บทที่ 5 พิณไผ่ประสาน (1)
บทที่ 5 พิณไผ่ประสาน (1)
เย่หลียกกาน้ำบนโต๊ะขึ้นรินน้ำเปล่าแล้วยื่นให้ฉินซาง “นี่คือน้ำแร่ใต้ทะเลโพรงมรกตของข้า เจ้าลองดูสิ”
ฉินซางรับมาดื่มคำหนึ่งก่อนกล่าวชมว่า “หวานเย็นชื่นใจ ไม่เลว เจ้านี่หาความสุขใส่ตัวเก่งจริงๆ”
เย่หลีถอนใจแล้วเอ่ยว่า “เราไม่เจอกันตั้งยี่สิบกว่าปี คราวนี้เจ้าเพื่อนยากอุตส่าห์มาหาข้า ไม่ใช่ว่ามีเรื่องอะไรหรอกมั้ง เจ้าก็รู้ดี เรื่องของสำนักไผ่ข้าไม่ยุ่งอีกต่อไปแล้ว ถึงมีเรื่องอะไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า”
ฉินซางหัวเราะลั่นแล้วกล่าวว่า “ข้ายังไม่ทันพูดอะไร เจ้าก็บ่ายเบี่ยงไปหมดเสียแล้ว เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่ทำไมกัน? คราวนี้ ข้าจะไม่ไปไหนแล้ว”
ดวงตาของเย่หลีฉายแววตกใจเล็กน้อย “ไม่ไปไหนแล้ว?”
ฉินซางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าเพิ่งกลับมาจากฟาร์เลน”
พอได้ยินคำว่าฟาร์เลน สายตาของเย่หลีพลันเปลี่ยนไปทันที สีหน้าบนใบหน้านิ่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “เจ้าไปจนได้ พูดแบบนี้ เจ้าได้ระดับม่วงแล้ว?”
ฉินซางหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางสังเกตเย่หลีตั้งแต่หัวจรดเท้า “เจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่รึ? ให้ข้าดูหน่อยว่าเป็นยังไง?”
เย่หลีถลึงตามองเขาอย่างหงุดหงิด กระแสอากาศสีม่วงอ่อนแผ่ซ่านจากตัวเขา นั่นคือลมปราณอันหยิ่งผยอง พลังอันแข็งกร้าว แรงกดดันมหาศาลทำให้ฉินซางอดเกิดประกายลุกโชนในดวงตาไม่ได้ “เอาล่ะ ขั้นหนึ่ง เจ้าก็ขั้นหนึ่งเหมือนกัน ดูท่าพวกเราจะไม่มีใครล้มใครได้”
เย่หลีกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าแล้ว ในสถานการณ์ที่ระดับเท่ากัน ในลองกินุสไม่มีเวทมนตร์หรือพลังยุทธ์ใดสามารถเอาชนะเจ้าได้ เจ้านึกว่าข้าไม่รู้รึ?”
ฉินซางหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เพลงพิณของข้า ต้องบรรเลงเกินหนึ่งในสามเท่านั้นถึงจะแสดงอานุภาพที่แท้จริงออกมาได้ ในสถานการณ์ที่ระดับเท่ากัน เจ้าสู้ข้าไม่ได้ แล้วหนีไม่ได้รึ? ข้าก็จนปัญญากับเจ้าเหมือนกัน? หรือเจ้าจะให้ข้าไล่ตามไปอีก?”
เย่หลีกล่าวเสียงเหี้ยมว่า “ตอนนี้ด้วยระยะห่างแค่นี้ เชื่อไหมว่าข้าฆ่าเจ้าได้ทันที”
ฉินซางดื่มน้ำแร่อีกคำหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ “ไม่เชื่อ”
ทั้งคู่สบตากันสักพัก อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมา ไม่ว่าฉินซางหรือเย่หลีก็ไม่ได้มีความสุขอย่างนี้มานานมากแล้ว
เสียงหัวเราะหยุดลง เย่หลีเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เพื่อนยาก พูดตามตรง ฟาร์เลนทำให้เจ้ารู้สึกยังไง?”
ฉินซางสีหน้าเจื่อนลง ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องถามมากหรอก หอคอยทั้งเจ็ดแห่งฟาร์เลนไม่ใช่สิ่งที่เราจะเพ้อฝันได้ ตอนที่ข้าผ่านด่านหอคอยมายา แม้แต่เจ้าหอคอยก็ยังไม่ทันเห็น”
พอฟังเขาพูดแล้ว เย่หลีนิ่งเงียบไปนานก็เอ่ยขึ้นอย่างเศร้าสลดเล็กน้อยว่า “ดูท่า เราคงหมดหวังกันตลอดไป”
“ไม่” ฉินซางตาเป็นประกาย ราวกับนึกเรื่องน่าตื่นเต้นบางอย่างขึ้นมาได้ จึงลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะไม่ไผ่ “ความหวังย่อมต้องมีแน่นอน และอยู่ตรงหน้าเสียด้วย”
สายตาร้อนระอุของฉินซางพวยพุ่งออกจากดวงตาของเขา “คืออะไร? รีบบอกข้ามาเร็ว มีหวังจะต่อกรกับหอคอยทั้งเจ็ดของฟาร์เลนจริงๆ รึ?”
