บทที่ 31 เจ้าหนูในวันวาน เจ้าคนอุกอาจในวันนี้
บทที่ 31 เจ้าหนูในวันวาน เจ้าคนอุกอาจในวันนี้
เงาดำจำนวนมากเคลื่อนตัวจากเวหาลงสู่ผืนดินอย่างปลอดภัย ทั้งสไปค์และฟลอร์เลนหันสายตาไปมองทางจุดที่มีเสียงฝีเท้าสัมผัสกับพื้น มีร่างของอาคันตุกะสามคนก้าวเท้าเดินนำออกมาจากฝูงมารเหล่านั้นและกวาดสายตาไปทั่วแดนดิน หนึ่งในสามมีเพศหญิง เธอก้าวเท้าเดินนำบุรุษอีกสองคนออกมา เรือนผมสีแดงยาวสลวยเป็นลอนเงางาม ทั้งใบหน้าและสัดส่วนล้วนพราวเสน่ห์ชวนให้หลงใหล
“สภาพเละเทะดีจริงแฮะ” เธอพูดเมื่อมองเห็นสนามประลองที่เต็มไปด้วยเศษซากพังทลายจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้
“เหมือนก่อนหน้านี้พวกมนุษย์จะเล่นสนุกกันกระมังนะ” มีเสียงดังขึ้นตอบรับเธอ คนพูดมีรูปลักษณ์เป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กราวเด็กประถม พอมองดูส่วนสูงแล้วไม่น่าจะเกินร้อยสี่สิบเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อจ้องเข้าไปยังดวงตาสีแดงฉานภายใต้กรอบแว่นคู่นั้นแล้วกลับรู้สึกถึงความอำมหิตจนเกินกว่าจะมองว่าเป็นเด็กได้
“...อือ.....อา....” มีเสียงสั่นเครือในลำคอของชายอีกคน เขาคนนี้มีรูปกายสูงใหญ่และแข็งแกร่งกำยำอย่างยิ่ง อุ้งมือที่ใหญ่โตและหนาแน่นให้ความรู้สึกว่าสามารถบดขยี้แผ่นเหล็กจนแหลกเหลวได้ ใบหน้าเขาคนนี้อัปลักษณ์ น่าหวาดกลัว ดูไม่ต่างไปจากยักษ์หน้าตาน่าเกลียด
มันชี้นิ้วไปทางจุดที่มีสไปค์กับฟลอร์เลนยืนอยู่เคียงกัน นั่นทำให้หญิงสาวกับเด็กชายหันมามองตามทางทิศนั้น
“โอ้...โมเรน ดูซิเราเจอใครเข้า”
“คนที่เราตามหามาตลอดใช่หรือไม่ เฟียร์”
“......”
ทั้งสามตนคือมารชั้นสูงแห่งโลกมืด ผู้ถูกเรียกว่ามานาร์รัสซึ่งไม่ค่อยปรากฏตัวบนพื้นโลกสักเท่าไรนัก โดยทั้งสามตนนั้นเคยปรากฏตัวบนพื้นโลกครั้งหนึ่งเมื่อราวเจ็ดปีก่อนในหมู่บ้านบนหุบเขาวาตะ ในครั้งนั้นทั้งสามเคยถูกขับไล่ไปด้วยฝีมือของเด็กผู้ชายอายุเพียงสิบขวบ แม้จะไม่ได้ขับไล่ด้วยการกระทำจริงจัง แต่ทั้งสามที่ปลีกตัวจากไปเพราะความรู้สึกกดดันต่อสถานการณ์เมื่อครั้งนั้น ต่างก็รู้สึกว่าไม่ได้ต่างไปจากการถูกขับไล่สักเท่าไรเลย
เฟียร์ ไกร่า โมเรน สามมารผู้เก็บงำความแค้นเมื่อครั้งนั้นไว้เต็มอกได้พบกับบุคคลที่เป็นต้นเหตุแห่งความแค้นโดยบังเอิญ...
