 

 


บทที่ 1 เรือหนีภัยของเถี่ยซินหยวน

 

นางเถี่ยหวังซื่อนั่งเกาะขอบถังไม้อาบน้ำ ตะโกนเรียกชื่อสามีท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำจนสุดเสียง แต่น้ำฝนพลันทะลักเข้าเต็มปากนาง ราวกับสวรรค์เบื้องบนสั่งให้นางหุบปากลงเสีย

 

เมื่อเหลียวมองน้ำขุ่นคลั่กที่รายล้อมรอบด้านกว้างไกลสุดสายตา นางก็ไม่ร้องตะโกนเรียกชื่อเขาอีก ได้แต่นั่งอยู่กลางถังไม้อย่างยอมจำนนต่อชะตากรรม นางนำร่มขาดๆ คันหนึ่งกางบังด้านหลังของตนไว้ มือข้างหนึ่งกอดบุตรชายที่นอนอยู่ในห่อผ้าเอาไว้แน่น พลางใช้มืออีกข้างวักน้ำฝนออกจากถังไปอย่างตั้งอกตั้งใจ

 

ในฐานะที่เป็นภรรยาของชาวนา นางเถี่ยหวังซื่อเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเวลานี้ควรจะทำอย่างไรต่อไป สามีของนางยอมจมน้ำตายเสียดีกว่าที่จะเกาะอยู่กับถังไม้นี้ แล้วทำให้ลูกที่เพิ่งเกิดมาอายุยังไม่ทันครบห้าเดือนดีต้องพลอยลำบากไปด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนางจะปล่อยให้เขาไร้ทายาทไม่ได้

 

นางเถี่ยหวังซื่อจึงระงับความเศร้าโศกอย่างรวดเร็ว ชะเง้อคอมองไปรอบด้านเพื่อหาว่าพวกนางสองแม่ลูกจะเข้าฝั่งจากทิศทางใดได้บ้าง

 

ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นกับลูกคนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้นแล้วยามที่ลงสู่ปรโลกสามีต้องตีนางให้ตายทั้งเป็นแน่...

 

ระหว่างทางนางเห็นภาพแปลกประหลาดมากมาย ภาพเหล่านั้นล้วนเป็นภาพที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนกระทั่งยามหลับฝัน เริ่มจากหมูตัวหนึ่งอ้าปากคาบกิ่งไม้เอาไว้ มันอาจฝืนทนอยู่เช่นนี้มานานแล้ว เมื่อมีคลื่นน้ำโหมซัดมามันก็ร่วงลงน้ำไปอีกครั้ง

 

นางเถี่ยหวังซื่อเฝ้ามองด้วยความพรั่นพรึง นางเห็นหมูตัวนั้นพยายามว่ายน้ำมาที่ถังไม้ใบนี้ แม้อยากหนีไปเสียให้พ้น แต่นางกลับรู้สึกหวาดกลัวจนมือเท้าชา ทำอย่างไรก็ขยับเขยื้อนไม่ได้

 

ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวกรากมีขอนไม้ลอยอยู่มากมาย ไม่รู้ว่าเป็นคานไม้ของบ้านใครกันที่กระแทกเข้าที่หัวของเจ้าหมูอย่างแรง มันส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนา หลังจากกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง ก็โดนแรงน้ำพัดห่างออกไปไกล

 

นางเถี่ยหวังซื่อสาบานกับตัวเอง ชั่วขณะที่สายตาปะทะกับเจ้าหมูตัวนั้น นางเห็นอย่างชัดเจนว่ามันอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป...มันอยากอยู่ต่อไปมากจริงๆ

หลังจากนั้นนางก็มองเห็นคนสองคนนอนหมอบอยู่ที่เสาคานต้นหนึ่ง เป็นเสาคานที่เรียวเล็กยิ่งนัก ถ้าหากมีคนเกาะอยู่เพียงคนเดียว ก็อาจลอยอยู่เหนือผิวน้ำได้ ถ้าหากมีคนถึงสองคนเกาะอยู่บนนั้นแล้ว เสาคานก็จะจมน้ำไป ชายสองคนพยายามแหงนหน้าขึ้นเพื่อสูดอากาศหายใจอย่างยากลำบาก

