บทที่ 5 ขอเรียกท่านว่าพี่ชายได้ไหม
บทที่ 5 ขอเรียกท่านว่าพี่ชายได้ไหม
ฮีโร่มาแล้ว สือเสี่ยวไป๋เฝ้ารอประโยคนี้มาโดยตลอด
ความจริงเขาได้ยินประโยคเดียวกันนี้แล้วในช่วงนาทีสุดท้ายของความล้มเหลวในการเลือกครั้งที่สอง ตอนนั้นเด็กอ้วนเพิ่งจะถูกปีศาจทรมานจนตาย และซาฮัตตันกำลังเดินมายังตัวเขาที่หลับตาลงอย่างช้าๆ แต่กลับมีเสียงนี้ดังขึ้นมา...ฮีโร่มาแล้ว
ตามมาด้วยเสียงดุดันดังก้องในหัวของเขา “จงเลือกเถิด หนุ่มน้อย” ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ทันมองฮีโร่ที่มาสาย อีกทั้งเวลาได้ย้อนกลับมาช่วงนาทีที่หยุดนิ่งและตัวเลือกปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“หากอยู่จนถึงตอนที่ฮีโร่มาถึง ก็อาจจะถูกช่วยไว้ใช่ไหม?”
ความคิดนี้กลายเป็นความเชื่อมั่นศรัทธาในการเลือกตัวเลือก [ช่วยเด็กอ้วน] ในครั้งที่สาม เขาต้องคิดหาวิธียื้อเวลาเพื่ออยู่รอดจนกระทั่งฮีโร่มาถึง
แต่จากประสบการณ์ความล้มเหลวทั้งสองครั้ง สือเสี่ยวไป๋รู้ดีแก่ใจว่าต่อหน้าปีศาจพวกเขาเปราะบางมาก ทนรับความทรมานได้ไม่ถึงครึ่ง เช่นนี้การคิดจะยื้อเวลาด้วยวิธีแสร้งทำตัวลึกลับหรืออวดเก่งถือว่าไม่สำเร็จอย่างแน่นอน
แต่ยังโชคดีที่ความล้มเหลวครั้งที่สองได้ให้ข้อมูลสำคัญสองข้อกับสือเสี่ยวไป๋ ข้อแรกฮีโร่จะต้องปรากฏตัว ข้อสองชื่อของปีศาจร้ายคือซาฮัตตัน
ดังนั้นสือเสี่ยวไป๋จึงคิดว่าวิธีที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ การพูดประจบสอพอ เขาพยายามสรรหาถ้อยคำไพเราะที่สุดมายกยอสรรเสริญซาฮัตตัน พยายามหลอกล่อให้มันเชื่อใจ อย่างน้อยก็เพื่อดึงความสนใจของมันไว้
ผลที่ได้ช่างเหนือความคาดหมาย ที่แท้ปีศาจตนนี้ก็หูเบาเช่นนี้เอง สือเสี่ยวไป๋โล่งใจไปเปราะหนึ่ง แต่เขากลับรู้สึกขยะแขยงจนอยากจะอาเจียนเป็นระยะ เพราะทุกประโยคสวยหรูที่กล่าวชื่นชมซาฮัตตัน เขาจะนึกถึงเสียงกรีดร้องโหยหวนยามพระอาทิตย์ตกเสียงนั้น
ยิ่งกล่าวสรรเสริญซาฮัตตันเขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธ ความเศร้าหมองในใจยิ่งไม่อาจข่มกลั้นได้อีก ราวกับน้ำตาจะไหลพรากในทันที เหมือนอารมณ์ขุ่นมัวทั้งหมดปั่นป่วนอยู่ในกระเพาะจนเขาอยากจะอาเจียนออกให้หมด
แต่สือเสี่ยวไป๋รู้ดีว่าเขาไม่เพียงไม่อาจเผยอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงของตนออกมา ซ้ำยังต้องแสร้งจงรักภักดีอย่างคลั่งไคล้อีกด้วย สิ่งนี้มันยากยิ่งกว่ายากเสียอีก แต่สือเสี่ยวไป๋ก็ทำสำเร็จ
หลังจากได้รับ ‘ความเชื่อใจ’ ของซาฮัตตันแล้ว สิ่งแรกคือต้องรักษาชีวิตของเด็กอ้วนไว้ สือเสี่ยวไป๋นั้นโง่เขลานัก ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีการที่โง่เขลาที่สุด ซึ่งเป็นวิธีที่สิ้นหวังที่สุดด้วยเช่นกัน
สวรรค์รับรู้ว่าตอนที่เขาใช้เท้าเหยียบบนร่างของเด็กอ้วน เขาหวังว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นเพียงความฝันฉากหนึ่ง ตอนที่เขาฉีกความหวังในแววตาของเด็กอ้วนด้วยถ้อยคำประโยคแล้วประโยคเล่า เขาคิดอยากจะตื่นขึ้นจากฝันร้ายที่ทรมานนี้ให้เร็วที่สุด
