ตอนที่ 24 ความรู้สึกที่ชัดเจน
ตอนที่ 24 ความรู้สึกที่ชัดเจน
...อุรามิตายแล้วอย่างนั้นเหรอ
แม้เหตุการณ์จะสงบลง แต่ภารกิจรวบรวมผนึกดวงดาวทั้งแปดชิ้นก็ยังไม่เสร็จสิ้น ชิ้นแรกซึ่งถูกอุรามิชิงไปก็หายเงียบไร้ซึ่งร่องรอย อีกเจ็ดชิ้นที่เหลือก็ไม่มีวี่แวว
ขณะนั่งอยู่บนหลังของเพกัส ลินจิก็นึกหวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา…
ความทรงจำครั้งล่าสุด เขาจำได้ว่ากำลังขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อจะไปโรงเรียน จากนั้นก็รู้สึกหน้ามืดอย่างกะทันหัน ได้สติอีกครั้งก็พบว่าตนอยู่อีกโลกหนึ่งซึ่งไม่ใช่โลกเดิม ตั้งแต่เกิดมาจนเรียนอยู่ชั้นมัธยมห้า ลินจิก็เพิ่งจะเคยเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้
ชาวบ้านที่นี่ต่างเชื่อกันว่าเขาคือเทพเจ้าผู้สร้างโลก แต่สำหรับลินจิแล้ว กลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กมัธยมธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
โลกที่มีเวทมตร์ ปีศาจ และอีกหลายสิ่งที่เขาไม่รู้จักมาก่อน ไม่ใช่โลกในฝันของเขาเลยสักนิด แถมยังมีผู้ชายหน้าเหม็นที่ต้องเดินทางตามหาผลึกดวงดาวร่วมกันอีก
“เฮ้อ…”
พอลินจิถอนหายใจ เพกัสก็ร้องตอบราวกับจะถามว่า ‘เป็นอะไร’
ระหว่างที่อยู่บนฟ้า ทิวทัศน์เบื้องล่างก็ไหลเอื่อยอย่างสวยงาม ภูเขา ลำธาร ต้นไม้ หมู่บ้าน กระทั่งผ่านหุบเขาไปอีกหลายสิบลูก เขาก็สังเกตเห็นรูปปั้นเสือเป็นจุดเล็ก ๆ บนผืนดิน บริเวณพื้นเป็นหลุมเป็นบ่อราวกับโดนระเบิด
“อ๊ะ…”
ยังไม่ทันได้บอกว่า ‘ช่วยลงไปหน่อยนะ’ เพกัสก็ร้องฮี่พร้อมดิ่งตัวลงพื้นทันที
ลินจิหลับตาปี๋ ก้มตัวลงกอดคอของเพกัสไว้ สายลมโชยพัดเปลวเพลิงบนเกือกม้าพลิ้วเป็นสายไปด้านหลัง ขนไฟของเพกัสแม้จะส่องสว่างแต่ก็เยือกเย็นกว่าที่คิด
เมื่อเกือกเพลิงทั้งสี่สัมผัสลงพื้น ลินจิก็ลืมตา ก่อนจะพยายามทรงตัวบนหลังของเพกัสอย่างไม่ค่อยถนัดนัก จากนั้นก็กระโดดลงพื้น
“อ้า!”
พอกวาดสายตาดูโดยรอบก็พบว่า สถานที่แห่งนี้พังยับเยิน แม้แต่รูปปั้นเสือขาวก็เปื้อนฝุ่นจนหม่นหมอง
ขณะที่เดินพลางสำรวจ ลินจิก็พบร่างหนึ่งนอนแผ่อยู่พื้นซึ่งอยู่ไม่ไกล
ลินจิหยุดชะงักไปพักหนึ่ง
เมื่อสังเกตดี ๆ จึงพบว่าร่างนั้นคือชุน
เห็นแบบนั้นลินจิจึงรีบวิ่งไปหาทันที
“คุณชุน!”
