บทที่ 2 : หากความสิ้นหวังมีสี
บทที่ 2 : หากความสิ้นหวังมีสี
“จงเลือกเถิด หนุ่มน้อย!”
เสียงดุดันดังก้องในหัวของเขา เบื้องหน้ายังคงเป็น ข้อความสีดำสามบรรทัด [ ช่วยเด็กอ้วน ] , [ หนี ] เและ [ ชมเหตุการณ์ ] เวลาถูกหยุดนิ่งไว้เช่นเดิม เหมือนว่าตอนจบของเรื่องถูกพลิกกลับ เรื่องราวได้เริ่มต้นใหม่ขึ้นอีกครั้ง
“หรือว่าเมื่อกี้เป็นแค่ฝันไป? ความสามารถในการหยั่งรู้อนาคตของข้าได้ตื่นขึ้นในโลกนี้แล้ว?” ในหัวของสือเสี่ยวไป๋สับสนไปหมด เมื่อย้อนนึกถึงประสบการณ์น่ากลัวเมื่อครู่ ก็อดไม่ได้ที่จะหวาดผวา แต่ก็ได้จุดประกายความมุ่งมั่นที่จะลุกขึ้นสู้อย่างแรงกล้า
“ถ้าหากนี่คือตัวเลือกแห่งชะตาชีวิต ข้าสือเสี่ยวไป๋จะต้องหยุดจุดจบของเหตุการณ์นี้ เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเด็กอ้วนที่ต้องตายให้ได้”
“แต่...ข้าที่ถูกเทพแห่งความมืดผนึกไว้ ยากจะเอาชนะเคียวยมทูตของไอ้ปีศาจหัวล้านนั่นได้จริงๆ! หรือนี่จะเป็นเคราะห์กรรมด่านแรกในวังวนชีวิตเป็นตายไม่สิ้นสุดนี้?”
“เฮ้อ ก่อนจะผ่านเคราะห์กรรมนี้ ข้าจะต้องหาทางช่วยเด็กอ้วนให้ได้ก่อน”
หลังจากผ่านเหตุการณ์โชกเลือดและน่าสะพรึงกลัวดั่งฝันร้ายเมื่อครู่ สือเสี่ยวไป๋ก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง มนุษย์เมื่อถูกฆ่าก็ต้องตาย ลำคออันบอบบางนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเคียวอันคมกริบก็นิ่มยิ่งกว่าเต้าหู้ ขาดง่ายยิ่งกว่าฟางข้าว เด็กอ้วนตรงหน้าปีศาจนั่นอ่อนแอซะจนทนรับการโจมตีไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว
“น่าขยะแขยง ที่แท้ศัตรูรู้ว่าเด็กอ้วนเป็นจุดอ่อนของฮีโร่ทีมเสี่ยวไป๋ เลือกโจมตีจุดอ่อนก่อนเพื่อทำให้ทีมอ่อนแอและเอาชนะได้โดยง่าย ต่ำช้าที่สุด คิดไม่ถึงว่าที่แท้สันดานของไอ้ล้านนั่นจะเป็นแบบนี้ ไม่ได้การข้าจะต้องหาทางทำลายด่านนี้ไปให้ได้”
ใจของสือเสี่ยวไป๋ร้อนรน แต่คิดจนหัวแทบแตก เขาก็ยังไม่สามารถหาวิธีหยุดยั้งการตายของเด็กอ้วนในสถานการณ์นี้ได้
ทันใดนั้น เสียงดุดันในหัวก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา เริ่มนับถอยหลังช้าๆ “สิบ เก้า แปด ...”
ที่แท้การเลือกก็มีเวลาจำกัด! สือเสี่ยวไป๋เริ่มลนลาน รู้สึกโชคร้ายสุดๆ เขาไม่รู้ว่าหากเลยกำหนดเวลาไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น แต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่า ต้องตัดสินใจเลือกให้ได้ก่อนการนับถอยหลังจะสิ้นสุดลง สำหรับเขาจะเลือกข้อไหนไม่ลังเลเลย แต่ว่าหากเลือกไปแล้วจะทำอย่างไรต่อ เขาไม่รู้เลย
“มีแค่วิธีนี้แหละ…” ในช่วงเวลาสุดท้าย สือเสี่ยวไป๋พลันนึกถึงนัยน์ตาสีดำเปี่ยมไปด้วยความหวังคู่นั้น สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจใช้วิธีการหนึ่งที่เขาเคยตัดทิ้งตั้งแต่แรก
“เด็กอ้วน ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้”
ตอนนี้เอง สือเสี่ยวไป๋ได้ตัดสินใจเลือกอีกครั้ง
เมื่อเขาเลือกคำตอบ เวลาที่หยุดนิ่งเริ่มเดินอีกครั้ง เด็กอ้วนสั่นกลัวทว่ายังยืนหยัดอยู่ในบ่อทราย ปีศาจยังคงค่อยๆ คืบคลานออกมาจากรอยแยกสีดำ แต่ในครั้งนี้สือเสี่ยวไป๋ไม่ได้ร้องตะโกนให้รีบหนีไป และก็ไม่ได้กระโจนตัวไปข้างหน้า
สือเสี่ยวไป๋ยกมือทั้งสองขึ้นป้องปาก สูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง หลับตาลง ราวกับว่าต้องใช้พละกำลังทั้งหมด แล้วตะโกนออกไปสุดเสียง “ไอ้หัวล้าน ไอ้โล้นกระจอก! ให้ข้าเหยียบบนหัวล้านวิ้งวับของเจ้าสิ แล้วข้าจะเมตตาให้เจ้าได้เลียรองเท้าข้า! คลานมาคุกเข่าตรงหน้าข้านี่ ไอ้-หัว-ล้าน!”