ความจริงแล้ว เขาควรกระหน่ำต่อยตีเด็กอ้วนอย่างทารุณสักหน่อย ทำเช่นนั้นถึงจะลบความระแวงแคลงใจของซาฮัตตันได้หมดสิ้น แต่อย่างไรเขาก็ทำไม่ลง หลังจากเตะเด็กอ้วนเขาเองก็แทบเสียสติแล้ว เขากำลังแสดงบทบาทชั่วร้ายที่ต่อต้านมาโดยตลอด ในใจกลับปรารถนาอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะแปลงร่างเป็นฮีโร่แห่งความยุติธรรมที่ล้มซาฮัตตันได้ด้วยหมัดเดียว
ความคิดนั้นสวยหรูมากแต่ความจริงกลับยิ่งโหดร้าย สือเสี่ยวไป๋พยายามอย่างที่สุดแล้ว ตอนสุดท้ายเขาเค้นสมองสวดคาถามั่วนิ่ม ในที่สุดความอดทนของซาฮัตตันก็หมดสิ้น สือเสี่ยวไป๋เองก็ไร้เรี่ยวแรงจะต้านทานแล้ว
ในใจของสือเสี่ยวไป๋ที่ใกล้จะหมดหวังเต็มทียังเหลือความหวังเส้นสุดท้ายอยู่ เขายังเฝ้ารอการมาถึงของฮีโร่อย่างทุกข์ทรมาน จึงเปลี่ยนความหวังเส้นสุดท้ายนี้เป็นเสียงตะโกนร้องเรียกอันแหบแห้งไร้เรี่ยวแรง
ฮีโร่มาแล้วจริงๆ
สือเสี่ยวไป๋พยายามกลั้นน้ำตาสุดชีวิต เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาร้องไห้ แม้ว่าฮีโร่ถือดาบวงพระจันทร์ผู้นั้นจะต้านทานเคียวของซาฮัตตันไว้ได้ แต่การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้น ฮีโร่จะสามารถเอาชนะปีศาจได้หรือไม่ นั่นต่างหากเป็นปัญหาสำคัญที่สุด
“สู้ๆ ฮีโร่”
มือเล็กของสือเสี่ยวไป๋กำแน่น ย่างกายขยับไปยังเด็กอ้วนในบ่อทรายอย่างระมัดระวัง
......
ชุดแต่งกายของฮีโร่ที่ใช้ดาบต้านทานซาฮัตตันดูแล้วแปลกพิลึก ชุดหนังแนบเนื้อสีเหลือง ถุงมือสีแดง รองเท้าบูทสีแดง เข็มขัดสีแดง อีกทั้งสวมผ้าคลุมสีขาวผืนหนึ่ง และที่แปลกไปกว่านั้นคือหัวที่โล้นล้าน ทั้งยังสว่างแวววับอีกด้วย
ที่แท้คือฮีโร่หัวล้านที่แต่งชุดยอดมนุษย์นี่เอง
ในเวลานี้บรรยากาศค่อนข้างแปลก หลังจากที่เคียวมือขวาของซาฮัตตันถูกต้านรับไว้ ทั่วทั้งร่างก็สั่นเทาอย่างรุนแรง ดวงตาสีเขียวลึกล้ำค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงชาด ไม่เพียงแต่ไม่ชักมือขวากลับ มือซ้ายเองก็ไม่ขยับเช่นกัน
จนกระทั่งฮีโร่หัวล้านถอนดาบออกมาอย่างเชื่องช้า ร่างของซาฮัตตันก็ยังอยู่ในท่ากวัดแกว่งมือขวาลงครึ่งเดียว ร่างนั้นแข็งทื่อราวกับรูปปั้น
“เจ้าอยากจะตายแบบไหน? ตัดสะบั้นด้วยดาบเดียว? หรือว่าซัดให้ตายในหมัดเดียว? หรือจะ...” ฮีโร่หัวล้านพูดเช่นนี้ เดิมทีตอนที่รับดาบสายตาแหลมคมของเขาเปี่ยมด้วยจิตสังหาร ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นเซ่อซ่าขึ้นโดยพลัน อวัยวะแขนขาที่แข็งเกร็งพลันคลายลง เพียงครู่เดียวก็ดูเหมือนคนไม่มีพิษภัยอะไร
“ข้า...ตัวข้า...” ซาฮัตตันกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ร่างกายสั่นเทารุนแรงยิ่งขึ้นราวกับคนหัวล้านตรงหน้าน่ากลัวเป็นที่สุด
“ข้า ข้าไม่อยากตาย!” ซาฮัตตันคำรามเสียงดังทันใด แล้วหมุนตัววิ่งหนีไปยังฝั่งตรงข้ามคล้ายสุนัขจรจัดหนีหัวซุกหัวซุน
สือเสี๋ยวไป๋มองอ้าปากค้าง เห็นเพียงฮีโร่หัวล้านชูดาบขึ้นเล็งเป้าไปยังซาฮัตตันที่วิ่งไปไกลเกือบจะลับสายตา หมายจะฟันมันให้ล้มลงไป
“หรือว่าเขาจะตัดหัวปีศาจผ่านอากาศงั้นหรือ?” ใจของสือเสี่ยวไป๋เต้นรัว มองฮีโร่หัวล้านในชุดยอดมนุษย์ด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเคารพศรัทธา
ในเวลานี้เอง น้ำเสียงร้อนใจของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้นจากที่ไกลๆ
“ให้ข้าจัดการหัวของปีศาจตนนี้เอง!”