ลินจิวิ่งพลางตะโกนเรียก
กระทั่งภาพปรากฏในระยะใกล้ ดวงตาทั้งสองของลินจิก็สั่นไหวอย่างสับสน เขาไม่แน่ใจว่าชุนยังมีสติดีหรือเปล่า หรือถ้าร้ายแรงไปกว่านั้น…
หัวใจกระตุกแรง คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวอย่างตอบไม่ทัน
ตายแล้วเหรอ
เกิดอะไรขึ้น
เพราะเราเหรอ
ชุนนอนแผ่หลาบนพื้น เสื้อผ้าขาดเผยให้เห็นเนื้อหนังด้านใน หน้าอก หน้าท้อง น่องและหัวไหล่ ทว่าผ้าคลุมหลังสีดำที่รองร่างสูงกลับยังดูใหม่ ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
“คุณชุน!”
สองเข่าทรุดลงสู่พื้น สองมือโอบคนตรงหน้าไว้ ก่อนจะโน้มตัวลงฟังเสียงหัวใจ
หัวใจเต้นเบาเหลือเกิน
ลินจิสะดุ้ง สูดลมหายใจครั้งหนึ่งสั้น ๆ หลังมือข้างหนึ่งพลันอังใต้จมูกเพื่อสัมผัสลมหายใจ
ลมหายใจของชุนก็แผ่วเบาเช่นกัน
“คุณชุน ไม่นะ! อย่าเพิ่งตายนะครับ”
สองมือเขย่าร่างสูง แต่ไม่มีการตอบรับ
“อดทนก่อนนะครับ”
ลินจิหลับตาพยายามตั้งสมาธิใช้ทักษะ ‘ฟื้นฟู’ ทันที
[‘ฟื้นฟู’ เริ่มทำงาน]
ทว่า… ไม่มีสิ่งใดเกินขึ้น พลังของเขาถึงขีดจำกัดแล้ว
“โธ่เว้ย!”
กำปั้นหนึ่งทุบดิน ก่อนที่สองแขนเรียวเล็กจะพยายามยกร่างสูงตรงหน้าขึ้นมา
เพียงไม่กี่วินาที ร่างของชุนก็ร่วงกระแทกกับพื้นอีกครั้ง
“อ๊ะ!”
ลินจิร้องตกใจ เขาไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะยกชุนได้
ขณะที่กำลังจะหันไปเรียกเพกัส เสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังอยู่ไม่ไกล
ใกล้เหลือเกิน
ลินจิไม่สนใจ ดวงตาเริ่มเปียกชื้น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะราวกับถูกบีบรัดจากภายใน
ฝุ่นและใบไม้แห้งปลิวตามกระแสลม
กลิ่นของดอกซากุระโชยมาอ่อน ๆ
“…เจ้า”
เสียงละมุนเยือกเย็นของใครคนหนึ่งดังอยู่เบื้องหน้า ได้ยินเช่นนั้นลินจิจึงเงยหน้าช้า ๆ
หยดน้ำตาข้างขวาไหลลงอาบแก้ม
‘ยู’ คู่หมั้นของชุนซึ่งถูกอุรามิสาปให้กลายเป็นชายปรากฏตัวต่อหน้า เสื้อผ้าเนื้อดีสะบัดพลิ้วแนบกายเผยร่างผอม แม้เค้าหน้าจะติดหวาน แต่ดวงตากลับดูเฉยชา ริมฝีปากได้รูปที่เปล่งเสียงเมื่อครู่ปิดสนิท ราวกับไม่อยากเอ่ยอีกครั้ง
“…”
ลินจิอยากร้องขอความช่วยเหลือ ทว่ากลับเปล่งเสียงไม่ออก ได้ยินเพียงเสียงสูดลมหายใจเปียก ๆ ของตัวเองเท่านั้น
ตอนนั้นยูก็ก้าวมาอย่างช้า ๆ ก่อนจะคุกเข่านั่งลงอีกฝากหนึ่ง
“…”
ลินจิมองทั้งสองที่กำลังอยู่ใกล้กัน
“เจ้าถอยไปก่อน…ข้าจะใช้เวท”
ได้ยินเช่นนั้นลินจิก็กลั้นหายใจ ปลายนิ้วปาดน้ำตาที่แก้ม เขาพอจะเข้าใจความหมายที่ยูพูด
แววตาพึ่งพิงจับจ้องไปยังยู แม้จะกลัวว่าอีกฝั่งอาจกลับมาอยู่เคียงข้างชุน แล้วตนอาจถูกเมิน แต่ก็กลัวที่ชุนจะเป็นอะไรไปมากกว่า
“ครับ”
ลินจิขานรับช้าไป จากนั้นก็ดันพื้นเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นแล้วเดินถอยไปหลายก้าว
จังหวะนั้นเพกัสก็เดินเข้ามา ลินจิไม่ทันระวัง แผ่นหลังของเขาจึงชนลำตัวของเพกัสเข้าให้
แม้เขาจะตกใจ แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบสนอง สายตายังคงจับจ้องไปยังยูและชุนที่อยู่ตรงหน้า
ตอนนั้นยูก็ใช้สองมือโอบชุนขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน ก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ แล้วบริกรรมคาถาเวท
“จิตวิญญาณแห่งภูต ผู้กุมดวงชะตาของสรรพสิ่ง ได้โปรดมอบพลังให้แก่ข้า…”
ริมฝีปากของยูขยับเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนนุ่มและแผ่วเบา
ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แม้จะดูเยือกเย็น แต่ก็สัมผัสถึงความอบอุ่น
“…รักษา!”
