DC บทที่ 24: รักแรก
หลังจากการต่อสู้เป็นตายระหว่างซูหยางกับไต้เจิงซึ่งจบลงในพริบตาที่เริ่ม ชื่อของซูหยางกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ประจักษ์ถึงพลังอำนาจของซูหยางพากันกระจายข่าวราวไฟไหม้ฟาง
พวกเขาให้ภาพลักษณ์ซูหยางเหมือนปีศาจจากนรกที่สามารถฆ่าโดยไม่กระพริบตา พวกเขายังบรรยายฉากที่ไต้เจิงถูกหั่นเป็นสองซีกอย่างน่าหวาดหวั่นเป็นเหตุให้หลายคนที่ได้ยินแทบอาเจียนด้วยความขยะแขยงและตกใจกลัว
แต่ที่สร้างความหวาดกลัวกับบรรดาศิษย์นิกายมากที่สุดไม่ใช่ความโหดร้ายในการฆ่าอย่างง่ายดายของซูหยาง แต่เป็นถ้อยคำเผ็ดร้อนที่สามารถฆ่าคนหัวใจอ่อนแอได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะถ้อยคำสุดท้ายที่ซูหยางบอกต่อไต้เจิงก่อนฆ่า พวกเขารู้สึกเหมือนว่าไม่เพียงซูหยางจะแย่งชิงเฉพาะไต้เจิงแต่ทุกคนที่กล้าคิดหาเรื่องเขา
“หากเจ้ากล้าเคาะประตูหาเรื่องข้า ขัาจักแย่งชิงหญิงเจ้ามาเป็นสินไหมหลังเจ้าตาย”
คำพูดนี้เป็นได้ว่าจะหลอกหลอนพวกเขาแม้จะตายไปแล้ว เสียงเย็นเยียบของซูหยางที่ดังก้องในสำนึกของผู้คนที่ประจักษ์การต่อสู้เป็นตาย เป็นเหตุให้พวกเขาสะท้านด้วยความหวาดกลัวแม้กระทั่งในความฝัน
อย่างรวดเร็ว ชื่อของซูหยางกลายเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวของเหล่าศิษย์นอก ส่วนผู้ที่เคยไปล่วงเกินซูหยางพร้อมกับไต้เจิง พวกเขาล้วนปิดขังตนเองในบ้านไม่กล้าที่จะออก ด้วยกลัวว่าซูหยางจะหาเรื่องแก้แค้น
—
—
—
ภายในหอไม้รับอรุณกลุ่มผู้อาวุโสนิกายประชุมกันรอบโต๊ะปรึกษาเรื่องศึกตัดสินเป็นตายระหว่างซูหยางและไต้เจิงด้วยอารมณ์เคร่งเครียด
เมื่อผู้อาวุโสโจวรื้อฟื้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างศึกตัดสินเป็นตายเสร็จแล้ว บรรดาผู้อาวุโสนิกายล้วนแสดงสีหน้าตกใจไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน
“สำนึกกระบี่ ท่านแน่ใจขนาดนั้นเชียวรึ ผู้อาวุโสโจว”
“ข้ารู้ว่าสิ่งนี้เหมือนข้ากำลังเล่าเรื่องตลกร้าย แต่ข้าสาบานว่าข้าจริงจังกับเรื่องนี้ แม้ข้าเองก็ยังสงสัยในตอนแรก ใครมิสงสัยสายตาของตนเองเมื่อเห็นเด็กอายุ 16 ใช้สำนึกกระบี่ ถ้าข้ามิเห็นด้วยตาตนเอง ข้าก็คงมิเชื่อแม้จักถูกทรมานจนตาย” ผู้อาวุโสโจวแสดงให้เห็นว่าเขาจริงจัง
“จอมกระบี่อายุ 16 ปี… ช่างน่าหวาดหวั่นนักถ้านี่เป็นความจริง” แม้ว่าจะชัดเจนกับถ้อยคำของผู้อาวุโสโจว ทุกคนก็ยังสงสัยถึงความสามารถของซูหยางในการใช้สำนึกกระบี่ ด้วยมันเป็นสิ่งเกินสามัญสำนึกสำหรับพวกเขา
เป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะเชื่อแม้ว่าเรื่องนี้จะออกมาจากปากของจ้าวแม่นิกาย โดยเฉพาะยิ่งมีจอมดาบไม่ถึงสิบคนในปัจจุบันที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งหมดล้วนลึกล้ำและมีชื่อเลื่องลือ ด้วยประสบการณ์สั่งสมมามากกว่า 100 ปี
ผู้อาวุโสโจวรู้ว่าเรื่องนี้ยากที่จะเชื่อและเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลกับความสงสัยของอีกฝ่าย
“ช่างมันเถอะ ข้ายอมแพ้ มันมิมีประโยชน์ใดแม้พวกท่านจักเชื่อหรือไม่ก็ตามตอนนี้ ถ้าพวกท่านเห็นด้วยตนเอง ท่านย่อมซึ้งถึงความเป็นจริงเอง” ผู้อาวุโสโจวถอนใจขณะออกไปจากห้อง ทิ้งผู้อาวุโสอื่นให้อยู่กับความงุนงง
