ภาค 1 ตอนที่ 5 เฉียดผ่านมัจจุราช
ตอนที่ 5 เฉียดผ่านมัจจุราช
ต้าเจิ้งเดินผ่านหน่วยตำรวจอาชญากรรม กำลังจะเข้าไปในห้องทำงานของตนก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงดังต่อเนื่องมาจากด้านหลัง พอหันหลังไปมอง เป็นสวีหวั่นลี่จริงๆ
“หัวหน้า บันทึกการลาดตระเวนของแผนก รปภ. ฉันไหว้วานเพื่อนให้ช่วยถ่ายสำเนาออกมา รับรองว่าไม่มีใครรู้แน่นอนค่ะ” หวั่นลี่กะพริบตาปริบๆ ใส่ต้าเจิ้งที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด จากนั้นสีหน้าก็สลดลง “หัวหน้า หมอนิติเวชคนนั้น...”
ต้าเจิ้งเงยหน้าจากรายงานแล้วมองเธอไปแวบหนึ่ง “ทำไม”
“ฉันช่วยหัวหน้าไปถามให้แล้ว ใครๆ ก็ลือกันว่านางเป็นตัวซวย หรืออีกอย่าง...อย่าเข้าใกล้เธอขนาดนั้นจะดีกว่าไหมคะ”
“พูดบ้าอะไร” ต้าเจิ้งก้มหน้าอ่านรายงานต่อ
“จริงๆ นะ ปากก็ร้าย เวลามองคนสายตาเย็นชา อีกอย่าง ได้ข่าวว่าเธอเคยทำให้ญาติของตัวเองตายเมื่อสมัยเด็ก ปกตินอกจากศพแล้วจะไม่ติดต่อกับคนเป็น ดังนั้น...”
“สวีหวั่นลี่” เสียงของต้าเจิ้งเริ่มเย็นลง ทำให้หวั่นลี่หยุดพูดทันที “ฝีมือสืบสวนของเธอไม่เลวนี่นา หรือจะย้ายเธอไปอยู่แผนกสื่อสารฝ่ายนอกดีกว่า”
“อย่าๆ ฉันแค่ฟังเขามาเท่านั้น เพราะพี่ต้าเจิ้งชอบไปล่อคนประหลาด...”
“อยู่ที่ทำงาน เรียกฉันว่าหัวหน้า” ต้าเจิ้งก้มหน้าอ่านรายงานในมือ ไม่แยแสคนที่อยู่ตรงหน้าอีก
“...โอ้” หวั่นลี่หยุดคิด แล้วก้มหน้าเดินออกไป
ต้าเจิ้งถอนหายใจแล้ววางรายงานลง หันไปหาอากาศที่สดใสนอกหน้าต่าง คนประหลาด...เหรอ...
——————————————
ฟ้ามืดลง ฟ้าสางอีกครั้ง การชันสูตรอย่างละเอียดดำเนินไปหนึ่งวันเต็มๆ โกโก้ไม่มองแม้กระทั่งเนื้อแกะปิ้งที่เสี่ยวเจ๋อซื้อมาให้ คงยุ่งอยู่กับโต๊ะชันสูตรตลอดเวลา ไป๋หลิงนั่งอยู่ข้างๆ มุ่งมั่นที่จะให้ตัวเองเผชิญกับสภาพแวดล้อมตรงหน้าด้วยจิตใจที่สงบ มองดูโกโก้ทาแอลกอฮอล์ที่ผิวของศพ แล้วถ่ายรูปรอยใหม่ๆ ที่ปรากฏขึ้นมา จากนั้นใช้มีดผ่าตัดกรีดลงไป ผิวนอกที่ไม่ค่อยสวยงามของสวีลี่ถูกผ่าออก หัวใจ ม้าม ฯลฯ ถูกหยิบออกมาทีละชิ้น โกโก้สังเกตเลือดที่อยู่ภายใต้ผิวของศพ ชั่งน้ำหนัก วัดขนาด ถ่ายรูปอวัยวะสำคัญ ทำแม้กระทั่งผ่าหัวใจออกมาตรวจ...
