บทที่23: หานตง
บทที่23: หานตง
คฤหาสน์สกุลงักแบ่งเป็นเป็นหกจวน สามสิบหกห้อง
หนึ่ง จวนกลางมีโถงรับแขกขนาดใหญ่ไว้ต้อนรับผู้มาเยือน
สอง จวนทิศเหนือเป็นที่พักของท่านย่าฝู งักฮัวและเสี่ยวจือที่ต้องค่อยอยู่รับใช้ใกล้ชิด นับเป็นจุดฮวงจุ้ยมังกรของคฤหาสน์ ประหนึ่งเป็นที่อยู่ของผู้นำครอบครัว
สาม จวนตะวันออก ที่พักของงักหลิวกับงักเจียง สถานที่รับแสงแรกของวัน
สี่ จวนตะวันตกคือที่รับรองแขก อยู่ใกล้กับป่าต้องห้าม เป็นจุดเชื่อมโยงและที่ที่แสงสุดท้ายของวันดับสิ้น
ห้า จวนทิศใต้แยกห่างออกมามีความเป็นส่วนตัวสูงจึงเป็นที่พักของงักโยวที่สติไม่สมประกอบดี
แต่ละจวนต่างมีบ่าวอาศัยอยู่ตามสัดส่วนยกเว้น สถานที่สุดท้ายซึ่งอาจไม่นับได้ว่าเป็นจวน ตัวสถานที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นอาคารสูงคล้ายหอคอย มันถูกเรียกอีกชื่อว่าคุศิลา ใครในคฤหาสน์ของทำผิดจะถูกจองจำอยู่ที่นี่ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
หานตงแน่ใจว่าไป่ยู่ถูกขังอยู่ในนั้น
อากาศแปลงเปลี่ยนรวดเร็วราวกับอาเพศจากช่วงสายแจ่มใสมีแดดแรงบัดนี้กลับหม่นหมองท้องฟ้าเป็นสีดำมืดเพราะเมฆครึ้ม หานตงเดินเรียบกำแพงระวังหลัง มองรอบด้านให้มั่นใจว่าไร้ผู้คนในระแวดนั้นจึงลอบเข้าไปในหอคอยดังกล่าว
ภาพในอากาศอับชื้นค่อนข้างมืดทึบเพราะไม่มีช่องหน้าต่าง มีเพียงรูที่ถูกเจาะไว้รอบๆ ตามกำแพงที่อยู่ด้านบนเพื่อระบายอากาศ แสงแดดไม่อาจส่องเข้ามาได้มาก ยิ่งในเวลาที่ฝนจะตกเช่นนี้ยิ่งไม่ต้องคาดหวัง ความสว่างที่คอยนำทางได้มาจากคบไฟที่ถูกจุดวางไว้ตรงประตูทางเข้าออก
หานตงไม่ได้หยิบมันเพื่อเป็นแสงนำทางในการค้นหาไป่ยู่ เพราะทางเดินมีเพียงเส้นเดียว จึงไม่ยากในการเดิน แต่ก็ไม่ง่ายในการหลบซ่อน หากมีคนเฝ้าระวังอยู่ด้านใน การคิดเผื่อไม่หี้อกฝ่ายรู้ตัวน่าจะเป็นการดีมากกว่า
เดิมหานตงเป็นคนซานซี ที่บ้านค้าขาย ฐานะปานกลาง ตัวเขาเป็นบุตรชายคนที่สามของครอบครัวจึงไม่ได้ถูกบีบบังคับหรือคาดหวังให้สืบทอดกิจการ หานตงที่ถูกเลี้ยงดูอย่างอิสระจึงชอบเที่ยวเล่น ฝึกวรยุทธ์มากกว่าใช้สมองคิดคำนวณ เขามีความสามารถพอตัว โดยเฉพาะวิชาตัวเบาถึงขนาดก่อนที่จะแขนขาด ความสามารถในด้านนี้แทบจะเทียบเท่าลูกพี่ที่ตนนับถืออย่างโจวหม่าจง
ด้วยความที่เป็นวรยุทธ์ ไม่ชอบคิดคำนวณและรักความยุติธรรม ทำให้เมื่อเติบใหญ่ขึ้นหานตงตัดสินใจที่จะเป็นเจ้าหน้าที่มือปราบ ที่บ้านไม่คัดค้านเขาจึงไม่พบอุปสรรคใดในการใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ
ทว่าเมื่อได้ทำงานอย่างที่หวังจนสมใจ หานตงกลับพบว่ามันไม่ได้เหมือนอย่างที่ตัวเองคิด การเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเฉาเกา ไม่สวยงามเช่นที่หวัง เขาไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องพิทักษ์ประชาชนอย่างต้องการ กลับกันเสียด้วยซ้ำเมื่อตัวเองต้องรับคำสั่งให้ไปเก็บค่าคุ้มครองรีดไถชาวบ้านประหนึ่งคล้ายตัวเองเป็นโจร