 

เพราะความรุนแรงของคลื่นในแม่น้ำนี่เอง นางเถี่ยหวังซื่อถึงมองเห็นพวกเขา แต่พวกเขากลับมองไม่เห็นนาง ทันใดนั้นนางก็ต้องตกตะลึงที่เห็นชายคนหนึ่งกดศีรษะชายอีกคนลงไปในน้ำ นางรีบเอามือปิดปากเพื่อกันมิให้เสียงเล็ดรอดออกไปอย่างสุดชีวิต นางกลัวว่าถ้าหากเผลอกรีดร้องออกมา ชายคนนั้นจะต้องเห็นแน่ ในเมื่อเขาสามารถสังหารเพื่อนร่วมชะตากรรมให้จมน้ำตายได้ ถ้าหันมาเห็นถังไม้อาบน้ำของตนจะต้องคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิมแน่นอน

 

และแล้วผลลัพธ์ปรากฏให้เห็นอย่างรวดเร็ว นางเถี่ยหวังซื่อมองเห็นเงื่อนที่ผูกมัดเสาคานเอาไว้หลุดออกมา ส่วนชายที่เกาะอยู่บนนั้นสองคนลอยหายไปตามแรงน้ำ

 

มีงูไช่ฮวาตัวหนึ่งความยาวประมาณหนึ่งจั้งเศษเอาลำตัวพันเสาคานต้นนั้นไว้แน่น ส่วนด้านข้างของมันยังมีงูจำนวนมากกำลังว่ายเข้าไปใกล้ แม้แต่หนูนาที่ปกติแล้วจะกลัวงูไช่ฮวานักหนาก็มาเกาะอยู่ที่คานไม้ด้วยกลุ่มหนึ่ง สุดท้ายก็มีงูและหนูทยอยมาเกาะอยู่เต็มไปหมด แต่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นเช่นนี้ไปได้นานนัก คาดว่าคงไม่นานหรอก บนคานไม้ที่เคยโดนคำสาปแช่งเอาไว้ จะมีอีกหลายชีวิตที่ต้องหายสาบสูญไปตามสายน้ำที่ไหลบ่ามา

 

หนูนาตัวหนึ่งที่อยู่ในสภาพเนื้อตัวเปียกปอนกระโดดเข้ามาในถังไม้ แต่นางเถี่ยหวังซื่อกลับไม่กลัวสักนิด ทำเพียงแค่เอาไม้ตีผ้าตีหนูนาตัวนั้นจนตาย แต่นางกลับไม่โยนซากศพของมันทิ้งไป ภรรยาของชาวนาอย่างนางรู้ดีว่า เมื่ออุทกภัยผ่านพ้นไปแล้ว ข้าวสารและธัญพืชแต่ละเมล็ดจะมีค่าเหลือประมาณ เนื้อหนูนานับได้ว่าเป็นอาหารชั้นเลิศแล้ว เมื่อครั้งที่นางโดนตระกูลหวังขับไล่ไสส่งก็เคยลิ้มลองมาก่อน

 

เสียงร้องไห้ของลูกน้อยทำให้นางเถี่ยหวังซื่อสะดุ้งตื่นจากภวังค์ นางรีบแหวกเปิดอกเสื้อ โอบกอดลูกกระชับแน่นเข้าหาทรวงอกอวบอิ่มของนาง เด็กน้อยในอ้อมแขนออกแรงดูดนมอย่างเต็มที่ ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจขึ้นมากทีเดียว เพราะเด็กคนนี้ไม่ยอมขยับตัวมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว

 

ถ้าหากในเวลานี้นางก้มหน้ามองบุตรชายของตนเสียหน่อย คงจะเห็นว่าใบหน้าน้อยๆ น่ารักของเขาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม...