—
—
—
ในเวลานั้นซูหยางตรงกลับที่พักเพื่อชำระล้างเลือดที่แห้งติดร่าง ท่าทางสงบเฉยของเขาเหมือนกับว่าไม่เคยเกิดการต่อสู้เป็นตายมาก่อน
หลังจากนั้นเขานอนลงบนเตียงและปิดเปลือกตา ฉากที่เขาแรกโอบแม่ทัพสาวสวยไว้ในอ้อมอกพลันปรากฏขึ้นในใจ
รู้สึกถึงเรือนร่างเรียบเนียนแฝงแรงสะท้อน อบอุ่น กลิ่นอายสมรภูมิคลอเคลียเรือนผม ทุกสิ่งล้วนแจ่มชัดในหทัยของซูหยาง รู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน
เขาอยู่ในท่านั้นนานหลายชั่วโมง คล้ายหลับไหล แต่จริงแล้วเขาตื่นอย่างสมบูรณ์ คิดถึงเวลาล้ำค่าที่เขาใช้กับรักแรกในชีวิตก่อน ผู้เป็นเหตุให้เขากลายเป็นผู้ฝึกปราณ
อนิจจาแม้ว่าจะช่วงชิงดวงใจของแม่ทัพหญิงได้ แต่เวลาที่เขาก้าวไปถึงจุดนั้น เธอพ้นวัยที่จะเติบโตต่อไปได้และพบกับขีดจำกัดของผู้ฝึกปราณในฐานะปุถุชน แต่ซูหยางกลับเติบโตแข็งแกร่งขึ้น ยิ่งกว่านั้นกระทั่งสลัดพ้นจากปุถุชนสู่วิถีเซียนที่มีอายุขัยยืนยาวเนิ่นนาน อันเป็นความปรารถนาของทุกผู้คนตั้งแต่โบราณนานมา
และเพราะว่ายิ่งก้าวหน้ายิ่งเพิ่มพูนพลังปราณ ซูหยางดูไม่ต่างไปจากครั้งที่เขาพบกับแม่ทัพหญิง แม้กระทั่งหลายปีต่อจากนั้นที่แม่ทัพหญิงกลายเป็นหญิงชราและสิ้นชีพลงตามวิสัย
“ข้าหลงรักเจ้าตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับตอนนี้หรืออาจจักน้อยกว่านี้แต่เจ้ากลับเป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่อถึงตอนที่ข้าแกร่งพอเคียงข้างเจ้าเจ้าก็อยู่มาถึง 50 ปี แต่เจ้ายังสวยเฉกวันที่เราพบกันครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน บางทีเจ้าอาจจักสวยกว่าเดิมด้วยซ้ำ ข้าเพียงเสียใจที่ยุคนั้นข้าไร้พลัง มิอาจจักเสริมพลังการฝึกปรือของเจ้า ขณะที่ข้าโง่เขลามัวแต่แข็งแกร่งไปเพียงลำพัง...”
ซูหยางรำลึกถึงเวลาที่เขายืนอยู่หน้าหลุมศพของเธอด้วยสภาพของชายหนุ่มที่ไม่ต่างไปจากวันที่เขาเริ่มจับมือเธอ
“หลังจากเจ้าตายเป็นช่วงเวลาที่ข้ารำลึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับเซียน ข้ากลายเป็นคนขลาด ขลาดกลัวว่าจักหลงรักกับปุถุชนคนอื่นและลงท้ายด้วยความเสียใจเฉกที่ประสบกับเจ้า เป็นเหตุให้ข้าออกจากโลกปุถุชนและกลับมาอีกครั้งช่วงสั้นๆ หลังจากผ่านไปหลายพันปี...”
ซูหยางพลันลืมตามองเพดานยิ้มอย่างขมขื่นเจ็บปวดและเหนื่อยหน่าย “ข้ากลับมาอยู่ในโลกปุถุชนอีกครั้ง และก็มีผู้อาวุโสนิกายที่ดื้อรั้นถือดีเฉกเช่นเจ้า…นี่คือชะตาหรือว่าเรื่องตลกที่สวรรค์กำหนดไว้ให้ข้าป่วนใจ”
เขาลุกจากเตียงและเดินไปยังหน้าต่าง เขาสังเกตเห็นสาวน้อยตรงมาที่หน้าประตู เด็กสาวสวมชุดแตกต่างจากขุดที่บรรดาศิษย์นอกสวม แทนที่จะเป็นชุดขาวล้วนของศิษย์นอก ชุดของเด็กสาวเป็นสีเขียวให้บรรยากาศที่แตกต่างดูลึกล้ำและสูงศักดิ์
“ศิษย์ใน” นี่คือครั้งแรกที่ซูหยางเห็นศิษย์ใน และเพียงมองแวบเดียว เขาสามารถบอกได้ถึงความแตกต่างอย่างมากของศิษย์นอกและศิษย์ใน
“น่าสนใจนัก...” เขาพึมพัมกับตนเองขณะกำลังเตรียมตัวไปทักทายเธอที่ประตู