“แม้วัยที่สูงขึ้นจะทำให้ใบหน้าและรูปร่างเปลี่ยนแปลง แต่ข้ายังจดจำได้ มันคือเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้น!” โมเรนเอ่ยออกมาในขณะที่น้ำเสียงเริ่มเจือปนความชิงชังมากขึ้น
“ส่วนอีกคนยิ่งเป็นคนที่ข้าคาดไม่ถึงเข้าไปใหญ่ สุดท้ายแล้วท่านก็ปิ๊งเจ้าหนุ่มนั่นจริง ๆ งั้นหรือ ฟลอร์เลน” เฟียร์หัวเราะคิกคักในขณะที่พูดแบบนั้นออกมา ดูก็รู้ว่าเธอต้องการจะประชดประชันสตรีที่เธอชิงชังมาโดยตลอด
ไม่เพียงแค่สามคนนั้นที่ยังจดจำทั้งคู่ได้ ทางสไปค์กับฟลอร์เลนก็ไม่ได้หลงลืมตัวตนทั้งสามนี้ไป ยิ่งกับสไปค์ที่มองทั้งสามเป็นจุดต้นเหตุของเรื่องราวแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตแล้ว เขาย่อมไม่มีทางลืมเป็นอันขาด
ในตอนนั้นเขายังไม่รู้จักการใช้พลังเสียด้วยซ้ำ แล้วยังขาดสติควบคุมร่างกายอีกด้วย ดังนั้นถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ มันจะไม่เหมือนเมื่อครั้งนั้นอีกต่อไปแล้ว
“สัมผัสอันตรายที่ข้าสัมผัสได้ มาจากพวกเจ้าทั้งสามหรอกหรือ” สไปค์เหมือนกล่าวออกมาลอย ๆ แต่คำพูดนั้นทั้งสามตนต่างได้ยินเหมือนอีกฝ่ายกำลังถามตนเอง
“งั้นรึ มนุษย์อย่างเจ้าสามารถสัมผัสถึงตัวตนของพวกข้าได้ด้วย ถ้างั้นก็ขอบอกสักเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน” เฟียร์ไม่พูดปากเปล่า เธอเอานิ้วชี้ขึ้นมาปิดริมฝีปากตนไว้ ขยิบตาลงหนึ่งข้างก่อนจะพูดต่อไป “มันไม่ได้มีแค่พวกข้าทั้งสามหรอกนะที่มาที่นี่ แล้วก็...”
เฟียร์เงียบเสียงไปครู่หนึ่ง สายตาหันไปจับจ้องทางฟลอร์เลน
“ข้าแนะนำว่าท่านควรจะรีบหนีไปจากที่นี่เสียดีกว่า” เฟียร์กล่าวคำพูดนี้กับฟลอร์เลนไม่ผิดแน่ นั่นทำให้สไปค์รู้สึกประหลาดใจ คำพูดนั้นหมายความอย่างไรกัน?
แต่ใบหน้าของฟลอร์เลนกลับไม่พบความผิดแปลกเลยแม้แต่น้อย ราวกับเธอล่วงรู้อยู่แล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้ ดวงเนตรของเธอคล้ายมีความมืดเข้าปกคลุม ความรู้สึกที่สไปค์สัมผัสได้จนถึงเมื่อครู่จากตัวเธอเริ่มเปลี่ยนกลับไปเป็นความห่างเหินอีกครั้ง
บทสนทนาระหว่างมารทั้งสามกับฟลอร์เลน ทำให้เขาเริ่มคิดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับตัวตนของเธอขึ้นมาอีก แท้จริงแล้วฟลอร์เลนคือใครกันแน่ เธอคือฝ่ายเดียวกับเขาใช่หรือไม่ แล้วเพราะเหตุใดจึงได้รู้จักกับมารพวกนี้ด้วย?
