ตอนที่ 25: ของฟรีมีในโลก
ตอนที่ 25: ของฟรีมีในโลก
เฮเซคียาห์เดินตามหลังมูนนี่กลับมาที่กระท่อม โดยระหว่างทางเขาคอยรักษาระยะห่างจากมูนนี่ไว้ตลอดเพราะสัมผัสได้ว่ามูนนี่ไม่สบายใจจะอยู่ใกล้ เขามองแผ่นหลังของมูนนี่แล้วนึกเสียดายที่บทสรุปของความสัมพันธ์ของพวกเขาคือสามแยก พวกเขาทั้งคู่คนหนึ่งต้องเลี้ยวไปทางขวา ส่วนอีกคนต้องเลี้ยวไปทางซ้าย ไม่อาจร่วมทางกันได้อีก
“อ้าว! พวกนายคุยกันเสร็จแล้วเหรอ” ซาแมนต้ากระโดดลงจากก้อนหินซึ่งเธอใช้นั่งเล่นกีต้าร์อยู่
มูนนี่พยักหน้าแล้วยิ้มอ่อนๆ
“ตกลง พวกเราจะแยกกันเดินทาง คีห์มีสถานที่ที่เขาต้องไป” มูนนี่ไม่ได้ปรึกษาเฮเซคียาห์ในสิ่งที่จะพูดกับซาแมนต้า แต่มันเป็นเรื่องจริง
เฮเซคียาห์มองหน้าซาแมนต้าที่หันมาสบตากับเขา เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเธอ ขณะที่เธอขยับมาใกล้เขา
“จะไปไหนล่ะ หรืออยากไปกับฉันไหม”
“ไปกับเธอ” เฮเซคียาห์มองซาแมนต้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างรังเกียจ “เธอนึกพิศวาสอะไรฉัน ทำไมอยู่ๆ ชวนฉันแบบนั้น”
ซาแมนต้าทำตาโต แล้วถอยออกห่างจากเขา มองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเช่นกัน
“อะไร?” เฮเซคียาห์ตวัดเสียง
“ก็เลียนแบบนายไง” ซาแมนต้าเอียงศีรษะซ้ายที ขวาที ดูยียวนกวนประสาท ยังไม่รวมสีหน้าท้าทายของเธอ มันทำให้เฮเซคียาห์กำหมัดขึ้นมาแน่นเพราะคันมืออยากจะจับตัวของซาแมนต้าเขย่าแรงๆ
“เมื่อกี้พูดจริงเหรอ ทำไมอยู่ๆ ถึงชวนหมอนี่ไปกับคุณ” มูนนี่แทรกขึ้นมาด้วยเสียงเข้ม ซ่อนความไม่สบายใจ
“พูดจริง” ซาแมนต้าลากเสียงยาว ดวงตาของเธอดูสดใส “เขาน่าจะกำลังหางานนะ ฉันมีงานให้เขาทำ”
“เธอคิดจริงๆ เหรอว่าฉันจะลดตัวลงไปทำงานให้เธอ” เฮเซคียาห์ยกมือขึ้นกอดอก
“ไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร แต่ฉันคิดว่านายเหมาะนะ”
“งานอะไร” เฮเซคียาห์ไม่อยากได้งาน แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าซาแมนต้ามีข้อเสนออะไรให้เขา
“พี่เลี้ยงเด็ก”
เฮเซคียาห์หน้านิ่ว เขาส่ายหน้าไปมาพร้อมกับแสดงออกทางสีหน้าอย่างตั้งใจให้ซาแมนต้าเห็นเลยว่าเขาไม่ต้องการงานที่เธอเสนอให้
“ผมเองก็ทำงานนี้ได้นะ” มูนนี่เสนอตัวซะงั้น
เฮเซคียาห์เกือบกลอกตาด้วยความเหลือเชื่อกับคำพูดของมูนนี่ที่ได้ยินกับหู แต่บรอธเตือนเขาให้รักษากิริยาไว้ เพราะถ้ามูนนี่เห็นเข้าจะหงุดหงิดขึ้นมา ในเมื่อพวกเขาจะลาจากกันแล้ว เฮเซคียาห์ไม่สมควรสร้างความไม่น่าประทับใจเหลือทิ้งไว้ก่อนลาให้แก่มูนนี่
