บทที่ 2 ข้ามเขตอันตราย
บทที่ 2 ข้ามเขตอันตราย
เมื่อแสงสุดท้ายของวันลาลับขอบฟ้าไป หลิงม่อก็กลับมาถึงที่พักชั่วคราวพอดี
มันเป็นตึกเล็กๆ ที่ดูธรรมดาไม่ได้โดดเด่น นอกจากจะมีประตูเหล็กที่แข็งแรงแน่นหนาแล้ว ยังมีดาดฟ้าที่สามารถกระโดดหนีไปยังตึกด้านข้างได้ แถมบริเวณด้านหน้าและด้านหลังตึกก็มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง บวกกับเดิมทีที่ที่นี่เป็นเขตชานเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้รอดชีวิตหรือซอมบี้ก็มีจำนวนน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับในเมือง มันจึงค่อนข้างปลอดภัยทีเดียว
แล้วที่สำคัญที่สุดก็คือ เดิมทีที่นี่เป็นโกดังของโรงงานเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง มันจึงตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นสีคุณภาพต่ำและกลิ่นไม้ ซึ่งมันสามารถกลบกลิ่นของหลิงม่อได้จนหมด
แม้สัตว์ประหลาดพวกนั้นจะถูกไวรัสเล่นงาน แต่สัมผัสทั้งห้าก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด หนำซ้ำกลับมีสัมผัสทั้งห้าที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม แม้จะเป็นเวลากลางคืนก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ส่วนการได้ยินและการได้กลิ่นก็ล้วนดีกว่าคนธรรมดาอย่างเทียบไม่ติด
ก่อนที่จะเข้านอน หลิงม่อได้ให้เจ้าหุ่นซอมบี้กินเนื้อแช่แข็งที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่า จากนั้นทิ้งมันให้อยู่ข้างนอกประตูเหล็กและล็อกอย่างแน่นหนา เขาถึงจะนอนหลับพักผ่อนได้อย่างสบายใจ
แม้แต่ในยามหลับ หลิงม่อก็ไม่ได้ตัดการเชื่อมต่อทางจิตระหว่างตัวเองกับเจ้าซอมบี้ตัวนั้น ซึ่งการทำแบบนี้อาจสร้างความเหนื่อยล้า แต่ทางหนึ่งก็ได้ฝึกฝนตัวเอง อีกทางหนึ่งก็จะได้ตื่นตัวอยู่ตลอด
เขาทั้งต้องให้ตัวเองได้พักผ่อน และต้องรักษาการเชื่อมต่อกับหุ่นซอมบี้ พูดน่ะมันง่าย แต่พอลงมือทำจริงๆ มันยากแสนยาก หลิงม่อเองก็ต้องพยายามอยู่หลายครั้งหลายหนจึงจะสามารถทำได้ในระดับหนึ่ง เดี๋ยวนี้เวลานอน เขาจะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ตลอดเวลา จนแม้กระทั่งสามารถได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว
แต่วันนี้หลิงม่อกลับนอนไม่หลับสักที เงาร่างหนึ่งคอยผุดแวบขึ้นมาในหัวเขาอยู่ตลอด...
หลังจากพ่อแม่จากโลกนี้ไป คนที่เขานึกถึงและห่วงหาที่สุดในโลกนี้ก็เหลือเพียงแค่เธอ หญิงสาวที่เขาแอบรัก ทั้งยังเป็นน้องสาวข้างบ้านที่เติบโตเล่นด้วยกันมาแต่เด็กๆ เธอคือเย่เลี่ยน
ช่วงที่ความหายนะปะทุขึ้น สายโทรศัพท์สุดท้ายที่ได้รับก็เป็นสายของเธอ
“พี่หลิง หนีเร็ว!”
คำสี่คำสั้นๆ หลังจากนั้นก็กลายเป็นเสียงสายไม่ว่างดัง “ตู๊ดๆ”...