 

เถี่ยซินหยวนดูดนมจนเกลี้ยงเต้าไปแล้วข้างหนึ่ง ก็เปลี่ยนข้างแล้วดูดต่อไป เขาไม่อยากทำเช่นนี้หรอก แต่พลังของสัญชาตญาณตามธรรมชาตินั้นแรงกล้าอย่างยิ่ง เขาไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย ขอเพียงท้องรู้สึกหิว ก็จะอ้าปากส่งเสียงร้องไห้โยเยออกมาเอง และจากนั้นก็จะมีเต้านมอวบอิ่มข้างหนึ่งรอให้เขาดูดกิน

 

ความกลัดกลุ้มของเถี่ยซินหยวนนั้นมีเหตุผลสมควรอยู่ เดิมทีเขานอนดูดาวอยู่ในทะเลทรายโกบีเพียงลำพัง ยังนึกว่าตัวเองคงได้ไปเยือนสถานที่เช่นปรโลกเสียแล้ว หลังจากรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็พบว่าเหมือนเขาจะมาอยู่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เสียงที่ลอยมากระทบโสตประสาทมีเพียงเสียงพายุฝนและเสียงน้ำไหลเชี่ยว ในทะเลทรายโกบีไม่มีทางเจอกับน้ำปริมาณมหาศาลเช่นนี้เด็ดขาด

 

หลังจากใช้เวลาสักพักหนึ่งเพื่อยืนยันจนแน่ใจ เขาจึงรู้ว่าเวลานี้ตัวเองอยู่ในเรือที่มีขนาดเล็กมากๆ ลำหนึ่ง มันเล็กมาเสียจนคล้ายกับถังไม้ที่หญิงสาวแถบเจียงหนานนั่งเวลาเก็บดอกบัว

 

เขาอยากสำรวจอยู่นานแล้วว่าตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเพียงใด เพียงแต่เมื่อมองเห็นมือเล็กๆ อวบอ้วนของตัวเอง ก็ยอมล้มเลิกความคิดไปโดยสิ้นเชิง เพราะในเวลานี้เขาต้องฝากชีวิตเอาไว้กับหญิงผู้หนึ่งชื่อหวังโหรวฮวา

 

ชื่อเถี่ยซินหยวนนี้เขาก็ได้ยินจากปากของนางเอง ขอเพียงมีเวลาให้พักหายใจได้สักหน่อย หญิงผู้นี้จะพูดจ้อเรื่องบ้านของนางไม่หยุดหย่อน รวมถึงชื่อของเขาที่ฟังดูแล้วก็ไม่เลวนัก

 

เมื่อฟังจากถ้อยคำที่ไม่ปะติดปะต่อกันของนางแล้ว เถี่ยซินหยวนจึงรู้ว่าเขาตกอยู่ในสภาพไหน และยังรู้อีกว่าช่างตีเหล็กชื่อเถี่ยอาชีทุ่มเทอย่างสุดกำลัง เพื่อพาพวกเขาสองแม่ลูกออกมาจากหมู่บ้านที่วุ่นวายอลหม่าน สุดท้ายโดนกระแสน้ำพัดพาจมหายไป

 

หวังโหรวฮวาเอ่ยคำสาบานต่อสวรรค์หลายต่อหลายครั้งว่า นางจะต้องเลี้ยงดูเถี่ยซินหยวนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ คอยเซ่นไหว้บรรพบุรุษตระกูลเถี่ย ส่วนเถี่ยซินหยวนก็รู้ดีว่าหญิงผู้นี้พยายามให้กำลังใจตัวเอง พยายามรวบรวมความกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ตั้งใจหาเรื่องพูดคุยเพื่อไม่ให้ตัวเองหลับไปเสียก่อน

 

เพราะคำพูดมากมายของนาง ทำให้เถี่ยซินหยวนตัดสินใจแล้วว่าต่อไปเขาจะใช้ชื่อนี้ก็ได้ ในเมื่อคนผู้หนึ่งได้ทำหน้าที่ของบิดาอย่างเต็มกำลัง ส่วนอีกคนหนึ่งก็มุ่งมั่นทำหน้าที่มารดาโดยไม่ย่อท้อ เช่นนั้นเขาก็ได้แต่ทำหน้าที่ลูกที่ดีอย่างสุดความสามารถ เรื่องนี้เขาไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ

 

ถ้าหากว่าสถานที่แห่งนี้คือขุมนรก เถี่ยซินหยวนรู้สึกว่ามันก็ดีไม่น้อยเลย!