เพียงแต่ไป๋หลิงรู้สึกว่าทนกับขั้นตอนหลังๆ ได้อย่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน ความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของความเป็นตำรวจได้ต่อสู้กับความขยะแขยงโดยสัญชาติญาณต่อศพหลายต่อหลายครั้ง มีหลายครั้งที่อีกนิดเดียว เพียงแค่นิดเดียวที่ขาทั้งคู่จะวิ่งออกจากห้องไปด้วยตัวมันเอง แต่เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถหลบหนีอีกต่อไป ไม่ว่าคนอื่นจะพูดยังไง สำหรับตัวเขาเองแล้ว สำหรับเรื่องที่ ‘เป็นตำรวจแต่กลับกลัวศพ’ นี้ เขาก็รู้สึกขายหน้าอยู่ไม่น้อย ยังไงก็ต้องเผชิญหน้ากับมันสักวันอยู่แล้ว มิฉะนั้นความฝันที่จะเป็นตำรวจของตัวเองอาจกลายเป็นฝันร้ายไปตลอดกาล
พระอาทิตย์ตกดิน โกโก้ถึงได้เอาส่วนต่างๆ ของศพกลับเข้าที่ จัดการเย็บให้เรียบร้อย เอากลับไปไว้ที่ตู้เก็บศพเหมือนเดิม เสี่ยวเจ๋อเรียกรูปศพที่ถ่ายออกมาวันนี้จากคอมพิวเตอร์ที่อยู่ข้างๆ
โกโก้เริ่มดื่มโกโก้
“พี่สวิน รูปถ่ายของศพทั้งหมดมี 324 รูป” เสี่ยวเจ๋อพูดพลางทำสำเนาไว้ในคอมพิวเตอร์อีกหนึ่งชุด
“โอเค นายก็ก๊อปปี้ชุดหนึ่งเอากลับไป พรุ่งนี้ทำรายงานชันสูตรศพที่เป็นทางการมาให้ฉัน ถือว่าเป็นการสอบย่อยแล้วกัน ส่วนฉันก็จะเขียนอีกชุดหนึ่ง แล้วเราสองคนมาเทียบกันดูว่ามีรายละเอียดปลีกย่อยอะไรที่ขัดกันหรือเปล่า”
เสี่ยวเจ๋อพยักหน้าพร้อมขานรับ
เสร็จแล้วโกโก้ถึงได้หันไปมองไป๋หลิงที่หน้าซีดอยู่ ขบวนการผ่าพิสูจน์ศพสดๆ ครบถ้วนเช่นนี้ สำหรับคนทั่วไปที่หลบแทบไม่ทันนั้น ถือว่าแรงไปหน่อย แต่ผิดคาดที่เขาไม่ได้หนีออกไป ดูๆ ไป ถ้าคนไม่บีบบังคับตัวเองบ้าง จะไม่รู้ว่าหัวใจของตัวเองแข็งแกร่งขนาดไหน
โกโก้ตบบ่าของไป๋หลิง รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ห่างจากตำรวจที่แท้จริงไม่ไกลแล้ว
——————————————
ไป๋หลิงขับรถจี๊ปไปส่งเสี่ยวเจ๋อกลับบ้านตามคำสั่งของท่านหมอนิติเวช อยู่กับเสี่ยวเจ๋อที่อายุไล่เลี่ยกันแถมนิสัยเข้ากับคนง่ายอย่างนี้ ไป๋หลิงก็สามารถทำให้สมองปลอดโปร่งหลังจากผ่านความตึงเครียดตลอดทั้งวันได้ในที่สุด
“ซูเสี่ยวเจ๋อ นายแน่มาก ไม่สั่นสักนิดหนึ่งเวลาลงมีดกับศพที่ขยะแขยงสะอิดสะเอียดนั้น” ไป๋หลิงเริ่มพูดเรื่อยเปื่อยตามนิสัย
“เหอะๆ นายพูดจาระวังหน่อย ถ้าให้พี่สวินได้ยินนายใช้คำประเภทสะอิดสะเอียนกับศพ ไม่รับรองว่าจะจัดการยังไงกับนาย”
“ทำไม คนปกติก็รู้สึกอย่างนั้นทุกคนไม่ใช่เหรอ”