เหมือนรู้ว่าชายหนุ่มกำลังสงสัยเกี่ยวกับตัวเองอยู่ ฟลอร์เลนจึงหันหน้าไปทางสไปค์ และกล่าวคำพูดออกมาหนึ่งประโยคเพื่อสร้างความสบายใจให้อีกฝ่าย
“ข้าไม่ได้เป็นศัตรูของท่านแน่นอน”
แววตาของชายหนุ่มฉายแววประหลาดใจยิ่งนักเมื่อรู้ว่าเธอคาดเดาความนึกคิดในใจเขาได้ พอเป็นแบบนั้นแล้วก็พลันรู้สึกผิดขึ้นมา มันชวนให้คิดว่าไม่น่าไปสงสัยเธอเลย
“อ้าว ๆ อย่าบอกนะว่าท่านยังไม่ได้บอกว่าตัวจริงของท่านเป็นใครกับเจ้าหนูนี่น่ะ?” แต่เสียงของเฟียร์กลับแทรกขึ้นมาจนทำให้สไปค์ต้องหันไปสนใจทางนั้นอีกครั้ง
จริงสินะ ถ้าหากฟลอร์เลนกล่าวว่าเธอไม่ใช่ศัตรูกับเขา ถ้าเช่นนั้นแล้วตัวตนแท้จริงของเธอคือใครกัน ทำไมจึงได้รู้จักกับมารทั้งสามตนนี้ราวกับเคยชิดเชื้อกันเมื่อนานมาแล้วกันแน่ พอยิ่งคิดกลับยิ่งสงสัย แต่ก็ยังไม่อาจหาญพอจะเอ่ยปากถามเธอได้ คำพูดมันจุกอยู่ในลำคอ แม้กระทั่งมองหน้ายามนี้ก็ยังมิกล้า
“ตัวตนของข้า เมื่อถึงเวลาเขาจะรู้เอง” ฟลอร์เลนตอบกลับเพียงคำสั้น ๆ แต่นั่นกลับทำให้เฟียร์ประหลาดใจจนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงแปลก ๆ ออกจากลำคอเป็นเชิงสงสัย
“ทำไม กลัวว่าเจ้าหนูนี่จะรู้ความจริงงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า” ฟลอร์เลนตัดบทสั้น ๆ
เพียงกล่าวจบแค่นั้น แววตาของเธอกลับกลายเป็นเย็นชาประดุจขั้วน้ำแข็ง สไปค์ซึ่งยืนอยู่เคียงข้างกายไม่ห่างพลันรู้สึกถึงความหนาวเย็นราวกับอุณหภูมิรอบข้างกำลังติดลบไปทีละองศา ออร่าปราณสีเทาเข้มเรืองรองออกมาจากร่างของฟลอร์เลนช้า ๆ จิตสังหารที่เย็นยะเยือกเข้ากัดกินจิตใจของมารทั้งสาม
ฝ่ามือของฟลอร์เลนปรากฏกระบี่บางเบาสีเงินหนึ่งเล่ม มันเป็นกระบี่ที่มีส่วนคมเงาวับยามเมื่อต้องแสงสว่าง ฟลอร์เลนยกปลายกระบี่ขึ้นชี้ไปทางมารทั้งสาม ราวกับต้องการจะบ่งบอกพวกมันว่าหมดเวลาของการสนทนาที่แสนยาวนานนี้แล้ว
หากเป็นผู้ที่พึ่งได้สัมผัสตัวตนด้านนี้ของเธอเป็นครั้งแรกจะรู้สึกว่าจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเธอช่างเย็นเยียบและคมกริบประดุจยืนอยู่บนธารน้ำแข็ง ความหนาวเย็นนี้ราวกับเกาะกุมไปถึงขั้วหัวใจจนชวนให้รู้สึกว่าหากเพียงขยับกายสุ่มสี่สุ่มห้า หัวใจคงถูกตัดขาดสะบั้นได้ในพริบตา
ซึ่งตรงจุดนี้มันช่างแตกต่างจากตัวตนที่เธอแสดงออกในยามที่ปลอมแปลงเป็นชายหนุ่มชื่อฟานเหลือเกิน แสดงให้เห็นว่าตัวจริงของเธอกับตัวปลอมอย่างฟานช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว การเป็นฟลอร์เลนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในมิติที่ลึกลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก วาจา หรือแม้กระทั่งพลังในการต่อสู้ก็ไม่เว้น
สไปค์เองก็พึ่งจะเคยสัมผัสความรู้สึกนี้จากเธอเป็นครั้งแรก เขาที่ฝึกปรือมาจนฝีมือรุดหน้าขึ้นยังไม่กล้ากล่าวได้เต็มปากว่าตนเองไม่กลัวเกรงสัมผัสที่ได้จากเธอในตอนนี้เลย
จึงไม่จำเป็นต้องถามความรู้สึกของมารทั้งสามที่ถูกจิตสังหารนั้นคุกคามอยู่โดยตรง พวกมันแม้จะพบกับความหนาวเหน็บแต่ก็ยังมีเหงื่อไหลออกมา ช่างเป็นอะไรที่ขัดแย้งกันจริง ๆ