 

ในเวลานี้สิ่งที่ลูกที่ดีพึงกระทำก็คือ อย่าสร้างปัญหาให้กับมารดาอีก แม้ว่าทั่วร่างจะเปียกชื้นไปหมด แต่เขาก็ตัดใจนอนหลับเสียดีกว่า การไม่ร้องไห้งองแงคือการตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับนางหวังโหรวฮวาแล้ว

 

ในใจของหวังโหรวฮวามีความหวังอยู่มากมาย ตอนนี้นางเริ่มคิดถึงภาพวันที่บุตรชายแต่งงานขึ้นมาแล้ว เมื่อก้มหน้ามองสภาพที่เป็นอยู่ของพวกนางสองแม่ลูก ก็รู้สึกร้อนรนจนแทบทนไม่ไหว

ซากวัวตัวหนึ่งลอยผ่านสายตาไปไม่ไกล หลังจากหวังโหรวฮวาลองกะราคาของวัวดูคร่าวๆ ก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย เมื่อก่อนบ้านของนางก็เคยมีวัวเหมือนกัน

 

จากนั้นก็มีศพคนผู้หนึ่งลอยผ่านถังไม้ไปอีก ตอนนี้หวังโหรวฮวาไม่ค่อยกลัวร่างไร้วิญญาณของคนพวกนั้นแล้ว หลังจากล่องลอยอยู่กลางน้ำมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ นางเห็นมามากเกินพอ

 

ทว่าศพนี้ไม่เหมือนกับศพอื่นๆ เพราะนางเห็นได้ชัดเจนว่าตรงเอวของเขาผูกถุงเงินที่ปักลวดลายดอกบัวล้อมด้วยก้านใบเอาไว้ ซึ่งเป็นของที่คนทำการค้าถึงจะมีใช้ได้ หวังโหรวฮวากล้าพูดเลยว่าในถุงจะต้องมีเงินเต็มไปหมดแน่

 

หลังจากเหลือบมองรูโหว่ที่คอของศพ หวังโหรวฮวาจึงใช้กิ่งไม้เกี่ยวร่างนั้นแล้วดึงเข้ามาใกล้ตนโดยไม่ลังเล เมื่อศพลอยมาถึงตรงหน้า จังหวะหัวใจของนางก็เต้นรัวถี่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ศพตรงหน้าใช้ดวงตาขาวซีดจ้องนางเขม็ง ราวกับกำลังปกป้องทรัพย์สมบัติของตัวเอง

 

“เจ้าตกน้ำไปแล้วแท้ๆ ยังจะหวงเงินอีก เจ้าไม่ตายจะให้ใครตายกันฮึ?” หวังโหรวฮวาส่งเสียงด่าทอแผ่วเบาเพื่อสร้างความกล้าให้กับตัวเอง

 

เคราะห์ดีที่มีไม้ผูกติดกับศพไว้ เพราะเป็นเช่นนี้เองถึงได้ไม่โดนเหรียญอีแปะถ่วงจนจมน้ำไป

 

นางสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปมากโขกว่าจะแก้ปมมัดถุงเงินมาได้ จากนั้นนางก็เอามาผูกไว้กับเอวของตัวเองอย่างแน่นหนา พอลองกะเกณฑ์น้ำหนักดูแล้ว อย่างน้อยที่สุดในถุงน่าจะมีเงินประมาณสองพวง

 

หลังจากผลักซากศพสภาพน่าสยดสยองให้ห่างออกไป หัวใจของหวังโหรวฮวาก็เต้นโครมครามรุนแรงนัก เพราะตามกฎของหมู่บ้านแล้ว หากผู้ใดขโมยทรัพย์สินจากศพ จะต้องโดนแห่ประจาน

 