ฉินซางหัวเราะเบาๆ นั่งลงอีกครั้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร
เย่หลีเอ่ยอย่างรำคาญว่า “เล่นตัวอยู่นั่น รีบบอกมา ไม่งั้นข้าใช้กำลังล่ะ”
ฉินซางหัวเราะพลางกล่าวว่า “เจ้านี่ยังนิสัยเหมือนแต่ก่อน ยังใจร้อนแบบนั้นอยู่อีก ข้าสงสัยจริงๆ ว่าพลังยุทธ์ไผ่ของเจ้าฝึกมาถึงขั้นที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้อย่างไร พอข้าได้รับการพิจารณาจากฟาร์เลน ยืนยันสถานะระดับม่วงและขึ้นทะเบียนสีรุ้ง ก่อนจากมามีคนถามว่าข้ายินดีจะเข้ารับตำแหน่งที่ไหน ข้าเลือกอาร์คาเดีย เพราะที่นี่มีเจ้าอยู่ข้าถึงได้มา ขอแค่เจ้าเห็นด้วย ข้าอยู่ที่นี่ได้อย่างน้อยสิบกว่าปี”
เย่หลีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนกล่าวอย่างแคลงใจเล็กน้อยว่า “เพื่อนยาก ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเจ้ากำลังวางกับดักให้ข้ามุดเข้าไปอยู่ล่ะ! มีเรื่องอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ ความหวังของเราคืออะไรกันแน่?”
ฉินซางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ดี ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดตามตรง ความหวังของเราก็คือหลานชายเจ้า”
เย่หลีตกใจ “เจ้าพูดไม่ผิดใช่ไหม เจ้ากลับมาพร้อมหนูอิง เจ้าไม่เห็นหรือว่าหลานชายข้าเกิดมามีแค่แปดนิ้ว? ต่อจากนี้เขาถึงกับจับอาวุธให้อยู่มือยังลำบาก แล้วจะกลายเป็นความหวังของเราไปได้อย่างไร ข้าคิดแต่ว่าจะให้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็พอแล้ว”
ฉินซางเบะปากพลางกล่าวว่า “นั่นเป็นการมองจากมุมของเจ้า จากมุมของข้ากลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แปดนิ้วโดยกำเนิด คือผู้สืบทอดที่ข้าใฝ่หาแม้แต่ในฝัน ผลกระทบจากการไม่มีนิ้วก้อยต้องห้ามข้างซ้ายและขวา สำหรับนักพิณแล้วมีประโยชน์อย่างยิ่ง ยิ่งกว่านั้นหลานชายเจ้าคนนี้ยังมีสัมผัสเฉียบไวอย่างยิ่งต่อเสียงดนตรีตั้งแต่เกิด ขอแค่เจ้ายอมให้เขาเรียนพิณกับข้า เขาก็จะเป็นความหวังของเรา บอกเจ้าตามตรงนะ ข้าเลือกมาอาร์คาเดียไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจอื่นๆ เหตุผลสำคัญก็เพราะเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าก็รู้ดี เมื่อเราฝึกถึงระดับม่วง ถ้าอยากพัฒนาไปมากกว่านี้ย่อมเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง อีกอย่างในฐานะนักเทวคีต ถึงแม้การฝึกถึงระดับม่วงจะทำให้สามารถใช้มนต์พิณที่มีพลังแกร่งกล้าได้ แต่จุดอ่อนก็ร้ายแรงเช่นกัน ข้าเลยนึกวิธีแก้ไขดีๆ ออกอย่างหนึ่ง แต่วิธีนี้ก็จำเป็นต้องให้เจ้ามาร่วมมือด้วย”
เย่หลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าร่วมมือด้วย? ข้าฝึกพลังยุทธ์ไผ่ จะร่วมมือกับเจ้าอย่างไร?”
