บทที่ 3 เจ้าเคยผ่านความสิ้นหวังหรือไม่
บทที่ 3 เจ้าเคยผ่านความสิ้นหวังหรือไม่
เสียงแผดร้องร่ำไห้คร่ำครวญของเด็กอ้วนดังไม่หยุด ก้องสะท้อนอยู่ในสวนสาธารณะ ราวกับว่าอาทิตย์ยามสนทยาจะแตกสลาย แสงสว่างทั้งหมดจะดับวูบ
โลหิตไหลจากแขนขาที่ถูกฉีกขาดและลิ้นขาดวิ่นของสือเสี่ยวไป๋ เสียงครวญครางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เกลียดชังและทรมาน ไม่รู้ว่าก่อนปีศาจตนนั้นจะจากไปได้ลง ‘มนต์’ อะไรบนร่างของเขา แสงสีดำที่ปกคลุมทั่วร่างเขาทำให้เลือดจากแขนขาที่ฉีกขาดพลันหยุดลง อีกทั้งความเจ็บปวดในระดับที่ต้องหมดสติไปแน่ๆ กลับไม่อาจทำให้หมดสติได้อย่างสมบูรณ์
เสียงแผดร้องของเด็กอ้วนผสานกับเสียงหัวเราะเหี้ยมโหดของปีศาจลอยผ่านเข้ามากระทบหูเขาไม่ขาดสาย สือเสี่ยวไป๋พอจะจินตนาการภาพวิธีการทรมานที่ปีศาจใช้กับเด็กอ้วนได้ ครั้งนี้ไม่เหมือนกับหนึ่งคมมีดตัดหัวในครั้งที่แล้ว เพราะครั้งนี้ปีศาจเหมือนจะใช้วิธีทรมานให้ตายทั้งเป็นแบบโลกมนุษย์บนร่างเด็กอ้วนอย่างเหลือทนที่สุด สือเสี่ยวไป๋ทราบดีว่านี่คือการระบายความโกรธที่ตนเป็นคนจุดประกายขึ้น
“เด็กอ้วน ข้าขอโทษ ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ซ้ำยังทำร้ายเจ้าอีก” ในใจของสือเสี่ยวไป๋ขมขื่นอย่างที่สุด การทรมานจิตใจเช่นนี้ทำให้คนเป็นบ้ายิ่งกว่าการทรมานร่างกายเสียอีก
เสียงแผดร้องของเด็กอ้วนค่อยๆ เบาลงจนกระทั่งเงียบไป นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก ยาวนานเหมือนกับผ่านไปหลายล้านศตวรรษ
“ถึงตาเจ้าแล้ว จำชื่อข้าไว้ให้ดี – ซาฮัตตัน ชื่อนี้จะอยู่กับเจ้าตลอดช่วงชีวิตอันแสนสั้นที่ทรมานที่สุด” เสียงอันเยียบเย็นของปีศาจดังก้อง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามา
สือเสี่ยวไป๋ปิดตาลงช้าๆ รอรับการทรมานที่กำลังคืบคลานเข้ามา
“จงเลือกเถอะ หนุ่มน้อย!”
ทันใดนั้น เสียงดุดันดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง สือเสี่ยวไป๋เบิกตาโพลงเห็นเพียงภาพเบื้องหน้าของเขายังคงหยุดนิ่ง หัวของปีศาจกำลังโผล่ออกมาจากรอยแยกสีดำ เรื่องราวทั้งหมดย้อนกลับมาอยู่ในช่วงที่เวลาหยุดนิ่งอีกครั้ง เขายังมีชีวิตอยู่ เด็กอ้วนยังมีชีวิตอยู่ ทั้งหมดกลับมายังจุดเริ่มต้นอย่างสมบูรณ์
แต่ว่าสือเสี่ยวไป๋กลับไม่มีความรู้สึกตะลึง ไม่รู้สึกยินดี ไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงใบหน้าตายด้านซีดเผือดเหมือนกับผีดิบเดินได้ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเป็นความฝันเพื่อหลอกตัวเอง แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องนึกถึงความเป็นจริง
เพราะเหตุใดเขาถึงได้กลับไปยังช่วงเวลาที่ตัวเลือกปรากฏถึงสองครั้งติดต่อกัน ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ความฝัน และไม่ใช่ภาพลวงตา เป็นเพราะเขาพ่ายแพ้ เขาไม่สามารถ ‘ช่วยเด็กอ้วน’ ได้ ดังนั้นเวลาจึงถูกรีเซ็ตใหม่อีกครั้ง
“จะเป็นอย่างไรหากเลือกตัวเลือกอื่น?” เป็นครั้งแรกที่ความคิดนี้แวบขึ้นมา สายตาของเขาเลื่อนไปยังข้อความอีกบรรทัดหนึ่ง – [ หนี ]!