“คุณต้องเดินทางไปเรื่อยๆ คงจะหยุดอยู่กับที่นานๆ ไม่ได้” ซาแมนต้ามีเหตุผลที่ไม่ขอให้มูนนี่ช่วย
“ผมแนะนำเพื่อนที่เหมาะสมให้คุณได้ หาแบบที่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาให้เลยก็ยังได้”
“แต่ฉันสนใจตาเบื๊อกนี่” ซาแมนต้าชี้นิ้วมาที่เฮเซคียาห์
มูนนี่แสดงออกทางสีหน้าว่าสับสน
“ฉันไม่ได้ชอบเขานะ!” ซาแมนต้าอยู่ๆ โพล่งออกมา หน้าแดง “ฉันก็แค่เห็นว่าเขามีเศวตศาสตราประเภทที่ทำให้ฉลาดขึ้น ฉันคิดว่าเหมาะที่จะให้เขาไปอยู่กับเด็กๆ เพื่อสอนอะไรกับพวกเขา ในกลุ่มของฉันมีทั้งเด็กที่มีแนวโน้มสูงจะเป็นผู้ใช้เศวตศาสตราประเภทเดียวกับเขา และคนที่ครอบครองเศวตศาสตราประเภทเดียวกับเขา ฉันว่าเขาช่วยได้แน่ๆ”
มูนนี่ยกมือขึ้นแตะที่ซอกคอของเขาก่อนจะลูบขึ้นไปนวดเบาๆ ที่ต้นคอด้านหลัง ดูเหมือนความเครียดเริ่มก่อตัว
“นี่! ฉันไม่รู้ว่าเธอตาถั่วหรือเปล่า ฉันไม่ชอบเธอ ฉันก็แสดงออกชัดๆ อยู่” เฮเซคียาห์โวยวาย
“ฉันก็ไม่ชอบขี้หน้านายย่ะ! แต่ฉันอยากได้คนที่มีความสามารถแบบนายไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้”
“ไร้สาระ! คนอย่างฉัน...”
“ก็ไม่แปลกหรอกที่ซาแมนต้าจะคิดว่านายเป็นพี่เลี้ยงเด็กได้” มูนนี่แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนเฮเซคียาห์จะพูดจนจบประโยค “ก็นายมีความสามารถตรงกับเด็กที่เธอดูแลอยู่...”
เฮเซคียาห์มองหน้ามูนนี่อย่างงงๆ
มูนนี่ถอนหายใจยาว ทำหน้าหนักใจ แต่ยอมอธิบายต่อ
“เด็กที่ว่าไม่ใช่เด็กเล็ก แต่เป็นเด็กที่อายุราว 15-18 ปี เมื่อเศวตศาสตราของพวกเขาตื่นขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องมีผู้ชี้แนะ ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาในองค์กรใหญ่ พวกเขามักได้รับคำแนะนำให้ออกเดินทางเพื่อตามหาผู้ใช้เศวตศาสตราประเภทเดียวกัน พวกเขาต้องการคนที่จะสอนให้เรียนรู้ถึงพลังของตัวเอง
”
“ของอย่างนี้ต้องมีการสอนกันด้วย” เฮเซคียาห์อ้าปากค้าง เขาไม่รู้มาก่อน
“มันมีคู่มือการใช้งานไหมล่ะ การใช้เศวตศาสตรา”
เฮเซคียาห์ส่ายหน้า
“แล้วนายคิดว่าพวกเราเรียนรู้การใช้เศวตศาสตราได้จากไหน” มูนนี่ทำหน้าเหมือนรำคาญที่จะอธิบายต่อ เขาโยกศีรษะไปมาอย่างหัวเสีย “ไม่มีเศวตศาสตราอันไหนพูดได้เหมือนบรอธหรอก จากที่ฉันเห็นมานะ เพราะฉะนั้นก็แน่นอนว่าคนที่เศวตศาสตราของเขาเพิ่งตื่น เขาต้องการครูดีๆ สักคนที่บอกพวกเขาว่าอะไรเป็นอะไร อย่างเช่นเราไปจับเศวตศาสตราของคนอื่นไม่ได้ และเราก็ไม่ควรให้คนอื่นสัมผัสเศวตศาสตราของเรา”