สิ้นสุดเสียงของยู กลีบดอกซากุระก็โปรยปรายลงจากฟากฟ้า ละอองแสงระยิบระยับส่องไสว ปรากฏวงแสงรูปดอกไม้สีชมพูล้อมร่างของทั้งสอง
จากนั้นใบหน้าของยูอยู่ค่อย ๆ โน้มลงไป สองแขนที่โอบอุ้มยกร่างของชุนขึ้นมาสูงจากพื้นเล็กน้อย
เมื่ออีกมือขยับเคลื่อนไปหลังศีรษะของชุนแล้วยกขึ้นมา สองริมฝีปากก็ค่อย ๆ บรรจบกันอย่างแผ่วเบา
แสงสีชมพูอบอุ่นสาดส่องไปทั่วบริเวณ
ลินจิเบิกตากว้าง ก่อนจะหรี่ลง แล้วก้มหน้าช้า ๆ
แม้จะเจ็บปวด แต่ก็ดีใจ
เขาหันหลังให้พร้อมกับดวงตาที่สั่นไหวราวกับผิวน้ำ จากนั้นก็เอ่ยเบา ๆ กับม้าอสูรว่า…
“…ไปกันเถอะ เพกัส”
เพกัสร้องพร้อมก้มหัวคลอเคลียไหล่ของลินจิราวกับจะปลอบ
ริมฝีปากของเขาจึงยกขึ้นอย่างฝืน ๆ ก่อนจะบิดเบี้ยว ของเหลวล้นจากดวงตาหยดเผาะลงมาสู่พื้น จากนั้นแขนหนึ่งยกขึ้นปาดแล้วเดินจากไป
ลินจิเดินไปนั่งหลบอยู่หลังรูปปั้นเสือด้วยร่างอันสั่นสะท้านจากภายใน อารมณ์อ่อนไหวจากภาพที่เห็นทำร้ายจิตใจจนย่อยยับ ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าทนดูต่อไป
แม้จะฝืนยิ้ม แต่น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุด
ขณะนั้นเพกัสซึ่งเฝ้ามองลินจิอยู่ใกล้ ๆ ก็ลงไปนั่งอยู่ข้าง ๆ ราวกับรู้ว่าคนที่มันนับถือเป็นนายกำลังเศร้า
“ขอบใจนะ เพกัส”
ฝ่ามือหนึ่งลูบไปที่ตัวเพกัสเบา ๆ
ถึงลินจิจะอยากกลับไปโลกเดิม ซึ่งเป็นที่ที่เขาควรอยู่ แต่ความหวังก็ริบหรี่
และถึงจะกลับไปได้ก็ตาม เขาก็คิดว่า ความรู้สึกที่มีต่อชุนก็คงจะสำคัญสำหรับเขาตลอดไปเช่นกัน
…ให้คุณชุนอยู่กับคนรักก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ
แล้วทำไมถึงเปลี่ยนเป็นดีใจไม่ได้สักที
ความรู้สึกไม่ใช่สิ่งโป้ปด ความรู้สึกที่ตนมีต่อชุนไม่ควรถลำลึกไปไกลตั้งแต่แรก แม้อีกฝ่ายจะขี้แกล้ง จนบางครั้งตนรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็รู้สึกราวกับขาดคนคนนี้ไม่ได้