ที่จริงหลิงม่อเองก็รู้ดีแก่ใจว่า เย่เลี่ยนคงจะไม่รอดแล้ว ตอนที่ความหายนะมาเยือน เธอกำลังอยู่ระหว่างเดินทางมาที่พักของเขาเพื่อมาทำอาหารเย็นที่เหมาะสมให้เขา และช่วยจัดแจงสภาพความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น...
ด้วยเหตุนี้เอง หลิงม่อจึงมีปมที่ติดอยู่ในใจมาตลอด ไม่ว่าจะยังอยู่หรือตายไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะต้องไปตามหาเย่เลี่ยนให้เจอ
“พรุ่งนี้ล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะไปตามหาเธอ...”
เตรียมตัวมานานขนาดนี้ หลิงม่อคิดว่าด้วยความสามารถในการควบคุมหุ่นซอมบี้ของเขาน่าจะสามารถข้ามผ่านเขตตัวเมืองนี้ไปได้
เขาได้ร่างภาพสถานที่ที่เธออาจจะปรากฏตัวไว้อยู่ในหัวเรียบร้อยแล้ว มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก แต่ว่ามีชุมชนที่อยู่อาศัยเล็กๆ สองชุมชนกั้นกลางอยู่ ซึ่งนับเป็นพื้นที่หนึ่งที่อันตรายที่สุดเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะผ่านไปได้อย่างปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลิงม่อได้เตรียมพร้อมไว้เต็มที่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเลย ตอนนี้เขาแค่ต้องรอจนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้...
พอฟ้าสาง หลิงม่อก็ลืมตาขึ้น แล้วกระโดดลงจากเตียงนุ่มแบบกึ่งสำเร็จรูป จากนั้นจัดระเบียบข้าวของในเป้อีกครั้ง ก่อนจะสูดหายใจลึกและก้าวเท้าลงบันไดไป
ภายใต้การควบคุมของเขา เจ้าหุ่นซอมบี้ตัวนั้นจึงทำตัวเรียบร้อยอยู่ด้านนอกประตูตลอด เสื้อผ้าของมันโดนลมหนาวจนเปียกชื้นไปหมด แต่ดูๆ แล้วมันกลับไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าเลยสักนิด
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไวรัสที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้างอย่างกะทันหันชนิดนั้น ไม่เพียงทำให้ผู้คนมากมายกลายเป็นสัตว์ประหลาด แต่ยังทำให้ร่างกายของพวกมันแข็งแกร่งเป็นพิเศษอีกด้วย แต่หลิงม่อก็สังเกตเห็นว่าพวกมันจำเป็นต้องรักษาระดับการเผาผลาญที่รวดเร็วของร่างกาย สัญชาตญาณจึงสั่งให้พวกมันกินอาหารไม่หยุด และแหล่งอาหารอันโอชะก็หนีไม่พ้นมนุษย์ผู้มีชีวิตรอดจากการติดเชื้อ
หลังจากกำมีดสำหรับเลาะกระดูกแน่นแล้ว หลิงม่อก็เปิดประตูเหล็กออกและควบคุมเจ้าหุ่นซอมบี้ให้เดินไปยังเส้นทางที่ตัวเองได้วางแผนเอาไว้
ทันทีที่เข้าสู่เขตชุมชนที่อยู่อาศัย จำนวนซอมบี้ที่เดินเพ่นพ่านบนถนนก็เพิ่มมากขึ้น ในสถานที่แบบนี้ วิธีการใช้เสียงดึงดูดความสนใจคงไม่ได้ผล เพราะสภาพแวดล้อมมันซับซ้อนเกินไปจนอาจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายได้ง่าย