“นายก็มีครูเหรอ”
“เออ”
“แล้วเศวตศาสตราของเขาเหมือนนายเลยเหรอ ฉันไม่เคยเห็นเศวตศาสตราที่มีคุณสมบัติเหมือนวีวี่มาก่อน” เฮเซคียาห์ฉงนสนเท่ห์
“นายคงเคยได้เห็นมาเยอะสินะ” มูนนี่เอ่ยขรึมๆ ดูเหมือนจะคิดถึงเฮเซคียาห์ในแง่ร้ายอยู่ แต่ก็ยังยอมตอบคำถามของเฮเซคียาห์ “ครูจริงๆ ของฉันมีเศวตศาสตราประเภทอาวุธ พื้นฐานของการใช้เศวตศาสตราประเภทอาวุธ จะคล้ายคลึงกับเศวตศาสตราของฉัน เพราะหลักๆ คือการรวบรวมสมาธิเพื่อให้เศวตศาสตราเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นในหมวดหมู่ที่เป็นข้อจำกัดของมัน เช่น พาหนะใดๆ ก็ได้ หรือปืนแบบไหนก็ได้ แต่การเคลื่อนที่พาหนะโดยไม่ขึ้นขับ เป็นเรื่องที่ฉันฝึกจากผู้ใช้เศวตศาสตราอีกคนหนึ่งซึ่งเปลี่ยนเศวตศาสตราของเขาเป็นหุ่นยนต์อเนกประสงค์ได้”
เฮเซคียาห์นิ่งไป อยู่ในอาการกรุ่นคิด
“แล้วคนที่หาครูไม่ได้จริงๆ ล่ะ พวกเขาใช้เศวตศาสตรายังไง”
“พวกเขาจะค่อยๆ เรียนรู้ แต่เป็นไปได้สูงว่าจะใช้มันไม่ได้เต็มศักยภาพ โดยทั่วไปเศวตศาสตราจะเปลี่ยนแปลงรูปร่าง หรือตอบสนองต่อการหมกมุ่นของผู้ใช้ต่อเรื่องหนึ่งๆ” มูนนี่ทำให้เฮเซคียาห์เห็นภาพของผู้ใช้เศวตศาสตรามือใหม่โดยทั่วไป “อย่างถ้าคนชอบหมากรุก เศวตศาสตราอาจเปลี่ยนสภาพเป็นกระดานหมากรุกที่ตัวหมากเคลื่อนที่เองได้เพื่อฝึกฝนให้เขา รวมถึงอาจส่งต่อแผนกลยุทธ์การเล่นนับร้อยแบบโดยตรงเข้าสู่สมองของเขา”
“ฉันเคยเห็นคนที่เศวตศาสตรามีไว้ใช้เล่นหมากรุกมาก่อน แต่มันดูไม่มีประโยชน์ในเรื่องการต่อสู้”
“ฉันเคยเจอ 2-3 คน เศวตของคนพวกนี้ใช้ต่อสู้ได้นะ คนหนึ่งที่ฉันรู้จัก เขาเปลี่ยนพื้นที่ว่างเปล่าให้กลายเป็นสนามหมากรุก และใช้ตัวหมากรุกไล่รุกศัตรูที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ถ้าจะสู้กับคนแบบนั้น ฉันว่าชาวมัสตินเองก็เอาชีวิตรอดยาก”
เฮเซคียาห์สั่นศีรษะอย่างไม่อยากเชื่อ
“ของกระจอกอย่างกระดานหมากรุก และตัวเบี้ยหมากรุกเนี่ยนะ”
“ลองคิดดูสิ ว่าเดินอยู่ดีๆ รอบตัวก็เปลี่ยนเป็นกระดานหมากรุก และถูกล้อมด้วยตัวหมากรุกอยู่รอบด้าน ตัวหมากรุกอาจจะทำด้วยเหล็กหรือโลหะอื่นที่แข็งแรง แล้วจู่ๆ คนที่ตกอยู่ในกระดานหมากรุกก็ถูกตัวเบี้ยเอาดาบแทง ถูกเรือบดไปกับพื้นกระดานหมากรุก หรือถูกรุกฆาตด้วยการมีตัวหมากมาดักหน้าแล้วกระโจนเข้ามาทับหัวแบน สมองไหล มันน่ากลัวและก็ยากที่นายจะหนีไปจากพื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นจากพวกผู้ใช้หมากรุก เพราะการเดินหมากของพวกเขา คือกลการเดินเพื่อรุกฆาต ขัดขวางไม่ให้คนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามหนีไปได้”