ก่อนที่จะสิ้นหวังกับงานที่ใฝ่ฝันจนถอดใจเลิกทำและจากลากลับเมืองเกิด โจวหม่าจงก็ได้ถูกย้ายมาประจำการที่อำเภอเพื่อรับตำแหน่งรองหัวหน้ามือปราบ นิสัยของเขาแตกต่างและการเป็นแบบอย่างจูงใจให้หานตงไม่ตัดใจในการพิทักษ์ประชาชน ซึ่งสักวันเราคงจะได้กล่าวถึงเรื่องนี้ให้กระจ่างแจ้งว่าเหตุการณ์ ณ ขณะนั้นเป็นเช่นไร
แต่ ณ เวลานี้เรื่องราวในครั้งนั้นทำให้หานตงนับถือลูกพี่ของเขาอย่างสุดใจ หากต้องลุยน้ำก็ยินยอม หรือต้องฝ่ากองไฟเขาก็ยินดี ไม่คิดรักชีวิต แม้จะต้องตาย น่าเสียดายที่การต่อสู้กับเหล่าผีร้ายในคดีผีไร้ร่างทำให้ต้องสูญเสียแขนไป
เขากลายเป็นคนไร้ประโยชน์...
ถึงอย่างนั้นโจวหม่าจงก็ไม่เคยหมดความหวังในตัวเขา หานตงมีโอกาสที่จะได้ฟื้นวรยุทธ์ใหม่อีกครั้ง หากไม่เกิดเรื่องกับผู้มีพระคุณอีกคนที่ช่วยรักษาชีวิตจากอาการบาดเจ็บที่สูญเสียแขนไป ฉะนั้นนี่จึงเป็นภารกิจที่เขายิ่งยินดีจะทำ เพื่อช่วยไป่ยู่ออกมา
กำแพงหินรอบด้านส่งไอเย็นมากกว่าเดิมจนสัมผัสได้ หานตงเงี่ยหูฟังจนได้ยินเสียงจึงรู้ว่าตอนนี้ฝนตกแล้ว เสียงใครคนหนึ่งขยับตัวบิดขี้เกียจและหาวจนเสียงดัง ทำให้หานตงชะงักฝีเท้าแล้วหยุดยืนอยู่นิ่ง
จริงอย่างคาดมีคนเฝ้าอยู่ตามที่คิดไว้ ไม่นึกว่างักหลิวจะรอบคอบหรือจะเรียกให้ถูกคือหวาดระแวงขนาดนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้เกิดความสามารถของหานตงที่แม้จะเสียแขนไปในขนาดนี้
ชายหนุ่มเตะหินที่อยู่บริเวณนั้นจนเกิดเสียงดังขึ้น
“ใครน่ะ!?” บ่าวที่เฝ้ายามร้องทัก
หานตงถีบกำแพงสลับไปมาอย่างพลิ้วไหวขึ้นไปเกาะขอบยึดตัวอยู่ที่ด้านบน ความมืดภายในหอคอยกลับช่วยใหการพลางตัวยิ่งสมบูรณ์มากขึ้น
เมื่อไม่มีเสียงตอบบ่าวที่เฝ้ายามจึงเดินออกมาดู เขาส่องคบไฟในมือไปทั่วบริเวณแต่ไม่เห็นใคร โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าอีกฝ่ายอยู่เหนือหัวไปไม่กี่วา
“สงสัยจะหูฝาด เมื่อไหร่อาไห่จะมาเปลี่ยนเวรสักที หิวจะแย่แล้ว คุณชายใหญ่ก็เหลือเกิน คุกศิลาแข็งแกร่งขนาดนี้ใครมันจะแหกหนีออกไปได้ ระแวงไม่เข้าเรื่องจริงๆ”
ระหว่างบ่นและเดินกลับอย่างไม่ระวัง หานตงกระโดดลงมาจากที่ซ่อนอย่างแผ่วพลิ้วประชิดด้านหลังของอีกฝ่ายจนไม่รู้ตัว ก่อนที่จะสลบไปอย่างง่ายดายเพราะการสกัดจุดให้หลับที่ลำคอ
หานตงประคองร่างบ่าวที่ไม่ได้สติให้ไปนอนฟุบที่โต๊ะ ก่อนจะหยิบกุญแจเพื่อเปิดประตูกั้นชั้นแรกเข้าไปด้านใน
หอคอยเป็นอาคารสูง หานตงไม่แน่ใจว่ามันมีกี่ชั้น หวังในใจว่าไป่ยู่จะอยู่ที่ชั้นล่างนี่ ไม่งั้นคงยุ่งยากพอสมควร
“ท่านไป่ยู่ ท่านไป่ยู่ อยู่ที่นี่ไหม” เขาเรียกเสียงเบาปานกระซิบเพราะเกรงว่าจะทำให้คนเฝ้ายามตื่น
........................................