“หากข้าหนีในทันทีต้องหนีได้ทันแน่นอน...เช่นนั้นเวลาก็จะไม่ย้อนกลับมาที่ช่วงเวลานี้อีก ข้าก็จะไม่ตาย แม้ว่าเด็กอ้วนจะต้องตายแต่ก็ไม่ถูกทรมาน...”
“แต่ว่า...ข้าอยาก...ช่วยเขาจริงๆ นะ!”
นัยน์ตาของเขาเพิ่งจะสุกสว่างขึ้นมาก็พลันถูกเมฆทึบปกคลุม ความคิดจมดิ่งลงสู่ความมืดมิด ในใจเริ่มมีเสียงหัวเราะเยาะ
“เจ้าช่วยเขาไม่ได้ เจ้ามันคนอ่อนแอ เป็นขยะชิ้นหนึ่ง เจ้าปกป้องอะไรไม่ได้เลย”
“เข้าใจหรือยัง? เจ้าไม่ใช่พระเอกและไม่ใช่ฮีโร่...เจ้ามันก็แค่เด็กนักเรียนทั่วไปที่เห็นได้เกลื่อนบนท้องถนนเท่านั้น...แต่หากจะเอาเจ้าไปเขียนเป็นตัวเอกในละครสักเรื่องแล้วล่ะก็ เช่นนั้นคงต้องเป็นละครโศกนาฏกรรมเป็นแน่...”
“ขนาดตัวเจ้าเองยังช่วยไม่ได้ จะช่วยคนอื่นได้เหรอ?”
“ไม่ยุติธรรมงั้นหรือ? ความไม่ยุติธรรมทั้งหมดบนโลกใบนี้ก็เพราะความสามารถของคนในทีมไม่เพียงพอ เด็กอ้วนต้องตายเพราะเขาไม่มีความสามารถที่จะอยู่ต่อ...แต่เจ้าทำได้ เจ้ามีชีวิตรอดต่อไปได้!”
“หนี หนี จงหนีเถิด! มีเพียงการหนี เจ้าถึงจะมีชีวิตรอดต่อไปได้!”
เสียงนี้มีมนต์สะกดให้คนเคลิบเคลิ้ม นัยน์ตาของสือเสี่ยวไป๋ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ หากเลือกตัวเลือก [ ช่วยเด็กอ้วน ] อีก นั่นคงมีแต่ทำให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่หากเลือก [ หนี ] ความทุกข์ทนขมขื่นของเขาก็จะสิ้นสุดลง เขาจะได้รับการปลดปล่อย
ภาพความเลือดเย็นโหดเหี้ยมแวบเข้ามาในหัวของสือเสี่ยวไป๋เป็นฉากๆ คล้ายกำลังคร่ำครวญให้กับความทรมานและความหวาดกลัวที่เขาพบเจอก่อนหน้านี้ เหมือนกับอำนาจจิตที่กำลังชักจูงให้เขาแน่วแน่กับการหนี
ทันใดนั้นเอง ภาพในหัวของเขากลับหยุดนิ่งอยู่กับลูกบอลลูกหนึ่ง บอลลูกนั้นลอยท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้ามากระทบปีศาจเบาๆ มันเบามากจริงๆ แต่ราวกับหนักดุจทองพันชั่ง
จิตวิญญาณและอารมณ์ย้อนกลับไปสู่วัยเด็กอีกครั้ง นัยน์ตาที่มืดมิดราวกับค่ำคืนอันยาวนาน แต่ก็สว่างจ้าราวกับรุ่งอรุณของเด็กหนุ่ม ความศรัทธาไม่ยอมแพ้อันแน่วแน่ผุดขึ้นมาจากเบื้องลึกของหัวใจ
“ข้าขอเลือก...”