“ฉันเคยเจอคนหนึ่งที่ใช้หมากรุกได้ แต่เขาก็แค่เล่นหมากรุก”
มูนนี่ยักไหล่ ไม่โต้แย้ง
“นี่!...” ซาแมนต้าส่งเสียงให้ทั้งสองหนุ่มรับรู้ถึงตัวตนของเธอ “ตกลงนายไม่รับงานแน่นะคีห์ มีบ้านอยู่ มีอาหารสามมื้อ”
ซาแมนต้ากล้าชวนเฮเซคียาห์อีกหนอย่างน่าเหลือเชื่อ
“แล้วเธอตกลงจะไปไหนยัยหมี เซนต์กิลเจนอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่หรอก” ซาแมนต้าส่ายหน้า “ฉันคิดจะพาพวกเขาไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่จะให้เมเดียนช่วยพาพวกเขาไป ตอนนี้ฉันให้พวกเขาพักที่อีกหมู่บ้านชั่วคราวก่อน แต่ที่นั่นไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่”
“อ้า เมเดียนชวนเราให้กินข้าวกับเขา เราไปกันเลยไหม” เฮเซคียาห์ชวนเปลี่ยนเรื่อง แต่เขามองหน้ามูนนี่แทนที่จะเป็นซาแมนต้า
“ดีนะ ฉันได้อาหารกับขนมที่เขาเอามาจากหมู่บ้านเซนต์กิลเจนในช่วงหลายวันนี้ อร่อยดี”
“จริงๆ คุณควรให้เขาช่วยพากลับไปหาพวกเด็กๆ เลยนะ ผมเองก็อยากกลับออกไปจากที่นี่แล้ว วันนี้ควรจะได้ไปส่งของต่อ ผมมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ตั้งสามอาทิตย์ ดีไม่ดี ภารกิจบางอย่างมีคนหาของไปส่ง ตัดหน้าผมไปเรียบร้อยแล้ว” มูนนี่มองไปที่ซาแมนต้า และแสดงท่าทีเหมือนไม่เห็นว่าเฮเซคียาห์ยืนอยู่ด้วยแล้ว
เฮเซคียาห์รู้สึกจริงๆ ว่าเขากลายเป็นอากาศธาตุเสียเฉยๆ
“เอาน่า เดี๋ยวฉันจ่ายค่าตอบแทนให้นะ ฉันรวย แต่ตอนนี้เรากินข้าวกันก่อนเถอะ” ซาแมนต้าเอ่ยอย่างร่าเริง “เดี๋ยวฉันไปเอากล้องถ่ายรูปที่ฝากไว้ในรถบ้านของเธอออกมาก่อน ถ้าได้รูปตอนกินข้าวกับเมเดียนมา แล้วเอาไปให้พวกเด็กๆ ดู พวกที่เซี้ยวๆ แล้วหาว่าฉันโม้เรื่องมาเจอกับเมเดียน จะได้หยุดหาเรื่องฉันสักที”
“เป็นเด็กหรือไง พวกเขาไม่เชื่อก็ช่างพวกเขาสิ ทำไมต้องถ่ายรูปไปพิสูจน์” เฮเซคียาห์แสร้งโวย หาเรื่องซาแมนต้า
“เรื่องของฉันย่ะ!” ซาแมนต้าส่งเสียงแหลม
เธอเดินอย่างลั้นลา สบายใจไปยังรถบ้าน ส่วนมูนนี่เดินตามไปโดยไม่ชำเลืองสายตามาทางเฮเซคียาห์
สักพักหนึ่งหลังจากเมเดียนเปลี่ยนวีวี่ให้อยู่ในขนาดเล็กและใส่กระเป๋ากางเกงแล้ว ซาแมนต้าเริ่มตะโกนเสียงดังเรียกเมเดียน เธอป้องปาก โวยวายอยู่พักใหญ่ๆ แล้วเธอก็หันมาบอกบรอธให้ช่วยเรียกเมเดียนให้ด้วย
“เธอมีสิทธิอะไรมาใช้มัน ห๊า!” เฮเซคียาห์หงุดหงิด
“ไม่ได้ใช้ ก็แค่บอก เผื่อว่ามันจะเห็นด้วยแล้วช่วยกัน ได้ยินว่ามันฉลาด”
ฟึ้บ!