แต่ถ้าทำแบบนั้น ก็เท่ากับตนเด็ดดอกไม้ที่ยูปลูกเลี้ยงดูแลมา หากอีกฝ่ายรีบเด็ดดอกไม้นั้นแล้วบอกว่า ‘อย่ามายุ่งนะ’ เขาก็คงจะตัดใจง่ายกว่านี้
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ควรเอนเอียงไปสู่ความรักตั้งแต่แรกแล้ว
เพราะรักเลยเจ็บปวดหรือ หากตัดใจยอมเป็นฝ่ายเดินออกมาเพื่อมองทั้งสองมีความสุข เราจะยินดีได้หรือความรู้สึกเหมือนการทดลองแบบนั้นจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นจริงหรือ
แล้วถ้าจริงแล้วทำไมถึงไม่รู้สึกดีใจด้วยเลยสักนิด
ยิ่งคิดก็ยิ่งติดอยู่ในเขาวงกต แต่แล้วจู่ ๆ เสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังเข้ามาใกล้
“…เทพเจ้าสร้างโลกสินะ ข้าพอได้ยินข่าวลือมาบ้างแล้วล่ะ”
เสียงยูดังอยู่ข้าง ๆ นี่เอง
ลินจิรีบดึงเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา แล้วลุกขึ้นแล้วหันไปตามเสียงที่ได้ยิน
“คุณยู…”
ลินจิมองผ่านใบหน้าของยูไปยังอีกใบหน้าหนึ่งซึ่งเกยคางอยู่ด้านหลัง
ภาพชุนหลับปุ๋ยอย่างสบายอยู่บนไหล่ของคู่หมั้นที่โดนสาปเป็นชายช่างอบอุ่น
ก้อนเมฆเคลื่อนตัวออกจากดวงอาทิตย์ส่องแสงมายังใบหน้า ลินจิจึงหรี่ตา
แม้ภาพนั้นจะค่อย ๆ พร่าเลือน แต่เมื่อยูก้าวเข้ามา ลินจิก็เห็นทั้งสองอย่างชัดเจน
ยูปรายตาไปยังม้าอสูร ก่อนถาม
“นี่คือ…”
ว่าแล้วเขาก็ค่อย ๆ วางร่างของชุนพิงไว้ข้างรูปปั้นเสือขาวอย่างอ่อนโยน
ลินจิคิดว่าไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยเรื่องนี้ จึงเอ่ยทันที
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะครับ แล้วคุณชุน…”
สายตาเป็นห่วงจับจ้องไปยังชุนซึ่งไร้สติ
“ใช้เวทรักษาเรียบร้อยแล้วล่ะ อีกสักพักคงจะฟื้น”
ยูตอบเสียงเรียบ ใบหน้านิ่งเฉย ราวกับไม่กังวลต่อสิ่งใด
ลินจิมีเรื่องอยากจะถามยู หากว่าชุนได้สติขึ้นมากลางคัน ตนก็ไม่อยากให้ได้ยิน จึงตัดสินใจเอ่ยปาก
“ขอคุยด้วยได้ไหมครับ!”