“พี่สวินคิดว่า นี่เป็นการไม่ให้เกียรติผู้เสียชีวิต เทอมที่แล้วเธอสอนวิชาผ่าพิสูจน์ให้พวกเรา ตอนเริ่มบทที่หนึ่ง เนื่องจากมีนักศึกษาชายคนหนึ่งบอกว่าศพทำให้คลื่นไส้ พี่สวินเลยสั่งสอนทั้งชั้นเรียนอย่างหนัก ฉันยังจำคำพูดตอนนั้นของเธอได้ว่า คนตายก็มีศักดิ์ศรี ร่างนี้ก็เคยมีวิญญาณ มีความทรงจำ มีคนรักกับคนที่ถูกรัก ถ้าพูดคำว่าขยะแขยงต่อคนเป็นถือว่าเป็นการหยามเกียรติ สำหรับผู้ตายก็เช่นกัน เพียงแต่ถ้าคนตายโกรธขึ้นมา ฮึ อาจจะลากเธอไปเล่นกับเขาด้วย...” เสี่ยวเจ๋อเลียนแบบท่าทางยิ้มอย่างน่ากลัวของโกโก้
เสี่ยวไป๋รู้สึกสยองขึ้นมา เป็นสไตล์ของโกโก้จริงๆ “หลังจากนั้นพวกนายตกใจจนบื้อไปเลยเหรอ”
“ก็แหงนะสิ หน้านี้กลัวจนขาวซีด แต่พี่สวินต่างจากอาจารย์ที่สอนวิชาอื่นที่ชอบเทศน์แล้วเทศน์อีก เธอพูดเพียงครั้งเดียว คนทั้งหมดจำขึ้นใจเลยว่าต้องให้เกียรติผู้ตาย หลังจากนั้น ไม่มีใครกล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าอีก”
“ดูไม่ออกเลยว่าเธอไม่ธรรมดา ยังไงก็รู้สึกว่าเธออายุมากกว่าพวกเราแค่ปีสองปีเท่านั้น”
“มากกว่าฉันสองปี”
“ไม่มั้ง เธออายุไล่ๆ กับพวกเราอย่างนั้นเหรอ แล้วเธอยังเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยของพวกนายอีกเหรอ”
“เธอไม่ใช่อาจารย์ประจำหรอก อาจารย์ใหญ่ใช้เส้นไปขอมาเป็นพิเศษ”
“ขอมาเหรอ”
“ก็ใช่นะสิ นายรู้จักอาจารย์ฉางหรือเปล่า”
“ฉันไม่รู้จักอาจารย์ของพวกนายหรอก” ไป๋หลิงตอบอย่างจนปัญญา
“เอ่อ อาจารย์ฉางเป็นชื่อเรียก เขาไม่เคยสอนพวกเราหรอก แต่นายน่าจะเคยได้ยิน เขาเป็นหมอนิติเวชของตำรวจอาชญากรรมมาตลอดทั้งชีวิตของแก”
“โอ้” ไป๋หลิงเริ่มเข้าใจ “นายหมายถึงท่านผู้เฒ่าฉางนั่นเอง หัวหน้าพวกเรายกย่องท่านผู้เฒ่านั้นว่าเก่งฉกาจขั้นเทพเลย แต่ตอนที่ฉันเข้ามา ท่านก็เกือบจะเกษียณแล้วล่ะ เลยไม่มีโอกาสได้เห็นกับตา”
“อืม อาจารย์ขั้นเทพจริง ใครๆ ก็บอกอย่างนี้ แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน กลับเป็นเรื่องของพี่สวินที่ฉันได้ยินเขาเล่าลือกันมามากมาย”
“โอ้ ฉันก็ได้ยินมาหน่อย ใช่ที่เขาบอกว่าเธอเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านผู้เฒ่าฉางหรือเปล่า”
“ไม่ใช่แค่นั้น ได้ยินว่าพี่สวินเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวในบรรดาลูกศิษย์หลายสิบคนของท่านที่ได้รับการยอมรับจากท่านผู้เฒ่าว่า ‘สำเร็จการศึกษา’”
“เพียงคนเดียวเหรอ ไม่มั้ง”