เมเดียนโผล่มาด้านหน้าเฮเซคียาห์พร้อมรอยยิ้ม
และในชั่วเสี้ยววินาที เฮเซคียาห์ มูนนี่ และซาแมนต้า ถูกย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของเมเดียน หลังป่าดงพงหนามขนาดใหญ่ซึ่งพวกเขาทั้งหมดไม่เคยสามารถฝ่าเข้าไปได้
หลังมื้ออาหาร เมเดียนยังชวนให้ทุกคนค้างคืนที่บ้านของเขาต่อ แต่มูนนี่ยืนยันว่าเขาต้องการออกจากป่าแห่งนี้ให้เร็วที่สุด และเสนอสารพัดสิ่งเพื่อให้เมเดียนยอมรับเป็นการแลกเปลี่ยนกับการพาเขาเทเลพอร์ตไปพร้อมกับซาแมนต้า โดยไม่แลสายตามาทางเฮเซคียาห์แม้แต่น้อย
“เฮ้!” ซาแมนต้าเดินเข้ามาใกล้เฮเซคียาห์ เธอยื่นบางสิ่งที่ดูคล้ายๆ กับก้อนสำลีมาให้กับเขา “รับไว้หน่อยนะ เผื่อในอนาคตเธอเปลี่ยนใจมาช่วยฉันดูแลเด็ก”
“อะไร” เฮเซคียาห์ไม่เคยเห็นสิ่งที่เธอยื่นให้มาก่อน เขาทำสีหน้ารังเกียจใส่ไว้ก่อน
“ไม่รู้จักเหรอ ฉันคิดว่าทุกคนรู้จักมันนะ” ซาแมนต้าหันไปมองมูนนี่ อาจคิดว่าเขาอยากอธิบายให้เฮเซคียาห์ฟัง แต่มูนนี่แกล้งทำเมินไปมองทางกำแพงว่างๆ ทำให้ซาแมนต้าต้องหันกลับมาอธิบายกับเฮเซคียาห์เสียเอง “มันคืออุปกรณ์ติดต่อสื่อสาร พอเธอใส่หูปุ๊บ มันจะติดต่อกับอุปกรณ์ที่เข้าคู่อยู่ ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนในโลก”
“ทำได้ยังไง พวกมัสตินจับตาดูและทำลายดาวเทียมสื่อสารของมนุษย์ถ้าหากตรวจพบ”
“สมาพันธ์โทรศัพท์ไง ผู้ใช้เศวตศาสตรากลุ่มหนึ่ง เธอเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพวกเขาหรือเปล่า พวกเขาผลิตไอ้สิ่งนี้มาขาย”
“เธอรู้อะไรพวกนี้ด้วย ตอนแรกฉันคิดว่าเธอสมองกลวง ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างนอกจากการร้องเพลงและหาเรื่องชาวบ้าน” เฮเซคียาห์เอ่ยสิ่งที่เขาคิดอย่างตรงไปตรงมา
“นายนั่นแหละ สมองกลวง” ซาแมนต้าแสยะปาก จะยิ้มก็คงไม่ใช่ แต่เหมือนต้องการทำหน้าหยึยๆ ใส่เฮเซคียาห์ด้วยความเซ็งมากกว่า
“เธอเก็บไปเถอะ ฉันไม่มีวันติดต่อเธอหรอก” เฮเซคียาห์ไม่อยากยื่นมือไปรับของจากมือของซาแมนต้า
“โอเค ฉันวางไว้นี่นะ” เธอเดินผ่านตัวเขา แล้วไปวางของไว้บนโต๊ะอาหาร
เฮเซคียาห์แสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่จริงๆ ในใจลังเลว่าจะเอาไว้ไหม ในอนาคตเขายังสามารถตามหาตัวมูนนี่ได้ถ้าหากตามตัวซาแมนต้าเจอ
“เราจะไปกันแล้วค่ะเมเดียน ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมาบ้าสองตัวนี้นะ แต่ตัวหนึ่งข้างๆ ฉันนี่ ดูเหมือนเหม็นหน้าอีกตัวมาก” ซาแมนต้าโน้มกายเล็กน้อย ยื่นหน้าเธอไปใกล้มูนนี่ที่ดูตกใจที่อยู่ๆ ซาแมนต้ายื่นหน้ามาใกล้เขาในระยะที่เรียกว่าสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