เมื่อสือเสี่ยวไป๋ตะโกนเสร็จก็ลืมตาขึ้น ในใจคิดว่าต้องสำเร็จ จะต้องสำเร็จนะ
ปีศาจในหลุมดำได้ยินเสียงตะโกนของสือเสี่ยวไป๋ มือขวาที่ยกขึ้นก็หยุดชะงัก ค่อยๆ หันหัวน่ากลัวนั้นมายังตำแหน่งที่สือเสี่ยวไป๋ยืนอยู่
“สำเร็จแล้ว วิธีหันเหความสนใจ สำเร็จแล้ว! ดี เติมเชื้อไฟเข้าไปอีกหน่อย!” สือเสี่ยวไป๋ตื่นเต้นดีใจ รีบป้องปากตะโกนอีกครั้ง “กลัวจนตัวสั่นเลยสินะ สิ้นหวังสินะ ไอ้หัวล้าน! วันอวสานของเจ้ามาถึงแล้ว!”
“รน...หา...ที่...ตาย!” ดวงตาสีเขียวเข้มของปีศาจร้ายเต็มไปด้วยความโกรธ น้ำเสียงแหบแห้งแหลมคม ราวกับว่าอยากจะบดขยี้สือเสี่ยวไป๋ที่อยู่ไกลๆ ให้เป็นชิ้นๆ
“ข้าได้ยินเสียงอะไรน่ะ อ้อ ที่แท้ก็เป็นเสียงสะอื้นของพวกอ่อนแอนี่เอง!” สือเสี่ยวไป๋หัวเราะล้อเลียน พลางส่ายหัว โยกนิ้วชี้ซ้ายทีขวาที ต่อด้วยกำมือแล้วคว่ำนิ้วโป้งลง สายตาท้าทายแฝงไปด้วยการดูถูกอย่างไม่ปิดบัง
“พวกมนุษย์...โง่เง่า...ข้าจะต้อง...ฉีกเจ้าให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น!” ปีศาจร้ายตะโกน ในที่สุดขาข้างหนึ่งก็ก้าวออกจากหลุมดำ ลำตัวร่วงลงบนบ่อทราย ไม่แยแสเด็กอ้วนตรงหน้า หันกายเดินมาทางสือเสี่ยวไป๋
ใจของสือเสี่ยวไป๋หวาดกลัวจนแทบยืนไม่อยู่ แต่ปากยังคงด่าต่อไป “หุบปาก! เจ้าน่ะ ไอ้พันธุกรรมกระจอกทำได้แค่หายใจ ยังหลงคิดว่าตัวเองมีโอกาสหายใจอยู่อีกหรอ? ฮ่าๆ ปอดของเจ้านี่เยี่ยมจริงๆ เอาแต่สร้างคาร์บอนไดออกไซด์ สละแรงใจช่วยโลกร้อนหน่อยดีไหม? เทียบกับปลาในคลองที่ทำได้แค่ใช้เหงือกหายใจเเล้ว เจ้ามีคุณสมบัติเหมาะจะเป็นปศุสัตว์ของข้ามากกว่าเยอะ…”
“หึหึ…” ปีศาจแสยะยิ้ม เคลื่อนกายมาทางสือเสี่ยวไป๋ทีละก้าว ทั่วลำตัวสีดำม่วงมหึมามีแต่ก้อนเนื้อดิ้นไปมาราวกับหนอน บางคราก็เปิดตาสีเขียวเข้มที่ผิวหนัง ดูน่าอึดอัดและน่ากลัว
ขาทั้งสองข้างของสือเสี่ยวไป๋สั่นอย่างรุนแรง สมองสั่งการให้เขารีบวิ่งหนีเอาชีวิตรอด สายตาก็พลันเห็นเด็กอ้วนในบ่อทราย เด็กอ้วนยังคงกำมือเตรียมพร้อมอยู่ตรงนั้น ราวกับว่ากำลังรอดูว่าเขาจะจัดการปีศาจนั่นอย่างไร
“ไม่ได้ ถ้าข้าหนี เด็กอ้วนต้องตายแน่ๆ จะตะโกนเตือนเด็กอ้วนให้รีบหนีไปก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นไอ้โล้นนั่นอาจจะเบนความสนใจไป”
ใจของสือเสี่ยวไป๋คิดเช่นนี้ แต่ขากลับอดก้าวถอยหลังไม่ได้ ยกมือขวาไปด้านหน้า พูดกับปีศาจว่า “อย่าเข้ามาใกล้ข้า มิเช่นนั้นเจ้าจะรับแรงดันวิญญาณที่น่าสะพรึงที่สุดบนโลกนี้ไม่ไหวจนร่างระเบิดตาย!”