“ฉันก็ได้ยินมาจากอาจารย์ที่ปรึกษาอีกที พี่สวินเริ่มเรียนวิชานิติเวชกับอาจารย์ฉางตอนอายุ 18 เรียนตั้ง 6 ปี นายรู้เรื่องคดีฆ่าล้างโคตรที่ตงเจียวเหมินเมื่อปีก่อนที่สะเทือนไปทั้งมณฑลหรือเปล่า หลังจากเชิญอาจารย์ฉางไปเป็นที่ปรึกษาไม่นาน ท่านก็เสนอรายงานชันสูตรศพที่พิเศษฉบับหนึ่ง นอกจากรายงานการชันสูตรอย่างละเอียดแล้ว ยังมี ‘ความเห็นเชิงอนุมานที่ไม่รับผิดชอบ’ แนบมาด้วย จากบาดแผลบนศพ สามารถลำดับการฆ่าคนของฆาตกร แล้วจากระดับอาการบาดเจ็บที่แตกต่างกันบนศพ จำนวนแผลที่ถูกฟัน ความลึกและความสำคัญของอวัยวะที่ถูกฟัน ฯลฯ คาดคะเนว่าฆาตกรอาจมีความแค้นกับคุณผู้หญิงในบ้านมากกว่าคนอื่น อีกทั้งยังรู้จักกับคนแก่ในบ้านอีกสองท่าน นอกจากนั้น ยังได้คาดเดาถึงที่มาของอาวุธที่ใช้ฆาตกรรม สรุปคือมีความคิดแปลกๆ หลายอย่าง หลังจากคลี่คลายคดีได้แล้ว ‘ความเห็น’หลายอย่างในนั้นตรงกับความจริง จึงอดไม่ได้ที่จะยกย่องอาจารย์ฉางว่าหยั่งรู้ดั่งเทพ แล้วนายเดาซิว่าท่านผู้เฒ่าพูดว่ายังไง”
“พูดว่ายังไง” ไป๋หลิงเริ่มอยากรู้ขึ้นมา
“เหอะๆ ท่านผู้เฒ่าบอกว่า ตั้งแต่ต้นจนจบของรายงานฉบับนั้นแกไม่ได้เขียนสักตัว ทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือวิเคราะห์ของสวินเข่อหรัน”
ไป๋หลิงทึ่งอยู่ไม่เบา
“จากนั้น เขาก็รู้กันแล้วว่าท่านผู้เฒ่าซ่อนลูกศิษย์ไว้คนหนึ่ง ไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ แต่ฝีมือยอดเยี่ยม หึๆ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านผู้เฒ่าให้พี่สวินมารับตำแหน่งของแกต่อในหน่วยอาชญากรรมของพวกนาย มีหรือพวกนายจะแย่งแข่งกับกองบัญชาการฯ ที่มณฑลได้” เสี่ยวเจ๋อพูดไปหัวเราะไป
ไป๋หลิงไม่รู้จะตอบยังไง แต่สวินเข่อหรันให้ความรู้สึกที่แตกต่างแก่เขาจริงๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เธออยู่กับศพแล้ว ดูเหมือนจะทำให้เรื่องที่เย็นยะเยือกกลายเป็นละมุนขึ้นมา เอ่อ แต่บางทีก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี ไม่ใช่ น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า โดยเฉพาะตอนที่เธอข่มขู่คน...สรุปก็คือ...บอกไม่ถูก
ซูเสี่ยวเจ๋อคิดจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับสวินเข่อหรันต่อ โทรศัพท์บนตัวของไป๋หลิงก็ดังขึ้นมา มือหนึ่งขับรถอีกมือถือโทรศัพท์ เสียงที่เกือบจะตะคอกใส่ดังมาจากอีกฝั่ง ทำให้เขาพลอยชะลอความเร็วรถ ได้ยินเขาตอบรับไปไม่กี่คำ วางหูแล้วกระชากรถกลับ 180 องศา ขับกลับไปทางกองบังคับการ
“เป็นไรเหรอ” เสี่ยวเจ๋อแปลกใจ
“เกิดเรื่องแล้ว” ไป๋หลิงเร่งความเร็วรถ ขมวดคิ้วอย่างหนัก “พี่สวินถูกประทุษร้าย”
“ห๊ะ!” เสี่ยวเจ๋อตะโกนออกไป