ฮีโร่หัวล้านได้ยินเสียงนี้ได้แต่เกาหัวยิกๆ แล้วจึงเก็บดาบกลับเข้าฝักดังเดิม สือเสี่ยวไป๋ตะลึงงัน มองไปยังซาฮัตตันที่วิ่งหายไปเกือบจะสุดสายตาด้วยใจที่แอบวิตกกังวล
ทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์ที่สือเสี่ยวไป๋ไม่อาจลืมเลือนไปตลอดชีวิตก็ปรากฏขึ้น
เห็นเพียงปีศาจที่ทรมานเขาให้ตายทั้งเป็นเมื่อครู่ ซาฮัตตันที่มีพลังมหาศาลจนเขาไม่อาจต้านทานได้ตนนั้น ในตอนนี้กลับเหมือนเต้าหู้ชิ้นหนึ่งที่ถูกสับไม่เหลือชิ้นดี เพียงพริบตาก็แหลกละเอียดไปเสียแล้ว
สือเสี่ยวไป๋ดูไม่ถนัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพียงครู่เดียวซาฮัตตันก็ถูกจับแยกส่วนเป็นชิ้นๆ
ในขณะเดียวกัน สาวน้อยผู้หนึ่งเดินจากปลายทางสุดสายตา ก้าวมายังพวกเขาอย่างช้าๆ
เป็นเพราะระยะห่างที่ค่อนข้างไกล สือเสี่ยวไป๋จึงมองเห็นหน้าสาวน้อยไม่ถนัดตา เห็นเพียงหญิงสาวสวมเสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น ผิวขาวผุดผ่องและมีรูปร่างอรชรไร้ที่ติ
“เท่สุดๆ เลย!” สำหรับสือเสี่ยวไป๋แล้ว นั่นคือภาพความประทับใจที่ไม่อาจลืมเลือนได้ทั้งชีวิต
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้จดจ้องภาพนั้นนานเกินไป เขาอดทนต่อความเจ็บปวดที่หน้าท้องพลางปีนออกมาจากบ่อทราย
“ดีจังเลย เด็กอ้วน...พวกเรารอดตายแล้ว...พวกเรา...”
สือเสี่ยวไป๋ที่กำลังก้าวเดินค่อยๆ หยุดฝีเท้าลง เพราะเขาเห็นเด็กอ้วนถอยหลังออกห่างด้วยท่าทีหวาดกลัว แววตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“ข้าทำร้ายเขา...ทั้งหมดเป็นเพราะข้าอ่อนแอเกินไป...ถ้าข้าแข็งแกร่งกว่านี้อีกสักหน่อย จะต้องคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้มาปกป้องเขาได้แน่” แววตายินดีของสือเสี่ยวไป๋ค่อยๆ หม่นแสงลง
“ข้าขอโทษ...” สือเสี่ยวไป๋ก้มหน้าลงกล่าวกับเด็กอ้วนด้วยน้ำเสียงแฝงความเสียใจ
“พี่ชาย...” ทันใดนั้นเด็กอ้วนกล่าวเรียกเสียงเบา
สือเสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้นมอง ท่ามกลางแสงอาทิตย์ตกดิน ใบหน้ากลมเล็กนั้นมีน้ำตาน้ำมูกและเม็ดทรายเลอะปนกันไปหมด ดูคล้ายกับลูกบอลเก่าลูกหนึ่งที่นุ่มนวลแต่แข็งแกร่ง
“ฮีโร่...ยังอยู่ไหมฮะ?” เด็กอ้วนถามเสียงเบา
“อืม!” สือเสี่ยวไป๋พยักหน้าแรงๆ
“พี่ชายไม่ได้หลอกผมใช่ไหม?”
“อืม!”
“ผมเป็นสมาชิกของ...ทีมฮีโร่เสี่ยวไป๋ใช่ไหมฮะ?”
“อืม!”
“ท่านแม่ เสี่ยวเฮ่าจื่อ เสี่ยวเหล่ย พวกเขายังไม่ตายใช่ไหม?”
“อืม”
“พี่ชาย ข้าเรียกท่านว่าพี่ชาย...ได้ไหม?”
“อืม!”
“โฮ...ฮือฮือฮือ”
ร่างเล็กๆ กระโจนจากบ่อทรายขึ้นมาบนร่างคนตัวเล็กเช่นกัน แต่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาได้พอดี
ในสวนสาธารณะช่วงพลบค่ำนี้ เด็กอ้วนร่ำไห้คร่ำครวญกอดสือเสี่ยวไป๋ไว้
สือเสี่ยวไป๋พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลอย่างสุดชีวิต สุดท้ายก็กลั้นไว้ไม่อยู่ น้ำตาเป็นสายไหลออกมาจากดวงตาทั้งคู่
“โฮ~”
ในเวลานี้ เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบสามปีร้องไห้คร่ำครวญอย่างปวดร้าวใจ