ในอดีตเถี่ยสือปาแห่งหมู่บ้านตระกูลเถี่ยเคยงมศพได้จากร่องน้ำแล้วขโมยหยกพกมาชิ้นหนึ่ง ภายหลังขณะที่กำลังนำหยกไปขายก็โดนทางการจับตัวได้ ผู้อาวุโสในตระกูลจึงเฆี่ยนโบยด้วยหวายทั้งหมดสามสิบครั้งด้วยกัน จากนั้นสั่งจองจำเถี่ยสือปาและแห่ประจานรอบหมู่บ้านหนึ่งวันเต็ม

 

เมื่อคิดถึงจุดจบของเถี่ยสือปาแล้ว หวังโหรวฮวาก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง เพราะนางจำได้ว่าต่อมาบุตรชายวัยสิบสี่ปีของเถี่ยสือปาไม่มีหน้าไปพบผู้ใด จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีแม่สื่อยอมช่วยเจรจาสู่ขอสักราย นางไม่อยากให้บุตรชายของตัวเองพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ในวันข้างหน้า

 

หวังโหรวฮวานึกอยากจะโยนถุงเงินนี้ทิ้งไป แต่พอเหลือบมองลวดลายดอกบัวอันประณีตนั่นแล้วก็ยังตัดใจไม่ลงอยู่ดี ถุงเงินหน้าตางดงามปานนี้อย่างน้อยที่สุดคงขายได้ยี่สิบอีแปะกระมัง

 

“โยนทิ้งดีไหมนะ?”

 

นางบ่นพึมพำกับบุตรชายที่เพิ่งลืมตาตื่นไม่ยอมหยุด

 

เถี่ยซินหยวนอยากบอกกับมารดาเหลือเกินว่า ให้เอาถุงเงินทิ้งไปเสียแล้วเก็บแค่เงินเอาไว้ก็พอ แต่เมื่อวาจาหลุดพ้นริมฝีปากก็กลายเป็นเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์

 

เคราะห์ดีที่หวังโหรวฮวาพอมีไหวพริบอยู่บ้าง นางตัดสินใจขว้างถุงเงินนั้นทิ้งไป แล้วเก็บพวงเหรียญข้างในเอาไว้ เมื่อเถี่ยซินหยวนมองเห็นมารดาของตนลูบคลำเหรียญอีแปะแต่ละเหรียญ และจูบเศษเงินสองสามก้อนด้วยความปลาบปลื้มนั้น สีหน้าของเขาก็นิ่งสนิทไร้ความรู้สึกไปเลยทีเดียว

 

เขาไม่เข้าใจเท่าไรนัก หญิงผู้นี้เพิ่งเสียสามีไปแท้ๆ เหตุใดถึงแสดงอากัปกิริยาดังคนวิกลจริตได้

 

บนเหรียญอีแปะนั้นคงมีตัวอักษรอยู่แน่ เถี่ยซินหยวนเห็นไม่ชัดเจนนักว่าเป็นอักษรใด แต่อย่างน้อยลักษณะของเหรียญที่เป็นทรงฟ้ากลมดินเหลี่ยม ก็ทำให้เขาโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มาอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดอะไร เพราะเหรียญทองแดงรูปร่างเช่นนั้นเขาเคยเห็นมาแล้วมากมาย...

 

ไม่ทราบว่าขณะนี้เป็นเวลาใดแล้ว เหนือผิวน้ำมีสายลมโชยพัด พายุฝนที่เทกระหน่ำอย่างหนักหน่วงแปรเปลี่ยนเป็นหยาดฝนพร่างพรมอย่างอ่อนโยน หวังโหรวฮวาผู้ฉลาดเฉลียวรู้กระทั่งเรื่องการใช้ร่มขาดๆ รับแรงส่งจากกระแสลมได้ ทำให้ถังไม้ของนางเริ่มล่องลอยไปตามลมอย่างมีจุดหมาย

 

ถังไม้ลอยหลบต้นไม้สูงใหญ่ที่ลำต้นยื่นโผล่พ้นน้ำ บนต้นไม้เหล่านั้นมีคนเกาะอยู่เต็มไปหมด หวังโหรวฮวาคิดอย่างง่ายๆ ว่า นางกับบุตรชายนั่งอยู่ในถังไม้ใบนี้ปลอดภัยกว่าอยู่บนต้นไม้กับคนพวกนั้นมากมายนัก