......
นี่เป็นพลบค่ำที่ยาวนานเหลือเกิน เห็นอยู่ชัดว่ามันคือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายก่อนที่ราตรีจะมาเยือน แต่กลับชักช้าไม่อาจละทิ้งไปได้ ยังกำแสงสุดท้ายไว้แน่น เบ่งบานความอบอุ่นที่่หลงเหลืออยู่
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เวลากลับมาเดินอีกครั้งแล้ว
ลำคอของปีศาจโผล่ขึ้นมาจากรอยแยก เด็กอ้วนยังคงยึดมั่นในความแน่วแน่สุดท้ายเหมือนดั่งกำแพงที่พร้อมจะพังถล่มได้ทุกเมื่อ หนึ่งฉากโศกนาฏกรรมกำลังจะฉายขึ้นอีกครั้งแล้ว
“ฮะฮาฮ่า! ท่านซาฮัตตันผู้ยิ่งใหญ่ ข้าน้อย...ข้าน้อยคำนับดินแดนแห่งมารมาหลายพันปี ในที่สุดก็ได้พบท่านแล้ว เพื่อเป็นสักขีพยานว่าโลกที่ล่มสลายใบนี้จะศิโรราบอยู่ใต้เท้าของท่าน ข้าน้อยรอคอยอย่างทุกข์ทรมานเหลือเกิน!”
เสียงประจบด้วยความปิติยินดีดังขึ้นมา เห็นเพียงสือเสี่ยวไป๋คุกเข่าทั้งสองลง สองมือชูสูง โขกศีรษะคารวะที่พื้นสามครั้ง หน้าผากกระทบกับพื้นแข็งเกิดเป็นเสียงก้องใส
ร่างของปีศาจเพิ่งจะโผล่ออกมาได้เพียงครึ่ง กำลังจะตัดหัวเด็กน้อยที่ด่ามันว่า ‘ไอ้หัวล้าน’ ตรงหน้าผู้นั้น เมื่อได้ยินคำพูดของสือเสี่ยวไป๋ จึงหันหน้าไปมองพร้อมกล่าวอย่างเหลือเชื่อ “เจ้า...มนุษย์ ทำไมถึงรู้จักชื่อของข้า?”
สือเสี่ยวไป๋ลุกขึ้นฉายแววตาอันคลั่งไคล้ “ข้าน้อยเฝ้ารอการมาเยือนของท่านมาโดยตลอด! ท่านคือราชาของข้าน้อย และเป็นผู้ปกครองจักรวาล แล้วข้าน้อยจะไม่รู้ชื่อของท่านได้อย่างไรกัน”
“ผู้ยิ่งใหญ่ที่มืดดำยิ่งกว่าพลบค่ำ การคงอยู่ที่แดงสดยิ่งกว่าสายโลหิต นั่นคือตัวท่าน คือความปรารถนาสูงสุดของท่าน นายท่านซาฮัตตัน ก่อนความมืดมิดจะมาเยือนข้าน้อยได้ใช้โลหิตสาบานไว้ว่าข้าน้อยยินดีอุทิศร่างกายของตัวเอง แผดเผาจิตวิญญาณของตัวเอง เพื่อหยุดยั้งทุกสิ่งที่โง่เขลาตรงหน้าท่าน ขอเพียงได้เป็นก้อนอิฐชิ้นเล็กรองฐานแห่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของท่านแล้ว แม้ตายข้าน้อยก็ไม่เสียใจ”
สายตาซาฮัตตันผ่อนคลายลงแล้วค่อยๆ ปล่อยวางความระแวดระวังและความรู้สึกเป็นศัตรูลง การเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ต่ำต้อย ได้รับคำสรรเสริญเช่นนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของมันเลยทีเดียว
“พี่ชาย ท่านเป็นอะไรไป? พี่ชาย...” น้ำเสียงสับสนและหวาดกลัวของเด็กอ้วนดังขึ้น
ซาฮัตตันได้สติขึ้นโดยพลัน เจ้าเด็กที่ตะโกนเรียกมันว่า ‘ไอ้หัวล้าน’ มันสมควรตาย! ซาฮัตตันยกมือขวาขึ้นทันที หมายจะตัดลำคอเด็กอ้วนให้ขาดสะบั้น
“ช้าก่อน! ท่านซาฮัตตันผู้ยิ่งใหญ่! โปรดฟังคำของข้าน้อยสักหน่อยเถิด!” เสียงรีบร้อนของสือเสี่ยวไป๋ดังขึ้น
“อะไร?” ซาฮัตตันยั้งมือ พลางใช้สายตาสำรวจมองไปยังสือเสี่ยวไป๋ ความระแวดระวังและความรู้สึกเป็นศัตรูผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“คนผู้นี้ด่าว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่ต้องได้รับโทษตายเป็นหมื่นครั้ง! แต่ไม่ควรให้เขาตายอย่างง่ายดายเด็ดขาด จะต้องลงทัณฑ์ทรมานให้ตายไปด้วยความเคียดแค้น! ทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะผ่อนปรนความเกลียดชังของข้าน้อยได้!”
น้ำเสียงสือเสี่ยวไป๋เต็มไปด้วยความโกรธเกลียดเคียดแค้น พลางก้าวเท้าเดินไปยังบ่อทราย
“พี่ชาย?” เด็กอ้วนน้ำตาคลอเบ้า แววตาไม่อยากเชื่อจับจ้องสือเสี่ยวไป๋ แต่ยังแฝงความหวังอันเจือจางอยู่
สือเสี่ยวไป๋กลับมองข้ามไป แล้วหันไปกล่าวอย่างเคารพต่อปีศาจ “ข้าน้อยเห็นว่าการทรมานทางจิตใจมันเจ็บปวดกว่าการทรมานร่างกายหลายเท่านัก! ข้าน้อยจะฉีกความหวังที่เหลือน้อยนิดของเขาให้ขาดกระจุย ไม่ให้มีที่ปกปิดความสิ้นหวังได้อีก”
สือเสี่ยวไป๋หันกลับมามองเด็กอ้วน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ามนุษย์โง่เขลาต่ำต้อย เจ้าคิดว่าพี่ชายเจ้าเป็นฮีโร่จริงหรือ? เจ้าคิดว่าพี่ชายเจ้าจะช่วยเจ้าได้หรือ? ไม่ใช่เลย คำพูดพวกนั้นเป็นคำโกหกจอมปลอมทั้งสิ้น เข้าใจแล้วใช่ไหม? สิ้นหวังแล้วใช่ไหม?”
สือเสี่ยวไป๋หัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลางเดินมาหยุดข้างบ่อทราย ทันใดนั้นเขายกเท้าข้างหนึ่งถีบร่างเด็กอ้วนจนลอยกระเด็น แผดร้องอย่างเจ็บปวด
“ท่านซาฮัตตันผู้ยิ่งใหญ่ ท่านพักผ่อนก่อนเถิด ให้ข้าน้อยสั่งสอนมนุษย์โง่เขลาผู้นี้ว่าอะไรคือความสิ้นหวัง”
สือสี่ยวไป๋เดินเข้าไปหาเด็กอ้วนที่นอนฟุบอยู่กับพื้น ในดวงตาเหมือนดั่งมีปีศาจโหดเหี้ยมที่สุดสิงอยู่
“มนุษย์โง่เขลา เจ้าเคยผ่านความสิ้นหวังหรือไม่?”