เพราะข่มอารมณ์มากเกินไปจนน้ำเสียงฟังดูเหมือนโกรธ บรรยากาศจึงตกอยู่ในความเงียบงันพักหนึ่ง
เสียงใบไม้ปลิวบนพื้นได้ยินอย่างชัดเจน
“…ได้สิ”
ยูยืนนิ่ง ทำลายความเงียบนั้นไป
ตอนนั้นลินจิก็คิดว่า หากทิ้งชุนไว้คนเดียวอาจเป็นอันตราย จึงหันไปสัมผัสบริเวณแก้มของเพกัสเบา ๆ
“เพกัส ฝากหน่อยนะ”
พอลินจิบอกเพกัสก็ร้องตอบราวกับเข้าใจ
‘สุสานเปี๊ยกโกะ’ ตกอยู่ในความเงียบงัน ตรงทางเข้ามีต้นไม้แห้งเอนล้มอยู่ ระหว่างเดินห่างออกไปจากจุดที่ชุนนอนพัก ยูก็เป็นฝ่ายเริ่มพูด
“ข้าสัมผัสได้ถึงไอพิษรุนแรงจึงมุ่งหน้ามา แต่คงมาช้าไปสินะ”
ลินจิเงยมองยูซึ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้า พลางก้าวขาอยู่ข้าง ๆ ยู
เมื่อถึงต้นไม้ใหญ่ซึ่งใกล้ทางเข้าสุสาน พวกเขาก็หยุดเดิน ลินจิมองกิ่งแห้งที่กำลังปลิวไถลพื้นสีเทาช้า ๆ ก่อนจะเงยหน้าพูดเข้าเรื่อง
“อุรามิตายแล้วนะครับ คุณยูไม่กลับมาอยู่กับคุณชุนเหรอ”
แม้จะฝืนใจ แต่มันคงดีที่สุดแล้ว
ถ้ามีอย่างอื่นที่เขาสามารถทำได้ดีกว่านี้ ก็คงจะทำ…
นี่อาจจะคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายแล้วจริง ๆ
ยูหันมายกมุมปากร้อง “หึ” อย่างเยือกเย็น
“อุรามิมันยังไม่ตายหรอก ตราบใดที่คำสาปยังคงอยู่ ตราบใดที่ร่างนี้ยังเป็นชาย ก็แปลว่าอุรามิยังไม่ตาย”
“…”
ดวงตาของลินจิเบิกกว้าง แววตาสั่นไหว อยากจะพูดบางอย่างออกไป แต่ก็คิดไม่ทัน
เรื่องของยูกับชุนและเรื่องของอุรามิชนกันในสมอง
พอยูขยับตัวเดินเข้ามาใกล้ ยูกาตะที่ทำจากผ้าเนื้อดีปักลวดลายสวยงามสะบัดพลิ้ว
“คำสาปของอุรามินั้น เป็นเวทที่ก่อกำเนิดมาจากจิตอันชั่วร้าย ความอิจฉาริษยา และอาฆาตแค้น ดังนั้นวิธีปลดคำสาปจึงมีอยู่วิธีเดียว คือกำจัดจิตชั่วร้ายนั้น”
ก่อนที่จะจับใจความสำคัญได้ว่า ‘อุรามิยังไม่ตาย’ ฝ่ามือของยูก็สัมผัสบนไหล่ข้างหนึ่งของลินจิ
“เจ้าเป็นเทพเจ้าผู้สร้างโลกไม่ใช่เหรอ”
“ครับ”
ลินจิพยักหน้าช้า ๆ สองสายตาประสานกัน
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ฝากเจ้าด้วย…”
ยูตบไหล่ลินจิสองครั้งดังปุ ๆ ก่อนจะเอามือเอาลง
“เอ๊ะ!”