 

อุทกภัยครั้งใหญ่คราวนี้เปลี่ยนแปลงผู้คนไปมากมาย เพื่อนบ้านซึ่งเดิมทีใกล้ชิดสนิทสนมกันอาจกลายเป็นปีศาจร้ายไปแล้วก็ได้ เจ้าหมูที่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปตัวนั้นแสดงให้หวังโหรวฮวาเข้าใจถึงหลักการข้อนี้แล้ว

 

เมื่อต่างฝ่ายต่างต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ไมตรีจิตที่เคยมีก็เป็นเพียงแค่เงาจันทร์ที่สะท้อนในโอ่งน้ำเท่านั้น

 

ตลอดเส้นทางนี้มิใช่หวังโหรวฮวาไม่เคยเห็นคนตกน้ำ

 

ยังมิต้องกล่าวถึงแถบชานเมืองที่โดนน้ำท่วมจมบาดาลไป หมู่บ้านตระกูลเถี่ยเพียงแห่งเดียวก็มีผู้ประสบภัยมากกว่าพันคนแล้ว

 

พวกผู้ชายต่างไปที่ตลิ่งแม่น้ำกันหมด ในหมู่บ้านเหลือแค่พวกเด็กๆ ผู้หญิงอ่อนแอและคนชรา ส่วนพี่ชีเป็นช่างตีเหล็กถึงได้โดนท่านปู่หัวหน้าตระกูลรั้งตัวเอาไว้ เพื่อคอยทำเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ

 

หวังโหรวฮวาแทบไม่กล้านึกถึงชั่วขณะที่สายน้ำถาโถมเข้ามาจนมืดฟ้ามัวดิน...

 

พี่ชีให้ชาวบ้านไปอยู่บนแพไม้จนเต็ม เมื่อพวกนางสองแม่ลูกต้องการจะลงแพนั้น กลับไม่มีใครสักคนยอมเสียสละที่ว่างให้เลย ถ้าหากคนพวกนั้นยอมเจียดพื้นที่ให้บ้าง พี่ชีของนางก็คงไม่ต้องตาย...

 

ด้วยเหตุนี้เอง หวังโหรวฮวาจึงเฝ้ามองผู้คนมากมายถูกกระแสน้ำกลืนกินด้วยสายตาเฉยชา โดยที่ภายในใจไม่มีความรู้สึกผิดบาปแม้เพียงเศษเสี้ยว

 

การเป็นวีรบุรุษนั้นให้ชายชาตรีเช่นพี่ชีของนางทำไปเถิด นางเป็นเพียงหญิงอ่อนแอที่ต้องพาลูกน้อยหนีเอาตัวรอด ไม่มีความจำเป็นต้องเห็นใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น

 

หวังโหรวฮวาเพียรพยายามคิดถึงช่วงเวลาอันงดงามยามที่นางและพี่ชีอยู่ร่วมกัน ไม่ปล่อยให้มีภาพใดหลุดลอยไป สีหน้าของนางประเดี๋ยวภาคภูมิใจ ประเดี๋ยวเศร้าเสียใจ ราวกับว่าขอเพียงในใจนางระลึกถึงพี่ชีเอาไว้ สวรรค์เบื้องบนก็จะประทานโอกาสให้พวกนางแม่ลูกมีชีวิตรอด

 

เถี่ยซินหยวนที่กินนมจนอิ่มหนำแล้ว พลันพ่นฟองน้ำลายออกมาด้วยความเบื่อหน่าย

 

น้ำนมของนางหวังโหรวฮวามีมากนัก มีมากจนเกินพอ เขากินเข้าไปจนแทบจะสำรอกออกมา อีกทั้งเวลานี้ยังมีน้ำนมไหลซึมออกมาจากเต้าหยดแหมะๆ ใส่หน้าของเขาอย่างต่อเนื่อง ดูจากรูปการณ์แล้วเขาจะต้องเป็นเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงอย่างยิ่งเป็นแน่

 

----------------------------

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด