ตอนที่ 25 เด็กสาวสองพันปี
ตอนที่ 25 เด็กสาวสองพันปี
พิธีแต่งงานของคนในตระกูลใหญ่แม้จะจัดให้เล็กแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น โซอีได้เห็นถึงข้อเท็จจริงนี้เป็นอย่างดี เมื่อเธอกับธาวินถูกรับให้มาค้างที่ตระกูลยูคิฮารุในค่ำคืนนี้
ท่านแม่ของเคนเซย์ไม่สะดวกมาสอนทำขนมให้เธอตามที่คาดการณ์ไว้ เพราะดูจะมีเรื่องอีกมากมายให้ต้องเตรียมงานที่จัดขึ้นอย่างฉุกละหุกแบบนี้
หลังออกมาต้อนรับแขกทั้งสอง นายหญิงใหญ่ของบ้านก็ขอตัวไปจัดการธุระของตัวเองต่อ แล้วปล่อยให้ลูกชายทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีต่อไป รวมถึงว่าที่ลูกสะใภ้ซึ่งถูกทิ้งไว้ให้รวมกลุ่มอยู่ตรงนั้นเช่นกัน
“สวัสดีค่ะ วันนี้ขอรบกวนด้วยนะคะ”
โซอีเอ่ยขึ้นกับเฟย์นะ เพราะยังไม่เคยคุยหรือรู้จักกันตรงๆ หญิงสาวตัวเล็กจึงได้ใช้คำสุภาพกว่าปกติ
“สวัสดีจ้ะ ได้ยินมาว่าคืนนี้จะนอนที่นี่ใช่มั้ย ถ้ายังไงมานอนกับพี่ก็ได้นะคะ”
เคนเซย์กับธาวินหันหน้าออกไปหัวเราะพรืดกันคนละด้าน เฟย์นะได้แต่มองอย่างสงสัย มีเพียงโซอีที่หันไปมองเคนเซย์ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ที่ยังไม่ได้เล่าเรื่องของเธอให้ฟัง คงเพราะอยากแกล้งเฟย์นะเพื่อจะได้เห็นสีหน้าตกใจตอนที่ได้รู้อายุของเธอสินะ
“ดีเลยค่ะพี่เฟย์นะ เราคงมีอะไรคุยกันเยอะเลย ขอบคุณนะคะ”
โซอีอมยิ้มกว้างตอบรับ พร้อมกับตอบเสียงสดใสเหมือนเด็กให้สมกับขนาดตัว กลับกลายเป็นสองหนุ่มที่สำลักอากาศไปแทน
“เอ่อ...จะดีเหรอครับ ที่…”
โซอีหันไปจิกตาขวางใส่ธาวินที่กำลังจะพูดมาก ทำเอาเด็กหนุ่มงับปากลงในทันควัน
“อ่า...เอาเป็นว่าไหนๆ ก็มาแล้ว อยากจะเดินชมบ้านสักหน่อยมั้ยครับ วันนี้จะเริ่มสอนพื้นฐานพลังนักปราบวิญญาณให้เฟย์นะด้วยพอดี ถึงเราจะเป็นคนละสายพลังแต่ก็ลองฟังไว้พื้นฐานความรู้กันดีมั้ย”
“ผมไป!”
ธาวินยกมือเห็นด้วยในทันที เขาไม่มีทางพลาดเรื่องน่าสนุกแบบนี้แน่นอน แม้โซอีจะลอบถอนใจทำหน้าเหม็นเบื่อ แต่ในเมื่อมาอยู่ที่นี่แบบนี้แล้วจะหนีไปซุกอยู่มุมไหนของบ้านคนเดียวก็คงไม่ใช่เรื่อง
เมื่อตกลงกันได้ เคนเซย์จึงนำขบวนทุกคนเดินลัดเลาะไปตามระเบียงไม้ทางเดินขนาดยาว ผ่านห้องต่างๆ และสวนสวยที่มีอยู่ตลอดเส้นทาง พื้นที่ใช้สอยส่วนรวมของบ้าน เขตที่พักของสมาชิกในตระกูลและที่พักของแขกถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน
“ห้องนี้ห้องนอนพี่เคนเหรอ”
ธาวินถามขึ้นอย่างสงสัย เมื่อหยุดแวะเพื่อเก็บสัมภาระของโซอีไว้ที่ห้องพักชั่วคราวของเฟย์นะ
“ไม่ใช่หรอก แถวนี้เป็นโซนห้องรับแขก ตอนนี้ห้องนอนพี่ถูกปรับปรุงตกแต่งใหม่อยู่น่ะ นายเอากระเป่าเสื้อผ้าไว้ตรงนี้ก่อนก็แล้วกันธาวิน ขากลับจากโรงฝึกค่อยแวะเอาของก่อนกลับห้องนอน”
ที่เขตรั้วชั้นนอกของอาณาเขตตระกูลมีโรงฝึกขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนเคนโด้และศิลปะการฟันดาบที่มีชื่อเสียง คฤหาสน์ของตระกูลจะอยู่เขตรั้วส่วนใน และมีโรงฝึกส่วนตัวซึ่งอยู่ด้านหลังของบ้านทำให้พวกเขาต้องเดินกันไกลทีเดียว
“ผมรู้แล้วทำไมพี่เคนถึงโตมาเก่งแบบนี้ แค่เดินไปเดินมาในบ้านนี่ก็เหมือนได้วิ่งออกกำลังกายเป็นกิโลแล้ว”
“จะว่าไปก็จริงแฮะ มันคงชินจนไม่รู้สึกอะไรแล้วน่ะ ว่าแต่นายเองก็กำลังจะได้ไปเรียนการใช้พลังของนักสะกดวิญญาณแล้วนี่นา”
“ใช่แล้ว พรุ่งนี้แล้วล่ะ ตื่นเต้นชะมัดเลย”
ทั้งสี่เดินมาถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด ธาวินเดินสำรวจสิ่งต่างๆ ในโรงฝึกด้วยความรู้สึกตื่นตา เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาเห็นโรงฝึกของจริงแบบนี้ พร้อมกับมีเคนเซย์คอยแนะนำให้ฟังว่าอะไรเป็นอะไร โซอีได้แต่นั่งรอพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตรวจสอบข้อความ ซึ่งมันว่างเปล่าไร้ใครคนใดติดต่อมา
“ชื่อโซอีใช่มั้ย อายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ เป็นคนของหน่วยเคซีโร่เหมือนกันเหรอ”
เฟย์นะที่นั่งอยู่ใกล้กันชวนคุยขึ้นมาระหว่างนั่งรอ โซอีเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ ที่จริงเธอเองก็ไม่ได้อยากเล่นละครเป็นเด็กแบบนี้เท่าไร แค่อยากแกล้งพวกผู้ชายกลับไม่ให้ได้เห็นเฟย์นะหน้าแตกเหมือนกัน
“อย่าเพิ่งคุยเรื่องอายุเลยค่ะ ขนมวันก่อนพอจะถูกปากบ้างมั้ยคะ”
“อ๊ะ...ขนมที่นายหญิงใหญ่เอามาให้น่ะเหรอ อร่อยมากๆ เลยล่ะ ได้กินของหวานๆ ตอนไม่ค่อยมีแรงนี่มันรู้สึกดีจริงๆ เลยเนอะ ขอบคุณมากนะ ว่าแต่ซื้อจากร้านไหนมาเหรอ”
“ทำเองค่ะ ปกติก็ทำขายด้วยอยู่แล้ว ถ้าสนใจอยากสั่งอะไรเพิ่มก็โทรหรืออีเมลมาสั่งตามนามบัตรที่ใส่ไว้ได้เลยนะคะ”
เห็นได้ชัดว่าเฟย์นะอึ้งจนพูดไม่ออก สำหรับตัวเธอที่ไม่ถนัดเข้าครัวเลยสักนิด ได้ฟังแบบนี้แล้วก็ชวนให้รู้สึกอายเด็กขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เคนเซย์กับธาวินเดินกลับมาในที่สุด นักเรียนจำเป็นทั้งสามนั่งเรียงเป็นแถวหน้ากระดานโดยมีเคนเซย์นั่งฝั่งตรงข้ามในฐานะอาจารย์
“ก่อนอื่นเรามารู้จักพลังวิญญาณกันก่อน ถ้าใครสงสัยหรือฟังไม่ทันตรงไหน รอให้พูดจบแล้วก็ยกมือถามได้เลย”
แม้จะมีธาวินเพียงคนเดียวที่พยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น แต่เคนเซย์ก็เชื่อว่าเฟย์นะกำลังตั้งใจฟังเป็นอย่างดี และยกให้คุณโซอีไว้เถอะหากเธอจะไม่สนใจนัก เพราะแม้แต่พลังของนักสะกดวิญญาณเธอยังไม่อยากจะเรียน
“ผู้ที่มีพลังวิญญาณในสายนักปราบวิญญาณ จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือสายสลายพลังวิญญาณ สายแพทย์วิญญาณ สายพิเศษ วันนี้เราจะพูดถึงในส่วนของสายสลายพลังวิญญาณก่อนก็แล้วกัน สายนี้เป็นสายพลังหลักทั่วไปของนักปราบวิญญาณ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์คร่าวๆ จากจำนวนนักปราบวิญญาณนักหมด สายนี้คงจะมีอยู่ประมาณ 80% สายแพทย์วิญญาณ 5% กับสายพิเศษอีก 15 % คงได้”
“แพทย์วิญญาณนี่หายากกว่าสายพิเศษอีกเหรอครับ”
“ใช่แล้ว ที่จริงจะมองว่าสายแพทย์วิญญาณเป็นสายพิเศษอีกชนิดก็ได้ แต่เพราะลักษณะของพลังที่คนในสายนี้มีพลังเหมือนกันได้ ต่างจากสายพิเศษทั่วไปที่จะไม่ซ้ำกัน แถมมันยังมุ่งเน้นในการรักษาฟื้นฟู เราก็เลยแยกประเภทไว้เป็นสายแพทย์วิญญาณน่ะ”
“แล้วตระกูลยูคิฮารุนี่ก็เป็นหัวแถวในบรรดานักปราบวิญญาณ 80% นั้นสินะ”
หนนี้เป็นโซอีที่ถามขึ้นอย่างน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่ก่อนเริ่มทำเหมือนไม่ได้อยากฟังสักนิดเลยก็ตาม
“ถ้าตอบว่าใช่เลยก็คงจะดูน่าหมั่นไส้เกินไปครับ แต่ความจริงก็ไม่ผิดจากนั้นเท่าไหร่ ถ้าตระกูลชามันด์คือจุดกำเนิดของนักสะกดวิญญาณ ตระกูลยูคิฮารุก็เหมือนจุดกำเนิดของนักปราบวิญญาณเหมือนกัน”
“แปลว่าตั้งแต่แรกเริ่มมาก็มีแค่นักปราบวิญญาณสายสลายพลังวิญญาณแบบนี้สินะ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เกิดพวกแตกสายแยกออกมางั้นเหรอ”
โซอีถามต่อ เฟย์นะมองอย่างสงสัยทีเดียวเมื่อเห็นว่าเคนเซย์ดูสุภาพกับเด็กผู้หญิงคนนี้ชอบกล
“ว่ากันว่าในอดีตเป็นแบบนั้นแหละครับ แต่เพราะตระกูลของเราเหมือนกับจุดเริ่มต้น และสืบทอดพลังวิญญาณจากรุ่นสู่รุ่นที่ยังไม่สูญหายไปก็ทำให้เจตจำนงของพลังอันยิ่งใหญ่นั้นยังคงอยู่ ถึงการฝึกฝนและประสบการณ์ต่างๆ จะสามารถเพิ่มพลังวิญญาณให้ได้บ้าง แต่คนของตระกูลเรามักจะมีพลังที่สูงมากตั้งแต่เกิดอยู่แล้วทุกอย่างมันเลยดูง่ายกว่าปกตินะครับ อาจจะดูขี้โกงไปหน่อยก็จริง แต่เพราะอย่างนั้นตระกูลเราถึงมีพันธสัญญากับกองปราบวิญญาณ คนทุกรุ่นอย่างน้อยหนึ่งคนต้องเข้าไปทำงานที่นั่น ในช่วงที่เจ้าหน้าที่ขาดแคลนมากๆ ผมเองก็ถูกส่งเข้าไปช่วยงานตั้งแต่อายุเก้าปี”
คำพูดนี้เรียกสีหน้าอึ้งทึ่งจากผู้ฟังทั้งสาม พลางนึกย้อนหลังไปว่าตอนอายุเก้าปีนั้นตัวเองกำลังทำอะไร
“สายพลังนี้ไม่ค่อยมีอะไรซับซ้อนมาก เราจะสามารถเรียกอาวุธวิญญาณประจำตัวของตัวเองออกมาได้แบบนี้”
เคนเซย์ยื่นมือออกมาด้านหน้าแล้วเรียกอาวุธประจำตัวเองออกมาให้เห็นอย่างง่ายดาย แม้ธาวินจะเห็นมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังประทับใจทุกครั้งเช่นเคย เฟย์นะเห็นแล้วเริ่มลองทำตามบ้าง แต่ทุกอย่างก็ยังว่างเปล่าไม่มีอะไรโผล่ออกมา ธาวินเองก็นึกสนุกลองทำตามเช่นกัน
“พลังของเธอยังไม่เสถียรเท่าที่ควร คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยไม่ต้องกังวลหรอกนะ ส่วนนาย...เบ่งอีกสิบปีก็ไม่ออกมาหรอก เพราะนี่ไม่ใช่สายพลังของนาย”
เคนเซย์ปลอบใจเฟย์นะ แล้วหันด้ามจับของดาบไปเคาะหัวธาวินเบาๆ
“อาวุธที่เกิดขึ้นจากพลังวิญญาณจะกลายเป็นของจริงได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับพลังวิญญาณของเจ้าของ บางคนเรียกออกมาได้ก็จริงแต่ด้วยพลังที่เบาบางเกินไป ก็จะไม่สามารถฟันอะไรนอกจากวิญญาณ”
“ของพี่เคนนี่ใช้ได้จริงเหมือนดาบจริงเลยใช่มั้ยฮะ จริงด้วย...คราวก่อนยังเอาไปตัดหญ้าอยู่เลย”
ธาวินถามขึ้นพร้อมกับจ้องมองดาบเล่มงามที่เคนเซย์นำกลับมาวางอยู่ตรงหน้า
“ใช่แล้ว เมื่อกี้ยังเอาเคาะหัวนายได้เลย แล้วก็ทำให้หายไปในทันทีได้เหมือนกัน”
ชายหนุ่มเอามือมาแตะที่ดาบอีกครั้ง แล้วดาบก็หายไปเหมือนไม่เคยมีวางอยู่ตรงนี้
“อาวุธที่สร้างจากพลังวิญญาณพวกนี้ จะมีพลังสลายวิญญาณสีดำทำลายดิคเคนส์ได้โดยตรง ความแข็งแกร่งทนทานของอาวุธ พลังการทำลาย หรือแม้แต่ภูมิต้านทานที่มีต่อการถูกดูดพลังชีวิตจากดิคเคนส์ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับปริมาณพลังวิญญาณที่มีในร่างกาย ดังนั้นหากเจอกับดิคเคนส์ระดับสูงมากกว่าตัวเองมากเกินไป ก็มีโอกาสที่เราจะกำจัดมันไม่ได้หรือถูกดูดพลังชีวิตจนตายเองได้เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นกองปราบวิญญาณของคาเรมก็เลยต้องแบ่งเจ้าหน้าที่ออกเป็นหน่วย K-1 ถึง K-4 ให้รับภารกิจตามระดับพลังวิญญาณเพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ด้วย”
“อ้าว แล้วทำไมพี่เคนถึงได้อยู่หน่วย K-0 ล่ะ”
เป็นคำถามจากเด็กหนุ่มขี้สงสัยผู้อยากรู้ไปหมดในทุกสรรพสิ่งคนเดิม
“ตอนเข้าไปทำงานที่กองใหม่ๆ ที่จริงก็สังกัดอยู่ K-1 นะ จนตอนอายุสิบสี่ ทาง K-0 ก็ทำเรื่องยื่นขอย้ายตัวให้ไปช่วยเพราะคนขาดแคลนจริงๆ สาเหตุคงเป็นเพราะของสิ่งนี้ด้วยน่ะ”
เคนเซย์หยิบสร้อยคอที่มีจี้รูปหยดน้ำสีแดงซึ่งสวมไว้เสมอขึ้นมา สมบัติสืบทอดประจำตระกูลที่เขาไม่เคยถอดออกเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่ได้รับมาเมื่อตอนอายุเก้าปี ชายหนุ่มร่ายคาถาบางอย่างก่อนจะปรากฏร่างของนกไฟสีเพลิงตัวใหญ่ออกมาเกาะอยู่ที่มือซึ่งยืดออกไปจนสุดแขน ทำเอาผู้ชมทั้งสามผงะถอยหลังอย่างตื่นตกใจ
“คนธรรมดาจะมองไม่เห็นหรอก ก่อนจะขึ้นไปนั่งให้พาไปไหนมาไหนได้ก็ต้องเข้าโหมดมิติวิญญาณด้วย คงเพราะมีสิ่งนี้ก็เลยทำให้ดูเป็นนักปราบวิญญาณที่เคลื่อนไหวได้คล่องตัวกว่าคนอื่นน่ะ”
“นี่คือเอ่อ...วิญญาณของนกจริงๆ เหรอครับพี่เคน”
ได้ยินที่ธาวินถามแล้วเคนเซย์ก็นิ่งไปชั่วขณะ สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกความจริง
“ฮารุฮานะ”
เมื่อเคนเซย์เอ่ยคำนั้นออกมาร่างของนกไฟก็เปล่งแสงสว่างจ้าจนแสบตา ก่อนจะกลายร่างมาเป็นเด็กสาวอายุราวสิบต้นๆ ผมสั้นสีดำคนหนึ่ง ซึ่งสวมชุดกิโมโนสีขาวล้วนไม่มีลวดลาย
แต่สิ่งที่ประหลาดใจกว่านั้นคือเจ้าของบ้านที่เปลี่ยนท่านั่งพับเก็บขาให้เรียบร้อย ก่อนจะก้มตัวโค้งศีรษะลงจรดพื้นเป็นการคำนับเด็กสาวคนนั้นทันที
เสียงกรีดร้องพร้อมกับภาพของเด็กสาวในกิโมโนสีขาวเปื้อนเลือดแวบขึ้นมาในหัวของธาวิน เขาขนลุกเกรียวทั้งร่าง ใจเต้นตึกตักเร็วรัวเหมือนจะระเบิดออก ได้แต่ขมวดคิ้วจ้องมองเด็กสาวผู้นั้นชนิดไม่อาจละสายตาไปได้...
“นี่คือร่างที่แท้จริงของท่านฮารุฮานะขณะที่ยังเป็นมนุษย์ ท่านฮารุฮานะเป็นบุตรสาวคนที่สองของท่านยูคิฮารุ ต้นตระกูลของเราและยังเป็นนักปราบวิญญาณวิญญาณคนแรกอีกด้วย”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเคนเซย์ก็แนะนำฐานะที่แท้จริงของคนตรงหน้าให้ทุกคนได้รู้จัก เด็กสาวขยับเท้าก้าวไปบนเบาะนั่งที่เคนเซย์เลื่อนเข้ามาให้จนชนกับปลายเท้า เมื่อค่อยๆ นั่งลงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว เธอก็โน้มตัวลงเล็กน้อยราวกับจะทักทายทุกคน
ท่ามกลางความตกตะลึงอึ้งทึ่ง เฟย์นะกับโซอีที่ทำอะไรไม่ถูกรีบโค้งศีรษะลงเป็นการทำความเคารพกลับด้วยความตื่นเต้น ยกเว้นธาวินที่ยังนั่งแข็งเป็นหินอยู่อย่างเดิม จนโซอีต้องเงยหน้าขึ้นมาจับหัวของเด็กหนุ่มกดลงให้ทำความเคารพด้วยกัน
“อวยพรแด่ทุกท่าน”
เสียงนุ่มเย็นของท่านฮารุฮานะเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
“เอ่อ...ดูเหมือนจะแปลว่าสวัสดีในสมัยก่อนน่ะ”
เคนเซย์รีบอธิบายเมื่อคาดว่าทั้งสามคนคงจะงงอย่างแน่นอน
“เอ่อ...ขอโทษที่ถามเสียมารยาทนะคะ แต่ทำไมฉันถึงได้ยินเสียงของท่านฮารุฮานะทั้งๆ ที่ยังเข้าโหมดมิติวิญญาณไม่ได้ล่ะ ไหนว่าเราจะได้ยินเสียงของวิญญาณเมื่อเข้ามิติวิญญาณแล้วเท่านั้น”
เสียงของเฟย์นะดังขึ้นเป็นครั้งแรก เคนเซย์เข้าใจความหมายที่แฝงไว้ของคำถามนั้นในทันที
“หากเป็นวิญญาณที่มีระดับสูงมากๆ ก็อาจจะสามารถนำตัวเองเข้าสู่มิติของคนปกติได้เหมือนกัน ใครที่เห็นเขาได้ก็จะได้ยินเสียงของเขาด้วย แต่ในกรณีนี้จะว่ายังไงดี คือ...ที่จริงแล้วท่านฮารุฮานะยังไม่ตายน่ะ”
ข้อเท็จจริงนั้นชวนให้ตกตะลึงเกินกว่าที่ใครจะร้องตกใจออกมา