มีเพียงวิธีเดียวก็คือเลือกเส้นทางที่มีซอมบี้ค่อนข้างน้อย และเดินผ่านให้เงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้
การที่คนธรรมดาจะมาเดินในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก โชคดีที่หลิงม่อมีหุ่นซอมบี้อยู่ด้วย
ด้วยการร่วมมือกันของเจ้าหุ่นซอมบี้ทำให้หลิงม่อฆ่าซอมบี้ได้นับสิบกว่าตัว จนในที่สุดก็สามารถผ่านเขตพื้นที่นี้ไปได้และมาถึงถนนใหญ่สายหนึ่งที่อดีตเคยเจริญรุ่งเรือง
บริเวณนี้นับว่าเป็นเขตแบ่งกั้นระหว่างตัวเมืองกับชานเมือง ซึ่งจากการคาดการณ์ของหลิงม่อ ตอนที่เย่เลี่ยนโทรศัพท์มา เธอน่าจะอยู่ตรงไหนสักแห่งบนถนนเส้นนี้
บนถนนเต็มไปด้วยรถยนต์ที่ถูกทิ้งร้าง บรรดาร้านรวงต่างๆ ล้วนเปิดประตูทิ้งอ้าไว้ พอมองเข้าไปก็เห็นแต่ความมืดมิด
นอกจากรอยคราบเลือดที่มีให้เห็นอยู่ทั่วทุกแห่งแล้ว ที่นี่ก็เห็นจะเหลือแต่ซอมบี้เท่านั้น
แม้หลายวันมานี้จะฆ่าซอมบี้ไปมากมาย แต่หลิงม่อเพิ่งจะเคยเห็นซอมบี้มารวมตัวกันเยอะขนาดนี้เป็นครั้งแรก เท่าที่มองดูอย่างคร่าวๆ ก็น่าจะมีสักประมาณยี่สิบสามสิบตัวเห็นจะได้ นี่ยังไม่ได้นับพวกที่ซ่อนตัวในที่มืดอีกนะ
หลิงม่อตั้งใจว่าจะขึ้นไปยังบริเวณที่สูงเพื่อสำรวจสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าระหว่างที่เดินไปยังอาคารที่อยู่อาศัยหลังหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังอยู่ไม่ไกลนัก
“ช่วยด้วย!”
นึกไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะยังมีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่อีก! หลิงม่อรีบควบคุมเจ้าหุ่นซอมบี้ให้เคลื่อนไปยังทิศทางที่มาของเสียงอย่างระมัดระวัง
ด้านนอกอาคารที่อยู่อาศัยหลังหนึ่งมีซอมบี้สิบกว่าตัวรวมตัวกันอยู่ พวกมันกำลังพังประตูนิรภัยอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนด้านหลังประตูมีวัยรุ่นสีหน้าหวาดกลัวอยู่สองคน พวกเขายันประตูอย่างเอาเป็นเอาตายพลางตะโกนร้องขอความช่วยเหลืออย่างสุดชีวิต
“เจ้าพวกโง่...” หลิงม่อขมวดคิ้วแน่น ก่อนหันไปมองรอบด้านด้วยความตึงเครียด
ร้องแรกแหกกระเชอแบบนี้รังแต่จะดึงดูดพวกซอมบี้มามากกว่าเดิม เดิมทีหลิงม่อคิดจะใช้กำลังทั้งหมดที่มีช่วยพวกเขา แต่ดูจากตอนนี้แล้วถ้าหลับหูหลับตายื่นมือเข้าไปช่วยก็มีแต่จะทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย
จากนั้นไม่นานซอมบี้ก็แห่กันมาตามที่คาดไว้จริงๆ ประตูนิรภัยถูกชนกระแทกส่งเสียงดังปังๆ ไม่หยุด จนบริเวณเชื่อมต่อกับกำแพงเริ่มโยกคลอนอย่างเห็นได้ชัด
สีหน้าของเจ้าเด็กสองคนนั้นซีดเผือดและกรีดร้องเสียงโหยหวนด้วยความหวาดกลัวสุดขีด...
ตึง!
เกิดเสียงดังสนั่น ในที่สุดประตูนิรภัยก็พังครืนลง ส่วนเสียงกรีดร้องของเด็กวัยรุ่นสองคนนั้นจมหายไปอย่างรวดเร็ว...