“ยัยนี่เอาจริง” โมเรนกล่าวขึ้นหลังจากที่นิ่งคิดวิเคราะห์ท่าร่างนั้นอยู่นาน เขาทำหน้าเหมือนไม่ได้พบเจอเรื่องแบบนี้มานานมากแล้ว “เจ้าหนุ่มนั่นเป็นคนสำคัญแค่ไหนกัน จึงต้องพยายามทำถึงขนาดนี้”
“พวกเราไม่อาจรู้ความคิดของยัยนั่นได้หรอก ไม่ว่าจะตอนนี้หรือแต่ก่อน” เฟียร์ตอบกลับโมเรนไป เธอยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลหลั่งออกมาเป็นหยดเล็ก ๆ
“แต่สิ่งที่รู้คือมานาร์รัสอย่างพวกเรา ไม่ได้ยอมให้ใครคุกคามได้ง่าย ๆ ต่อให้เป็นท่านก็ตาม” จิตสังหารของเฟียร์พรั่งพรูขึ้นหลังจากสิ้นสุดคำพูดประโยคล่าสุด โมเรนเองก็คิดเช่นกัน เขาแสยะยิ้มพลางปล่อยจิตสังหารที่หลั่งไหลออกมาพร้อมกับพลังปราณสีอำพัน ไม่เว้นแม้กระทั่งไกร่าที่ตอนนี้ร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยออร่าสีแดงแห่งปราณพยัคฆ์
“ครั้งนี้พวกข้าไม่หยุดมือเหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อนหรอกนะ”
“ก็ดี ข้าจะได้ถือโอกาสนี้สั่งสอนพวกเจ้าให้รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง” คำกล่าวของฟลอร์เลนไม่ได้กล่าวออกมาในเชิงขู่เลยสักนิด เธอคิดเช่นนั้นจริง ๆ จึงได้พูดออกมาแบบนั้น และมารทั้งสามต่างก็รับรู้จุดประสงค์ของสิ่งที่เธอพูดออกมาดีที่สุด
ศึกสามรุมหนึ่งกำลังจะเปิดฉากขึ้นในอีกไม่ช้า ทว่าจังหวะนั้นกลับมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามาขวางกลางระหว่างจิตสังหารของทั้งสองฟากฝั่ง ฟลอร์เลนเบิกตาโพลงเมื่อเห็นสไปค์ก้าวขาเข้ามาในขณะที่ศึกใหญ่ของเธอกำลังจะเปิดฉากขึ้นมาอยู่รอมร่อ แต่เฟียร์กลับเล็งเห็นจังหวะนั้นเป็นโอกาส ในมือเธอปรากฏแส้ที่เป็นอาวุธประจำกายขึ้นมา ก่อนจะใช้แส้เส้นนั้นเหวี่ยงฟาดออกไป
“ระวัง!” ฟลอร์เลนเห็นดังนั้นจึงรีบเร่งหมายจะเข้าไปต้านรับแส้นั้นไว้ให้ แต่สไปค์กลับขวางไม่ให้เธอเข้ามายุ่ง ชายหนุ่มเพียงยกมือขึ้นและปล่อยออร่าปราณสีม่วงเข้มออกมา แส้เส้นที่แหวกม่านอากาศมาอย่างดุดันก็ถูกตีกลับไปทันที ทำเอาเฟียร์ถึงกับตกใจระคนสงสัย พลังแส้ของเธอแฝงไว้ด้วยพลังปราณไม่ต่ำกว่าระดับหกเสียด้วยซ้ำ แต่ชายหนุ่มเบื้องหน้านี้กลับตีกลับมาดื้อ ๆ เหมือนหมากำลังหยอกไก่
“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ต้องปกป้องข้าแล้ว” น้ำเสียงของสไปค์ฟังดูจริงจังจนเกินกว่าจะเข้าไปขัด “ตัวจริงของท่าน ถึงเวลาพร้อมเมื่อไหร่ข้าจะรับฟังเมื่อนั้น แต่ในตอนนี้ขอให้ข้าได้ปกป้องท่านเถอะ”
กล่าวจบสไปค์ก็เบนสายตาออกจากฟลอร์เลน และหันไปโฟกัสยังตำแหน่งของมารทั้งสามที่ในตอนนี้เกิดอาการสั่นคลอนขึ้นมาบ้างแล้ว แม้ว่าจิตสังหารของทั้งสามที่พรั่งพรูออกมาพร้อมกับพลังปราณจะหนักหน่วงจนผิวกายรู้สึกแสบคัน แต่สไปค์ก็ไม่ได้กลัวเกรงเลย เขากลับปล่อยปราณไร้ลักษณ์ของตนออกมา สร้างจิตสังหารอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะเข้าข่มฝ่ายตรงข้ามกลับด้วยความดุดันยิ่งกว่า
พอมองจากแรงปะทะด้วยปราณแล้ว ราวกับตอนนี้กำลังเกิดสถานการณ์หนึ่งรุมสามขึ้นมาตงิด ๆ
โมเรนเผลอคิดไปว่าเพียงไม่เจอกันเจ็ดปี ไม่เพียงแค่วัยและร่างกายที่เปลี่ยนแปลง แต่พลังของมันก็สูงส่งขึ้นขนาดนี้
เจ้าหนูในวันวานถึงกับกล้ากระทำการอุกอาจต่อพวกเราได้มากขนาดนี้เชียว?