ไป่ยู่นั่งพิงกำแพงท่าทางเหนื่อยล้า ส่วนหนึ่งเพราะถูกงักหลิวทำร้าย อีกส่วนเพราะร่างกายยังไม่ได้กินอะไรแม้กระทั่งน้ำ แต่สาเหตุใหญ่มาจากการที่เขารับปราณความมืดเข้าสู่ร่างกาย การไม่ขยับตัวจึงเป็นการฟื้นฟูกำลังที่ดีที่สุดในเวลานี้
งักเจียงนิ่งมอง ชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่มองเห็นตนในเวลานี้ สีหน้าของเขาแม้จะไม่สามารถแสดงออกถึงความกังวลได้ แต่ในใจเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกนั้น
เรื่องที่ท่านย่าฝูพูดกับเสี่ยวจือ เรื่องที่งักฮัวลอบเข้าไปในป่าอีกครั้ง แม้แต่เรื่องที่งักหลิวเปลี่ยนไปเป็นคนละคนใช้อำนาจ เจ้าเล่ห์และสั่งเจ้าหน้าที่มือปราบเข้าไปในป่า หรือกระทั่งเรื่องที่ยังไม่มีใครเจอตัวงักโยว ที่เรื่องล้วนน่ากงัวล
น่าเสียดายที่เขากลายเป็นวิญญาณแล้วไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ไกลเกินกว่าพื้นที่ของคฤหาสน์ ไม่เช่นนั้นเขาคงได้ตามงักฮัว หรือพวกเจ้าหน้าที่มือปราบเข้าไปในป่าเพื่อตามหางักโยวด้วยตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่า สิ่งที่เขาทำได้ มีแค่การฟัง ฟังทุกคนพูดแล้วเอามาเล่าให้ไป่ยู่รู้เท่านั้น
“เจ้าได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วคิดว่ายังไง” งักเจียงเอ่ยขึ้นทำลายความสงัดที่เงียบงันปกคลุมทั้งสองอยู่นาน
“มีหลายสิ่งยังขาดหาย จนไม่อาจวิเคราะห์ได้ สิ่งสำคัญในตอนนี้คือต้องหางักโยวให้เจอ ให้รู้แน่ชัดว่าเขาเป็นหรือตาย และนั่นจะทำให้เราเข้าใจว่าทำไม คนร้ายต้องนำเขาไปซ่อน” ไป่ยู่ตอบทั้งที่ยังหลับตา
“เขาไปอยู่ที่ไหนกันนะ หมดว่าพวกมือปราบจะเจอเขาในป่านั่น” งักเจียงรำพัน
“ท่านควรตัดความห่วงนั่นออกไป ความรู้สึกนั้นมันจะทำให้ท่านไปสู่ปรโลกยากขึ้น”
งักเจียงได้ฟังยินโศกศัลย์ก่อนจะนึกขันในตนเอง ตอนมีชีวิตถึงห่วงใยใครก็ไม่เกินเงินทองและตัวเอง เวลานี้ไร้ชีวิตควรห่วงตัวเองให้เป็นภพที่ควรกลับห่วงใยในลมหายใจของคนอื่น ชีวิตแสนสั้นช่างเล่นตลกกับโชคชะตา
อยู่ๆ ไป่ยู่พลันลืมตาขึ้น เขาขยับตัวเดินมาที่หน้าประตูเหล็ก
“อะ อะไรหรือ?”
“เงียบก่อน” ไป่ยู่ตอบ งักเจียงหยุดนิ่งไม่ส่งเสียง ไม่แม้กระทั่งจะหายใจ
“ท่านไป่ยู่ ท่านไป่ยู่ อยู่ที่นี่ไหม” เสียงเบาราวกระซิบของหานตงดังแผ่วพลิ้วมาตามสายลม
“มีคนมาช่วยเจ้าแล้ว” งักเจียงกล่าวอย่างยินดี
ไป่ยู่เคาะประตูเหล็กให้เกิดเสียงเบาๆ หานตงได้ยินเสียงนั้นจึงเดินตามไปจนได้เจอคนที่ต้องการ
“ท่านไป่ยู่!”