ฉินซางกล่าวว่า “ในลองกินุส ตัวอย่างของเวทมนตร์ประสานพลังยุทธ์ก็มีแค่สิ่งที่เรียกว่าการฝึกคู่เวทยุทธ์ แต่กลับไม่มีใครสามารถผ่านระดับน้ำเงินได้ ยิ่งนักเวทสมัยนี้ไม่ค่อยจะสนใจเสียเวลาไปฝึกพลังยุทธ์ แต่วิธีแบบที่ข้าคิดได้ กลับเป็นการใช้พลังยุทธ์มาส่งเสริมเวทมนตร์ ใช้พลังยุทธ์มาขยายขอบเขตคลื่นเสียง หรือแม้กระทั่งส่งเสริมให้คลื่นเสียงโจมตีโดยตรง และมีแค่นักเทวคีตเท่านั้นที่สามารถฝึกแบบนี้ได้ ส่วนพลังยุทธ์ของเจ้าก็เต็มไปด้วยลมปราณธรรมชาติ ประสานเข้ากับเสียงพิณได้สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ข้ามาคราวนี้ เดิมทีว่าจะหาลูกศิษย์สักคนแล้วค่อยไปโน้มน้าวเจ้า ให้เจ้าสอนพลังยุทธ์ไผ่กับเขา ผู้อาวุโสของสองตระกูลเราจะร่วมกันสร้างนักเทวคีตที่เหนือชั้น ไม่แน่ว่าอาจทำลายขีดจำกัดของระดับม่วงได้ แต่ข้าเพิ่งมาถึงนี่ ยังไม่ทันตั้งหลักออกไปหาลูกศิษย์ก็เจอลูกสะใภ้กับหลานชายเจ้าก่อน แปดนิ้วโดยกำเนิด! ในโลกนี้หาได้ยากนัก โอกาสดีอย่างนี้ข้าจะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด เพื่อนยาก ชีวิตนี้ข้าไม่เคยขอร้องใคร ครั้งนี้ข้าต้องแหกกฎเสียแล้ว ข้าขอร้องเจ้า ให้หลานชายเจ้าฝากตัวเป็นศิษย์ข้าเถอะ”
ฉินซางพูดพลางลุกขึ้นยืน โค้งคำนับต่ำให้เย่หลี สีหน้าเอาจริงเอาจังอย่างยิ่ง
เย่หลีหลบไปด้านข้างก่อนกล่าวเสียงเฉียบขาดว่า “ไม่ได้ ข้าไม่รับปาก ข้ามีหลานแค่คนเดียว ถึงเขาจะเกิดมามีแปดนิ้ว แต่ข้าก็ยังหวังให้เขาสืบทอดวิชาของข้า”
ฉินซางกล่าวอย่างร้อนรนว่า “เมื่อกี้เจ้ายังบอกว่าจะให้เขาเป็นคนธรรมดาอยู่เลยไม่ใช่รึ? ทำไมตอนนี้กลับคำซะล่ะ?”
เย่หลีกล่าวว่า “คนธรรมดา หมายถึงคนธรรมดาในสำนักไผ่ของข้า หลานชายข้าคือเจ้าสำนักน้อยของสำนักไผ่ในวันหน้า โดนเจ้าฉกไปเข้าสำนักพิณ สำนักไผ่ของข้าจะเป็นอย่างไรเล่า ไม่เอาๆ”
ฉินซางกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เย่ฉงกับเหมยอิงยังหนุ่มยังสาว หรือเจ้ายังกลัวว่าต่อไปจะไม่มีหลานชาย? แต่แปดนิ้วโดยกำเนิดหนึ่งล้านคนไม่แน่ว่าจะมีสักคน เพื่อนยาก เห็นแก่มิตรภาพอันยาวนานของเรา เจ้าช่วยสงเคราะห์ข้าหน่อยเถอะ”
เย่หลีหัวเราะเจื่อนๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ข้าไม่อยากสงเคราะห์เจ้า แต่สงเคราะห์เจ้าไม่ได้จริงๆ ถูกต้อง เจ้าฉงกับหนูอิงยังหนุ่มยังสาว แต่ทั้งชีวิตพวกเขาก็มีลูกชายได้แค่คนเดียว ทีแรก ตอนที่หนูอิงคลอดหลานรักคนนี้ของข้าก็คลอดยาก เจ้าก็น่าจะดูออกแล้ว หนูอิงคือลูกสาวของตาเฒ่าเหมยฮวาสำนักเหมย ข้ากับตาเฒ่าเหมยฮวาเชิญยายเฒ่าหลานชิงมาทำคลอดให้เธอด้วยตัวเอง โชคดีที่หลานชิงอยู่ ถึงรักษาสองแม่ลูกให้อยู่รอดปลอดภัยได้ แต่หลานชิงก็บอกแล้วว่าต่อไปหนูอิงจะมีลูกไม่ได้อีก ไม่เชื่อเจ้าก็ไปถามสำนักกล้วยไม้เอาเอง”
พอฟังเย่หลีพูดแล้ว ฉินซางก็อดทรุดนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่อย่างท้อใจเล็กน้อยไม่ได้ ความหวังอันเต็มเปี่ยมกลับกลายเป็นความรู้สึกลมๆ แล้งๆ ย่อมไม่สบายใจอยู่แล้ว เนิ่นนาน เขากับเย่หลีไม่มีใครพูดจา ต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิดอันลึกล้ำ ขณะนั้นเองน้ำเสียงก้องใสก็ดังเข้ามาจากข้างนอก “พ่อ ได้ยินว่ามีแขกมา”
……………………………………….