“เป็นอะไรไป” จู่ ๆ สไปค์ก็ส่งเสียงพูดขึ้นมา “นี่ข้ายังไม่ได้ต่อสู้กับพวกเจ้าทั้งสามเลยนะ”
มานาร์รัสทั้งสามตนถึงกับขนลุกซู่ด้วยอารมณ์สับสน เพราะแม้จะหงุดหงิดใจที่ได้ยินคำพูดจากปากเด็กเมื่อวานซืนในสายตาของตนแบบนั้น แต่ร่างกายกลับไม่ยอมเคลื่อนไหวทำอะไรบ้าบิ่นโดยไม่คิดให้ดีเสียก่อน ใจหนึ่งพวกมันทั้งสามนึกอยากจะฉีกทึ้งเนื้อหนังของเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่ให้ขาดกระเจิงไม่มีชิ้นดี แต่อีกใจหนึ่งกลับระแวงอย่างหนักจนเข้าใกล้กับคำว่าหวาดหวั่น มันเป็นความรู้สึกที่ว่าถ้าบุกเข้าไปโดยไม่รู้จังหวะ อาจจะเป็นตนที่ต้องสิ้นชีวาในพริบตาแน่
เพราะแม้กระทั่งจิตสังหารของทั้งสามที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน ยังถูกจิตสังหารของตัวมันเพียงคนเดียวกดข่มเสียจนเหมือนกับลูกหมากำลังจนตรอก!
กระทั่งฟลอร์เลนยังไม่อยากเชื่อสายตา เธอทราบดีว่าเขาแข็งแกร่งขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะมากมายถึงเพียงนี้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เธอสลายกระบี่ที่สร้างขึ้นจากปราณก่อนจะลดการป้องกันของตนลง เพราะความแข็งแกร่งของสไปค์มันทำให้เธอรู้สึกไว้วางใจได้
“เข้าใจแล้ว พวกข้าทั้งสามเข้าใจแล้วว่าเจ้าไม่เหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อน เจ้าหนู แต่อย่านึกว่าเพียงจิตสังหารระดับนี้จะทำให้พวกข้าหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับได้”
ถึงอย่างไรทั้งสามก็เป็นมารระดับสูงและยังเป็นหนึ่งในหน่วยรบชั้นยอดแห่งโลกของมารด้วยกัน ถ้าหากระดับของพวกเธอยังกลัวเกรงเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวแล้วยังจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน?