“พี่หานตง พี่จงส่งท่านมาใช่ไหม”
“ใช่ ลูกพี่ส่งข้ามา ทะ ท่านรู้ได้ยังไง”
ไป่ยู่แค่ยิ้มแล้วหันไปมองงักเจียงเล็กน้อย เขาแน่ใจว่าจะมีคนมาช่วยเขาแน่นอนตั้งแต่ตอนที่คุณชายรองบอกรูปประพรรณสัณฐานของมือปราบที่นำกำลังมาตามหางักโยว หากงักหลิวนำร่างไป่หลงส่งให้เจ้าเมืองหัวอันแล้วหม่าจงตามเข้ามาในคฤหาสน์ นั่นย่อมแปลได้ว่า หม่าจงต้องรู้แน่ชัดว่าเขาอยู่ที่นี่หาจะต้องหาทางช่วยแน่นอน
“เปิดประตูก่อนเถอะ มีหลายเรื่องที่ข้าต้องรีบทำ ท่านเจอท่านพี่ไป่หลงแล้วใช่ไหม”
คำถามสุดท้ายที่ไป่ยู่ถามไป ทำให้หานตงชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะได้สติรีบไขประตูให้โดยเร็ว พอประตูเปิดออกไป่ยู่รีบถามย้ำทันที
“ตอบข้า เจอท่านพี่ไป่หลงแล้วใช่ไหม?”
หานตงมีสีหน้าลำบากใจ
“จะ เจอแล้ว”
“เขาอยู่ที่ไหน?”
“ทะ ที่...”
“อาเจ๋อ คุณชายใหญ่ให้มาเฝ้ายาม ไม่ใช่ให้มาหลับยาม อะไรกัน นั่งเฝ้าแค่นี้เจ้าก็แอบอู้งานแล้ว ถ้าคุณชายใหญ่รู้เข้านะ เจ้าได้เป็นฝ่ายต้องถูกขังอยู่ในนี้แทนแน่ อาเจ๋อ ตื่นสิ ตื่น! อาเจ๋อ!”
เสียงบ่าวอีกคนที่มาส่งเสียงปลุกดังขัดบทสนทนาของไป่ยู่และหานตงเสียก่อน
“ทำไงดี” งักเจียงถามด้วยท่าทีร้อนรนทั้งที่ความจริงไม่มีใครมองเห็นเขานอกจากไป่ยู่
“ที่นี่มีทางออกอื่นอีกไหม” ไป่ยู่ถามงักเจียง ทว่าหานตงไม่รู้นึกว่าถามตน
“มีทางออกทางเดียว แต่มีทางขึ้นด้านบน” หานตงตอบ
“มี ด้านบนมีช่องหน้าต่างอยู่ ข้าเคยเห็นตอนเด็ก คิดว่าทางนั้นน่าจะกระโดดออกไปจากหอคอยนี่ได้” งักเจียงบอก
“งั้นไปด้านบนกัน” ไป่ยู่ตัดสินใจ ทั้งหมดจึงเดินออกจากคุกศิลา
ร่างกายบอบช้ำขยับไม่ได้ดังใจคิด ไป่ยู่เดินสามก้าวหยุดหายใจหอบ หานตงพะวงเพราะเวลาไม่คอยท่า
“อาเจ๋อตื่นสิ! อาเจ๋อ!” เสียงคนปลุกเริ่มร้อนรนเมื่อเห็นเพื่อนที่นอนหลับไม่ยอมตื่นจึงเริ่มเขย่าตัวอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
“ท่านไป่ไหวไหม”
“ไหว ไปเถอะ”
สองคนเดินมาถึงหน้าบันไดที่จะพาไปชั้นถัดไป พลันที่ด้านข้างนั่นมีทางลงไปชั้นใต้ดิน ไป่ยู่คล้ายได้ยินเสียงใครบ้างคนร้องโหยหวนคร่ำครวญอยู่ หานตงกำลังจะขึ้นไปด้านบนแต่ไป่ยู่ห้ามไว้
“ช้าก่อนพี่หานตง”
“มีอะไรหรือ ท่านไป่”
“ข้าได้ยินเสียงคนจากด้านล่าง” สิ้นคำ หานตงก็ได้ยินเสียงนั้นในทันที สองคนมองหน้ากันไป่ยู่พยักหน้าเป็นเชิง หานตงขยับเท้าก้าวลงมาอย่างเข้าใจ
............................................
