บทที่ 4 แปดนิ้วโดยกำเนิด (4)
บทที่ 4 แปดนิ้วโดยกำเนิด (4)
ฉินซางคลี่ยิ้มบางๆ ทำมือเป็นสัญญาณให้เงียบเสียง “ดูท่า ไม่เจอกันยี่สิบกว่าปี คราวนี้ข้าต้องคุยกับตาเฒ่าเย่หลีให้หนำใจจริงๆ เสียแล้ว”
เหมยอิงมองไปทางเปียโรและดิยาร์ราข้างๆ ก่อนกระซิบถามว่า “ท่านปรมาจารย์ แล้วจะทำอย่างไรกับพวกเขา?”
ฉินซางกระแอมเบาๆ ไอสีม่วงฉายวาบในดวงตา ก่อนพวกดิยาร์ราที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์จะฟื้นคืนสติ ผ่อนลมหายใจยาว ดิยาร์รากล่าวชมว่า “ไพเราะมาก ไพเราะมากจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของนักเทวคีต ท่านนายกสมาคม ภายหลังยังต้องขอคำชี้แนะจากท่านอีกมาก”
ฉินซางส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “สิ่งที่ท่านสัมผัสได้ เป็นเพียงความยิ่งใหญ่ของเวทมนตร์จิตวิญญาณ แต่ไม่ได้เข้าถึงการซึมซาบสัมผัสทางดนตรี ความแตกต่างระหว่างสายจิตวิญญาณกับสายธาตุยังมีมากเกินไป” ฉินซางพูดพลางเอาตัวบังสายตาของดิยาร์ราและเปียโร แล้วส่งสายตาให้กับเหมยอิง
เหมยอิงรู้ทัน “ขอบคุณท่านปรมาจารย์ฉินซางมากที่อวยพรมนตราให้เจ้าหนูน้อย หากท่านปรมาจารย์พอมีเวลา ข้าอยากเชิญท่านปรมาจารย์ไปเที่ยวชมทะเลโพรงมรกต และให้เกียรติครอบครัวข้าได้ดูแลต้อนรับในฐานะเจ้าบ้าน จะว่าอย่างไร?”
ฉินซางพยักหน้ากล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่เกรงใจล่ะ”
ดิยาร์ราเอ่ยขึ้นอย่างตกใจเล็กน้อย “ฟาร์เลนจงเจริญ เหมยอิง ดูเหมือนข้าจะไม่เคยได้รับการดูแลอย่างนี้บ้างเลยนะ!”
เหมยอิงยิ้มพลางกล่าวว่า “วันหลังคงมีโอกาส ท่านปรมาจารย์ฉินซาง เชิญค่ะ”
…...
ทะเลโพรงมรกต หมายถึงมหาสมุทรที่มีโพรงตรงกลางสีเขียวมรกต ไผ่ มิใช่ว่ามีโพรงตรงกลางสีเขียวมรกตหรอกหรือ? ฉะนั้น ทะเลโพรงมรกตแห่งนี้ก็คือป่าไผ่อันเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์
ตำแหน่งที่ทะเลโพรงมรกตตั้งอยู่ ห่างจากเมืองลูน่าไปทางทิศตะวันตกสามร้อยกิโลเมตร ต้นไผ่สูงสีเขียวมรกตรูปทรงต่างๆ ก่อให้เกิดภาพทิวทัศน์แปลกตา ท่ามกลางรัศมีอ่อนจางที่ส่องประกาย สิ่งที่สามารถมองเห็นได้คือแสงสีเขียวอันอ่อนโยนตลอดทั้งผืน ไผ่มรกตทุกต้นล้วนตั้งตระหง่านอยู่อย่างนั้น