เสียงพูดยังไม่ทันจบ ทันใดนั้นก็มีแสงเย็นเยือกวูบนึงตัดฉับ ดวงตาทั้งสองข้างของสือเสี่ยวไป๋เบิกกว้าง เห็นแค่มือขวาของตนลอยละลิ่วสู่ท้องฟ้า ท่ามกลางแสงแดดยามเย็น เลือดอุ่นๆ สีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมาราวกับสีพระอาทิตย์ตก
“อ๊า!” สือเสี่ยวไป๋ร้องออกมา มือซ้ายรีบคลำร่างกายฝั่งขวา แต่พบเพียงเนื้อและเลือดเปียกๆ เมื่อหันมองอย่างหวาดหวั่นก็พบว่าด้านขวาเหลือแขนเพียงครึ่งเดียว
ในขณะที่เผชิญกับความเจ็บปวด จู่ๆ รู้สึกว่าแสงเหนือศีรษะถูกกลืนหายไป มีเงาดำหนึ่งทาบทับเขาอยู่ สือเสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้นอย่างสั่นกลัว พบว่าเจ้าปีศาจมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ร่างกายสีม่วงดำน่าเกลียดนั้นบดบังวิสัยการมองเห็นของเขาอย่างสิ้นเชิง
“เด็กอ้วนจะต้องรู้แน่ๆ ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องโกหก เด็กอ้วนจะต้องรีบหนีไปแน่ ขอเพียงถ่วงเวลาให้เขาสักหน่อย เด็กนั่นจะต้องหนีรอดแน่ เพียงแค่ยืดเวลาอีกนิด…”
ใจของสือเสี่ยวไป๋คิดเช่นนั้น ริมฝีปากสั่นระริก กระแอมไอพูดระคนเจ็บปวดว่า “จะมือหรือจะเท้า แบ่งให้เจ้าหน่อยจะเป็นอะไรไป ต่อให้เนื้อหนังของข้าฉีกขาด หากเคียวน่าเกลียดนั่นของเจ้าสามารถทำลายอนาคตอันน่าเวทนาที่เจ้าลิขิตไว้ได้ ก็ลองดูสิ ฮ่าฮ่าฮ่า...”
“ข้าจะฉีกเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น” เสียงของปีศาจนิ่งและเยียบเย็น ยกมือขวาขึ้นเขย่าติดต่อกันสามครั้ง ลำแสงหนาวเหน็บสามสายวูบผ่านเพียงแวบเดียว แขนขาของสือเสี่ยวไป๋ก็ขาดวิ่น ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาทั้งสองเบิกโพลงเหมือนจะถลนออกมา เสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังออกมาจากปากที่อ้ากว้างจนคล้ายจะฉีกขาด ก้องดังไปทั่วฟ้า
หลังจากนั้นยังมีลำแสงผ่านมาอีกวูบหนึ่ง ลิ้นของสือเสี่ยวไป๋กลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา เสียงกรีดร้องได้กลายเป็นเสียงครวญครางนองไปด้วยน้ำตา
“ตุ้บ!”
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเสียงนั้นดังมาจากทางด้านหลังของปีศาจ ลูกบอลเต็มไปด้วยฝุ่นลูกหนึ่งลอยมาทางด้านหลังของมัน ก่อนจะหล่นลงบนพื้นเย็นเยียบ
“หึหึ ข้าเกือบลืมเจ้าไปเลย” แววตาของปีศาจร้ายเย็นยะเยือก เท้าข้างหนึ่งเหยียบลูกบอลจนระเบิด พลิกตัวหันกลับไปทางบ่อทราย
“อื้อ...อื้อ...อือ...อือ…” เมื่อไม่มีแขนขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ เมื่อไม่มีลิ้นก็ไม่สามารถพูดได้ สือเสี่ยวไป๋ร้องครวญคราง น้ำตาหลั่งเป็นสายเลือด
หากความสิ้นหวังมีสีล่ะก็ คงจะต้องเป็นหินสีขาว[1]แน่ๆ
[1] หินสีขาว คือความหมายของ สือเสี่ยวไป๋ (石小白) ชื่อของตัวละครเอก