ลินจิกะพริบตาหนึ่งครั้งอย่างไม่เข้าใจ
“อุรามิมันต้องการผลึกดวงดาวและตัวของข้า วินาทีที่มันรวบรวมผลึกดวงดาวได้ครบ ข้าจะชิงร่ายคาถาทำลายจิตชั่วร้ายของมันให้สูญสิ้น”
ว่าแล้วยูก็สอดมือซ้ายเข้าไปในชุดยูกาตะ ก่อนจะนำบางอย่างออกมา
หินรูปดาวสีม่วงส่องสว่างไสวกลางฝ่ามือ
“นี่มัน…”
ลินจิพึมพำ
แสงสีม่วงเปล่งแสงออกมาสวยงาม ทอประกายในดวงตาของลินจิ
“ผลึกดวงดาวไงล่ะ”
ว่าแล้วยูก็ค่อย ๆ กำผลึกดวงดาวที่กำลังเปล่งแสงช้า ๆ ก่อนที่แสงนั้นจะวูบดับลง จากนั้นก็เก็บกลับเข้าในเสื้อ
ใบหน้าไร้อารมณ์ของยูเงยขึ้นช้า ๆ ก้อนเมฆบนฟ้ากำลังบดบังแสงอาทิตย์ กลิ่นดอกซากุระอ่อน ๆ โชยมากับสายลม จากนั้นก็พึมพำเหมือนพูดคนเดียว
“เมื่ออุรามิรวบรวมผลึกดวงดาวได้ครบเจ็ดชิ้น ข้าจะปรากฏตัวแล้วมอบผลึกดวงดาวชิ้นนี้ให้กับมันด้วยตัวข้าเอง วินาทีนั้นข้าจะใช้พลังของผลึกดวงดาวทั้งแปดชิ้นชิงกำจัดมัน”
ลินจิหายใจเข้าสั้น ๆ ครั้งหนึ่งอย่างคาดไม่ถึงกับแผนการ
แต่แบบนั้นก็เท่ากับว่า…
“แบบนั้น…มันอันตรายเกินไปนะครับ”
“หืม”
ยูหันมามองอย่างสงสัย ก่อนจะยกยิ้มให้อย่างเฉยชา
“อะไรกัน มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ…”
“…”
ระหว่างที่สองสายตาประสานกัน สายลมก็พัดเสื้อและเรือนผมของทั้งสองปลิวไหว
...หรือว่าคุณยูจะรู้เรื่องที่เราชอบคุณชุนงั้นเหรอ
…และคงคิดว่า เราอยากให้เขาตาย ๆ ไปสินะ
“ถ้าข้าตายไปมันก็ดีไม่ใช่หรือ จะได้สมใจเจ้าไง”
…ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย
ลินจิส่ายหน้าช้า ๆ คิ้วทั้งสองลู่ตกลงมาอย่างน่าเห็นใจ
“อย่าแสร้งทำเป็นดีหน่อยเลย ทั้งมนุษย์ เทพ หรือปีศาจ ล้วนแต่มีจิตใจริษยาด้วยกันทั้งนั้น หรือว่าเจ้าจะปฏิเสธ”
…เรื่องนั้นก็จริง แต่ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่เด็ดขาด
ลินจิกัดริมฝีปากล่าง กำสองหมัดแน่นข้างลำตัว
“มันก็จริง! ผมอาจจะอิจฉาคุณยูอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ ที่จะต้องเจอเรื่องเจ็บปวดบ้าง เสียใจบ้าง หรือคิดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง”
ว่าแล้ว ลินจิก็ก้มหน้าลง
“แต่แล้วไงล่ะ! ผมไม่ได้อยากให้คุณยูไปตายสักหน่อย ชีวิต…มัน…มีค่านะครับ”
เสียงพูดเริ่มติดขัด
“ถึงแม้บางครั้งมันจะมีเรื่องให้เจ็บปวดก็เถอะ”
สองไหล่สั่นสะท้าน
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาลินจิก็แผดเสียงพร้อมน้ำตา…
“ไม่คิดบ้างเหรอ! ถ้าคุณยูเป็นอะไรไปแล้วคนข้างหลังจะเสียใจแค่ไหน อย่างน้อยก็มีคุณชุนคนนึงที่ต้องเสียใจ ไหนจะน้องสาวของคุณยูอีก”
ใบหน้าไร้อารมณ์ของยูพลันเบิกตากว้าง แววตาสั่นไหวอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะสงบนิ่งดังเดิม
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเสียเวลาให้กับผู้ชายหรอกนะ ช่างเป็นเทพเจ้าที่น่าสมเพชซะจริง ๆ”
กลิ่นดอกซากุระโชยมาอีกครั้ง
กลีบดอกไม้สีชมพูมากมายโปรยลงมาบดบังร่างของยู
สายลมม้วนหอบกลีบดอกไม้ขึ้นฟ้าเป็นเกรียว
พริบตานั้นร่างของยูก็หายไป…
“คุณ…ยู”
ลินจิพึมพำ เงยหน้ามองตามพายุดอกไม้ปลิวไปจนลับสายตา
กลีบดอกซากุระกลีบหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมาช้า ๆ ราวกับกำลังเริงระบำเล่นสายลม