สำหรับชาวอาร์คาเดีย ทะเลโพรงมรกตคือสถานที่มหัศจรรย์ ที่นี่ผลิตหน่อไม้สดจำนวนมาก แต่กลับไม่มีใครสามารถเดินลึกเข้าไปถึงข้างในทะเลโพรงมรกตได้ และไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วทะเลโพรงมรกตกว้างขวางแค่ไหน มันแบ่งพรมแดนระหว่างอาณาจักรอาร์คาเดียกับจักรวรรดิแลนเดียสทางตะวันตกของอาร์คาเดีย ทุกคนที่เข้าไปในทะเลโพรงมรกต หลังจากเดินลึกเข้าไปแล้วก็จะเดินออกมาจากบริเวณที่ตัวเองเดินเข้าไปอย่างน่าพิศวง ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในป่าไผ่ผืนนี้นอกจากหน่อไม้ก็ไม่มีผลิตผลเฉพาะที่อุดมสมมบูรณ์อื่นๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครไปสนใจหรือรบกวนมัน
อุณหภูมิภายในทะเลโพรงมรกตแตกต่างจากเมืองลูน่าอย่างมาก อาจเป็นเพราะเหตุผลที่ว่าที่นี่มีต้นไผ่เจริญเติบโตอยู่มากมาย ขอเพียงได้เข้าไปในอาณาเขตของทะเลโพรงมรกต ความร้อนระอุในอากาศย่อมจะคลายลงไปมาก
เหมยอิงอุ้มลูกรักเดินอยูในทะเลไผ่กับฉินซางพลางกล่าวชมว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านแข็งแรงดีจริงๆ เดินทางไกลขนาดนี้ยังดูไม่อ่อนเพลียเลยสักนิด นักเวทอย่างท่าน ข้าเพิ่งได้พบเจอเป็นครั้งแรก”
สามร้อยกิโลเมตรสำหรับนักรบคนหนึ่งย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่สำหรับนักเวทแล้ว ถือเป็นระยะทางที่ไกลมากทีเดียว หากเพ่งดูอย่างถี่ถ้วน จะสามารถสังเกตเห็นว่ารอบๆ ผ้าห่อตัวทารกในอ้อมแขนของเหมยอิงปกคลุมด้วยกระแสอากาศบางๆ วงหนึ่ง นั่นคือพลังยุทธ์ของเหมยอิงที่ปกป้องคุ้มครองลูกชายสุดที่รักของตนเอาไว้ เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากความร้อนระอุในอากาศ
ฉินซางฝืนหัวเราะ “เจ้าไม่เคยได้ยินประโยคนั้นรึ? ไร้ประโยชน์สิ้นดีคือเทวคีต ในฐานะนักเทวคีตคนหนึ่ง ข้าไม่สามารถใช้วิชาเร่งความเร็วอย่างนักเวทตระกูลธาตุได้ แต่ข้าก็ไม่ยินดีจะให้ใครมาติดสอยห้อยตาม ไม่ว่าไปที่ไหนบนทวีปก็ต้องพึ่งพาสองขาของตัวเอง นานวันเข้าก็เดินได้ไกลกว่าคนทั่วไปอยู่หน่อย แข็งแรงกว่านักเวทสายอื่นอยู่บ้างไปเอง”
ขณะที่พูดอยู่ ฉินซางพบว่าป่าไผ่เบื้องหน้าเริ่มดูหลอกตาขึ้นมาเล็กน้อย บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มอย่างรู้ทัน จึงเด็ดกิ่งไผ่จากข้างทางติดมือมาด้วย เดินหน้าไปพลาง เคาะต้นไผ่ข้างทางไปพลาง จังหวะที่เขาเคาะเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า เกิดเป็นคลื่นเสียงพิเศษ ก่อนเดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของป่าไผ่โดยไม่ต้องให้เหมยอิงนำทาง ทะเลโพรงมรกตที่สำหรับคนธรรมดาแล้วไม่มีวันล่วงล้ำเข้าไปได้ แต่สำหรับแขกคุ้นเคยอย่างเขา จะขัดขวางอย่างไรได้ล่ะ?