“เจ้าหนู เจ้ารู้จักเรื่องนี้หรือเปล่า” เฟียร์แสยะยิ้มออกมา “มารอย่างพวกเราเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่โลกมนุษย์เมื่อใด จำเป็นจะต้องกดข่มระดับพลังปราณในร่างทุกครั้งเพื่อไม่ให้มนุษย์โลกจับผิดได้ ยิ่งเป็นมานาร์รัสอย่างพวกข้าด้วยแล้ว พลังที่ต้องกดข่มยิ่งมีมากขึ้นไปอีก”
ดูเหมือนคนที่เข้าใจความหมายนี้จะมีแค่ฟลอร์เลนคนเดียว สีหน้าของเธอชักกระตุกขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับกายก็มีมือของสไปค์ยื่นเข้ามาขวางเหมือนกับรู้ทัน
“ไม่เป็นไร” เขากล่าวสั้น ๆ โดยไม่หันมามองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นตระหนกของเธอ
บรรยากาศรอบกายของมานาร์รัสทั้งสามเริ่มเปลี่ยนแปลง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงพลังมารที่เต็มไปด้วยความรู้สึกชั่วร้ายปะปนนับไม่ถ้วน ร่างกายของพวกมันขยายขนาดขึ้นมาบ้างนิดหน่อย แต่สัมผัสน่ากลัวที่ได้จากพวกมันกลับทวีคูณราวกับไม่ใช่ตัวมันคนก่อน
ผิวกายบางส่วนถูกปกคลุมไปด้วยเปลือกแข็งหนาแน่น ความจริงสิ่งนี้คือผิวพรรณแท้จริงของพวกมัน เหนือบั้นท้ายของเฟียร์มีหางคล้ายหางของกิ้งก่างอกยาวออกมา ปลายหางนั้นแหลมคมเสมือนรูปทรงของลูกธนู ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปกปิดด้วยผิวแห้งกรังของมารร้าย ดวงตาข้างนั้นกลายเป็นสีขาวโพลนในขณะที่อีกข้างยังคงเป็นสีแดงเช่นเดิม
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของทั้งสามดูไม่ต่างไปจากกันมากนัก ถ้าจะพูดถึงความต่างก็อาจจะเป็นความต่างตรงที่เฟียร์มีหาง โมเรนมีเขาแหลมพร้อมกับปีกงอกออกมาสองข้าง ส่วนไกร่านั้นถูกห่อหุ้มไปด้วยผิวกายที่ดูคล้ายคลึงกับเกราะหนักจนมีสภาพเหมือนก้อนหินยักษ์เดินได้
โมเรนลอยตัวขึ้นไปบนเวหา แว่นตาที่สวมอยู่ปริแตกไปพร้อมกับการกลับคืนสู่ร่างมารเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันบนพื้นดินนั้น ไกร่าเงื้อขวานยักษ์สองคมที่ไม่รู้เอามาจากไหนขึ้นมาพาดไว้บนบ่า พลางเดินตรงไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ส่วนเฟียร์ก็แน่นอน ในองค์ประกอบรวมนี้เธอยืนอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลาง มือของเธอตวัดแส้ใส่อากาศไปมาเหมือนกำลังทำความคุ้นชินกับร่างกายที่ไม่ได้ใช้มานาน
ระบบการต่อสู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ยอดเยี่ยม’ แม้กระทั่งในหมู่มารด้วยกันกำลังจะสำแดงออกมาให้มนุษย์ผู้หนึ่งได้เห็นแล้ว
เมื่อเห็นบรรยากาศและพลังของมารทั้งสามพุ่งสูงขึ้นชนิดที่ก่อนหน้านี้เทียบไม่ติด สไปค์จึงไม่กล้าประมาทอีก เขาตั้งท่าต่อสู้โดยยื่นมือขวาชี้เฉียงขึ้นไปด้านหลัง มือซ้ายตั้งขึ้นเบื้องหน้า ใช้ขาขวายันไว้ด้านหลังเป็นฐานรองรับน้ำหนัก ส่วนขาซ้ายมีหน้าที่ขยับเขยื้อนทั้งจู่โจมและหลบหลีก ปราณไร้ลักษณ์ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ราวกับเป็นเกราะป้องกันภัย มันค่อย ๆ ยืดขยายตัวเองขึ้นจนกลายสภาพเป็นออร่าสีม่วงขนาดมหึมาที่ลอยเด่นอยู่เบื้องหลัง
หากเป็นปราณอื่นที่มีรูปลักษณ์เฉพาะ เมื่อผู้ใช้สามารถฝึกฝนจนแข็งแกร่งจะสามารถเปล่งพลังปราณออกมาจนกลายเป็นรูปลักษณะของสัตว์ร้ายที่เป็นชื่อของปราณได้ แต่กับกรณีของสไปค์นี้กลับไม่ปรากฏรูปลักษณ์ใดเลย สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นปราณไร้ลักษณ์จริง ๆ
ในตอนที่สู้กับฟาร์เชนก่อนหน้านี้ สไปค์ไม่รู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นมากมายเท่าไรนัก นั่นเป็นเพราะฟาร์เชนบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับฟาร์ชูลันมาก่อนหน้าแล้ว ฉะนั้นในการต่อสู้กับพวกเฟียร์ทั้งสามตนในครั้งนี้จึงจะเป็นตัวชี้วัดอย่างจริงจังว่าฝีมือของเขาในตอนนี้ถูกยกระดับขึ้นมากแค่ไหน
เพียงแค่คิดแค่นั้น...ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจนหยุดไม่อยู่แล้ว