แต่สำหรับหลิงม่อแล้วนี่กลับเป็นโอกาส ระหว่างที่ซอมบี้ทั้งหลายพากันมาตรงนี้ เขาก็ฉวยโอกาสผ่านพื้นที่นี้ไปได้พอดี
หลังจากข้ามผ่านจุดชุมนุมของเหล่าซอมบี้มาได้อย่างราบรื่นแล้ว ยังไม่ทันที่หลิงม่อจะได้ดีใจก็ต้องพบว่าตรงสี่แยกข้างหน้าถูกรถประจำทางหนึ่งคันและรถยนต์อีกสามสี่คันจอดขวางทางอยู่
ตอนที่ความหายนะปะทุขึ้น จำนวนรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุมีไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรถประจำทางที่บรรทุกผู้โดยสารอยู่เต็มคันรถ ไม่ว่าผู้โดยสารในรถจะกลายเป็นซอมบี้ หรือว่าตกใจกลัวกับสถานการณ์บนท้องถนน ก็ล้วนอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติอันน่าสยดสยองเช่นนี้ได้ทั้งสิ้น
ดูจากสภาพการณ์แล้ว รถประจำทางคันนี้คงชนกับรถยนต์ขาซิ่งตีนผีพวกนี้ต่อกันเป็นทอดๆ จนสภาพรถไม่หลงเหลือเค้าเดิม
ไม่รู้ว่าผู้โดยสารภายในรถเป็นอย่างไรบ้าง อาจจะติดอยู่ข้างในจนตาย หรือบางทีอาจจะกลายเป็นซอมบี้กันไปหมด...
ตอนแรกหลิงม่อจะเดินอ้อมไป แต่ขณะที่จ้องมองรถประจำทางคันนี้ สมองเขาก็พลันเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
ทุกครั้งที่มาหาเขา ดูเหมือนเย่เลี่ยนจะนั่งรถประจำทางมาเสมอ...พอความคิดนี้แวบขึ้นมา แววตาที่หลิงม่อมองรถประจำทางก็พลันเปลี่ยนไป
เขารู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นโครมครามขึ้นมาชั่วขณะ ทั้งตั้งตารอคอย ทั้งรู้สึกหวาดกลัวอยู่นิดๆ
มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเวลานั้นเย่เลี่ยนอาจอยู่ในรถคันนี้ ถ้าหากเธอหนีออกมาไม่ทัน ตอนนี้ก็น่าจะยังอยู่ในนั้น
แม้ตัวเขาจะรู้สึกว่าเตรียมใจมาพร้อมแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาต้องเผชิญหน้าจริงๆ หลิงม่อก็ยังคงแอบหวั่นใจอยู่เล็กน้อย
จะเป็นศพเน่าเปื่อย หรือว่าไม่เหลืออะไรเลย หรือว่า...
หลังจากที่พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา หลิงม่อก็เริ่มควบคุมหุ่นซอมบี้ให้ปีนขึ้นไปบนหัวรถที่ตอนนี้เปลี่ยนรูปร่างไปแล้ว
ความรู้สึกเวลาที่ควบคุมหุ่นซอมบี้มันประหลาดมาก เหมือนกับตัวเองมีอีกตัวตนหนึ่ง สายสัมพันธ์ทางจิตที่เชื่อมระหว่างเขากับหุ่นซอมบี้ ไม่เพียงจะทำให้ควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นซอมบี้ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถรับรู้ผลตอบรับจากสีหน้าของมันได้อีกด้วย
แต่ระหว่างหลิงม่อกับหุ่นซอมบี้ยังมีอะไรบางอย่างขวางกั้นอยู่ ซึ่งทำให้เขาไม่อาจควบคุมหุ่นซอมบี้ได้อย่างเต็มที่
สำหรับหลิงม่อแล้ว เขาเกรงว่าการจะสามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์นั้นอาจจะต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหุ่นซอมบี้กระมัง...
แม้จะรู้สึกแปลกอยู่หน่อยๆ แต่หลิงม่อก็ยังคงรอคอยการหลอมรวมที่ว่านั้นอยู่ดี
.........................................................................................