เหมยอิงดูเหมือนจะเดาออกนานแล้ว จึงไม่ตกใจอะไร จังหวะฝีเท้าเริ่มจะหลอกตาขึ้นมาบ้าง เดินเหมือนช้าแต่กลับเร็วตามหลังฉินซางเข้าไปยังส่วนลึกของป่าไผ่
ตำแหน่งใกล้ใจกลางทะเลโพรงมรกต มีกระท่อมไม้ไผ่ที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบล้อมวงอยู่ท่ามกลางดงไผ่ประมาณสิบกว่าหลัง เมื่ออยู่ท่ามกลางเงาไผ่โบกไกว มองไปแล้วดูงดงามอย่างยิ่ง ไม่ทันรอให้เหมยอิงกับฉินซางมาถึงหน้ากระท่อมไม้ไผ่ น้ำเสียงแก่ชราก็ดังออกมาจากกระท่อมไม้ไผ่หลังหนึ่งในนั้น “หนูอิง ทำไมเจ้าถึงพาคนนอกเข้ามา หรือเจ้าลืมคำที่ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว?”
ไม่รอให้เหมยอิงเอ่ยปาก ฉินซางก็หัวเราะพลางตำหนิว่า “เจ้าเย่หลีตัวดี แม้แต่เพื่อนเก่าก็ไม่ยอมพบรึ?”
ประตูกระท่อมไม้ไผ่หลังตรงกลางเปิดออก เงาร่างว่องไวดุจสายฟ้าแทบจะแล่นปราดมาอยู่ตรงหน้าเหมยอิงกับฉินซางในชั่วพริบตา แม้จะเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างยิ่ง แต่กลับพลิ้วไหวดั่งสายน้ำไหลปุยเมฆลอย ไม่ทำให้รู้สึกปุบปับฉับพลันแต่อย่างใด
เย่หลีรูปร่างสูงใหญ่กว่าฉินซางเล็กน้อย เส้นผมยาวสีดอกเลาสยายไปด้านหลัง ริ้วรอยบนใบหน้าน้อยกว่าฉินซางอย่างเห็นได้ชัด มองเผินๆ เหมือนอายุสักห้าสิบกว่าปี เอวและหลังเหยียดตรง นัยน์ตาที่เปล่งประกายเจือแววน่าเกรงขามเล็กน้อย ความเจนโลกของชายวัยผู้ใหญ่เผยออกมาให้เห็นจากตัวเขาอย่างหมดเปลือก พอมองเห็นฉินซาง มือใหญ่ที่กว้างและหนาของเขาก็คว้าออกไป ฉินซางไม่ได้เบี่ยงหลบ ปล่อยให้เขาจับบ่าตัวเองไว้
“เพื่อนยาก เจ้ามายังไง? เราไม่เจอกันยี่สิบกว่าปีแล้วล่ะมั้ง” เย่หลีกล่าวอย่างตื่นเต้น
มาดนิ่งขรึมของฉินซางอันตรธารไปหมดสิ้นเมื่ออยู่ตรงหน้าเย่หลี ตีหน้าเป็นพลางกล่าวว่า “มาหาเจ้าไง! เจ้ายังหนุ่มแน่นอะไรปานนั้น ข้าสิแก่เสียแล้ว ฝึกพลังยุทธ์ยังดีซะกว่า! เวทมนตร์ทำให้แก่เร็วเกินไปจริงๆ ข้าจำได้ว่าเจ้าแก่กว่าข้าตั้งหนึ่งปีล่ะมั้ง”
เย่หลีกล่าวอย่างหงุดหงิด “หนุ่มแน่นอะไรกันล่ะ? เจ้าไม่เห็นหรือว่าผมข้าหงอกจนจะหมดหัวอยู่แล้ว ไป เข้าไปคุยกันในบ้าน” เขาพูดพลางดึงฉินซางเข้าไปข้างใน เพียงแต่ระหว่างนั้นก็เหลือบมองหลานชายตัวเองในอ้อมแขนของเหมยอิง
การตกแต่งภายในกระท่อมไม้ไผ่เรียบง่ายอย่างยิ่ง เตียงไม้ไผ่ โต๊ะไม่ไผ่ เก้าอี้ไม่ไผ่ แค่นี้เท่านั้น
……………………………………….