ฝนตกลงมาแล้ว เมฆดำมืดครึ้มปกคลุมทั่วนภา จากเม็ดฝนเบาบางที่โปรยปรายกลายเป็นห่าฝนโหมกระหน่ำคล้ายม่านน้ำตกจนมองทั่วบริเวณได้ยากยิ่ง
เฉินหลินนึกห่วงคนที่เข้าไปในป่า ระหว่างกังวลสายตาพลันเห็นกลุ่มคนเดินออกมา ยิ่งใกล้ยิ่งชัดว่าเป็นโจวหม่าจงและพรรคพวกที่เข้าไป
“คุณชาย ทุกคนออกมาแล้ว!” เฉินหลินตะโกนขึ้นอย่างดีใจ งักหลิวที่เผลอนั่งสัปหงกสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขารีบลุกมาดู เมื่อเห็นสภาพอากาศจึงตะโกนสั่งพวกบ่าว
“ไปเตรียมน้ำชา น้ำอุ่น ผ้าแห้งมาให้ทุกคน” ระหว่างสั่งสายตาพลันเลื่อนไปเห็นงักฮัวที่อยู่ในสภาพกึ่งเปลือยเดินปะปนอยู่ในคณะ
ความคิดที่จะถามถึงงักโยวเลือนหายไปทันที มีแต่ความตระหนกตกใจที่เห็นน้องสาวตนเองในสภาพนั้น งักหลิวพุ่งตรงออกจากจวน ผลักหม่าจงที่อยู่ใกล้สุดอย่างเต็มแรง แต่กำลังน้อยนิดไม่อาจเคลื่อนไม้ใหญ่ หม่าจงไม่สะเทือนแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ชะงักไป กลับเป็นงักหลิวที่ต้องเซถอยไปแทน
ทุกคนต่างตกใจจนหยุดนิ่ง สีหน้างักหลิวท่าทางเอาเรื่อง เขากระชากแขนน้องสาวให้มาอยู่ใกล้ตัว
“เจ้าทำอะไรน้องข้า!!” คุณชายใหญ่ตวาดลั่นแต่เสียงกลับถูกกลบกลืนด้วยห่าฝน
หม่าจงไม่ตอบคำ หันไปพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่มือปราบพาร่างของอาเหวินเข้าไปหลบในห้องโถงใหญ่ก่อน ทุกคนทำตามจนบริเวณนั้นเหลือเพียงหม่าจง ซาเถียน งักหลิว งักฮัวและเฉินหลินที่วิ่งตามออกมา
“คุณชายใหญ่ใจเย็นๆ ก่อน ทุกอย่างไม่ได้มีอะไรน่ากังวล”
“หุบปากของเจ้าไปเลย!” งักหลิวตะคอกใส่เจ้าเมืองอย่างไม่ไหวหน้า ก่อนหันไปตะเบ็งเสียงถามด้วยความเดือดดาลกับหม่าจงซ้ำอีกครั้ง “ข้าถามเจ้าตอบมา?!”
หม่าจงตวัดแขนใช้หลังมือตบหน้าใส่งักหลิวจนสะบัด คุณชายใหญ่ เฉินหลิน ต่างตระหนก ในขณะที่ซาเถียนรู้สึกตกใจยิ่งกว่า
หม่าจงส่งสายตาให้เฉินหลินเป็นเชิงบอกว่าให้นางพางักฮัวเข้าไปดูแลที่ด้านใน เฉินหลินเข้าใจและทำตาม
“เจ้า!!” งักหลิวหันกลับมามองหน้ามีเลือดไหลซึมออกจากมุมปาก หม่าจงมองตอบไม่หลบสายตา
“นี่สำหรับที่เจ้าก้าวร้าวใส่เจ้าหน้าที่ขั้นสูงอย่างใต้เท้าเถียนและนี่สำหรับที่เจ้าที่ไร้หัวคิดไม่ห่วงใยน้องตัวเอง”
ครานี้หม่าจงตวัดมือกลับทำให้งักหลิวหน้าสะบัดไปอีกทางจนล้มลงไปกับพื้น ซาเถียนรีบเอาตัวเข้าขวาง
“พอแล้ว รองหัวหน้าจงพอได้แล้ว คุณชายใหญ่เป็นอะไรไหม” เจ้าเมืองหันไปประคองงักหลิวให้ลุกขึ้น
ขณะที่บรรยากาศกำลังตึงเครียด อาไห่ บ่าวคนหนึ่งวิ่งฝ่าฝนเข้ามากกลางวงด้วยท่าทีร้อนรน
คะ คุ คุณชายใหญ่! คุณชายใหญ่! พวกเราเจอคุณชายเล็กแล้ว”
ข่าวที่กล่าวแจ้งทำให้ทุกคนหันไปมองอย่างสนใจ