“ไปกันดีกว่าเนอะ” ซาแมนต้ายิ้มกว้างให้มูนนี่ และหมุนกายมายิ้มให้เมเดียน
ในชั่วพริบตา เฮเซคียาห์เห็นทั้งมูนนี่และเมเดียนหายตัวไป
“แล้วเธอล่ะ แผนของเธอ เธออยากไปไหน ฉันไปส่งเธอได้นะ” เมเดียนมีสีหน้าอ่อนโยน เขาแสดงออกเหมือนเอ็นดูมากกว่าดูถูกเฮเซคียาห์
“ผมไม่มีอะไรให้คุณเป็นการแลกเปลี่ยน” เฮเซคียาห์ประหลาดใจ ตอนแรกนึกว่าตัวเองต้องเดินทางออกไปเอง
“บางครั้ง คนที่เพียบพร้อมอย่างฉันก็ไม่เรียกร้องของตอบแทนหรอก” เมเดียนยิ้ม เดินเข้ามาหยิบก้อนสำลีที่ซาแมนต้าอ้างว่าใช้งานเหมือนกับอุปกรณ์สื่อสารมายื่นให้เฮเซคียาห์ “ฉันตั้งกฎเรื่องของตอบแทนขึ้นมา เพื่อให้มีข้ออ้างปฏิเสธคำขอเวลาที่ฉันไม่อยากรับปาก อีกอย่างหนึ่งการที่เราต้องเหนื่อยก็มีค่าตอบแทน เอเทรัสเคยสอนฉันไว้แบบนั้น เธอบอกว่ามันเป็นปรัชญาความสุขที่ฉันควรใช้”
“ก็ฟังดูดี” เฮเซคียาห์ตัดสินใจยื่นมือไปรับเอาอุปกรณ์สื่อสารมายัดใส่กระเป๋ากางเกง
“คราวนี้บอกฉันมา เธออยากไปที่ไหน ฉันไปส่งเธอได้ทุกที่ ยกเว้นแต่พื้นที่ของชาวมัสติน”
เฮเซคียาห์ถอนหายใจแรงๆ
เขาเงียบเพื่อคิดทบทวนถึงแผนที่โลก แต่ไม่มีชื่อสถานที่พิเศษในใจ
“เฮ้!” เมเดียนส่งเสียงดังขณะที่เฮเซคียาห์กำลังคิดหมกมุ่น ทำเอาเฮเซคียาห์สะดุ้งสุดตัว “หรือจะไม่ไปไหนก็ได้นะ ก็แค่ย้ายจากกระท่อมมาอยู่ในบ้านกับฉันก็ได้”
“ว่าไงนะ...”
เฮเซคียาห์งุนงง ไม่เข้าใจ
“ก็อย่างที่ว่า ย้ายมาอยู่กับฉันในบ้านก็ได้”
“ทำไม...”
“ก็เธอไม่มีที่ไปใช่ไหม ฉันเองก็อยู่คนเดียว ฉันคิดว่าถึงเวลาที่ฉันต้องการเพื่อน” เมเดียนยิ้มสบายๆ แล้วทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่หัวโต๊ะยาวซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขานั่งรับประทานอาหารด้วยกัน “แต่ก็อย่าขอร้องในสิ่งที่ฉันปฏิเสธไปแล้วซ้ำๆ เลยนะ ถ้าคิดจะทำอย่างนั้นล่ะก็ ก็คงต้องขอให้ออกเดินทางไปเถอะ”
“ไม่ได้จริงๆ น่ะเหรอ”
“ไม่” เมเดียนไม่มีท่าทีจะใจอ่อน
“งั้นผมขออยู่ที่นี่ จนกว่าจะมองออกว่าที่ไหนเหมาะกับผม” เฮเซคียาห์ตะครุบโอกาสเอาไว้ก่อน เขาอาจจะเจอหนทางที่จะได้กลับไปยังเมืองหลวงในเขตการปกครองที่หนึ่ง เพราะไม่แน่ว่าลูกๆ หลานๆ ของเมเดียนอาจมาเยี่ยมเมเดียนบ้าง บางทีเขาอาจใช้ประโยชน์จากชาวมัสตินพวกนั้นได้
“บอกไว้ก่อน อยู่ฟรีไม่ได้นะ เธอต้องทำงานให้ฉันด้วย” เมเดียนมีเงื่อนไข
“หมายถึงให้ผมเป็นคนใช้” เฮเซคียาห์กัดริมฝีปากล่าง ไม่ชอบใจ แต่ยังลังเลที่จะปฏิเสธ
“ไม่ขนาดนั้น แค่ถือว่าฉันจ้างเธอ เธอเป็นคนงานคนหนึ่ง”
เฮเซคียาห์พยักหน้า
“เอาก็เอา”