ตอนที่ 24 ในที่สุดก็เข้าใจ
ตอนที่ 24 ในที่สุดก็เข้าใจ
เหอไป๋เทียนเงยหน้ามองโคมจำนวนน้อยลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้วก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก การที่เทศกาลลอยโคมนี้ได้ถูกยกเลิกไปเพราะเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้ความคึกคักที่เคยมีได้หมดไป คืนนี้ทั้งคืน ศาลากลางและศูนย์จัดงานต่างๆ ในเมืองต่างก็เต็มไปด้วยพิธีศพ ไร้ซึ่งสีสัน ไร้ซึ่งความสุข สิ่งที่เกิดขึ้นมีแค่เพียงความเสียใจเท่านั้น
รู้สึกเศร้าใจ แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้มากไปกว่าที่กำลังตัวเองจะมี
เขานั่งคิดอยู่เช่นนั้น ไกวขาไล่ยุงไปพลาง ใช้พัดเล็กพัดหวีให้เสี่ยวจูบนตักตนไปพลาง ระหว่างที่หงเกอไปทำงาน ตลอดช่วงเช้าจรดยามเย็นวันนี้ ด็กชายเลยใช้เวลาทั้งหมดไปกับการช่วยเหลือการจัดการปัญหาในเมืองเท่าที่พอทำได้ ทว่าทั้งเรื่องพิธีการ ทั้งเรื่องการบูรณะเมืองทุกอย่างนั้นแทบจะเรียบร้อยไปหมดแล้วจากฝีมือของคนในสกุลเสวี่ย
ดวงตาสีทองทอดมองไปยังแม่น้ำ ทั้งที่เมื่อวานยังข้นคลั่กด้วยซากสาหร่ายแต่ตอนนี้กับใสสะอาดดังเดิม ยิ่งเห็นแล้วก็อดทึ่งปนประทับใจไม่ได้จริงๆ
การจัดการแผนงานของประมุขเสวี่ยนั้นเป็นระบบมาก ทั้งเรื่องความช่วยเหลือ การเยียวยาประชาชน ตลอดไปจนถึงเรื่องพิธีการ ทุกๆ อย่างเรียบร้อยจนเบาแรงกองกำลังความช่วยเหลือจากสกุลอื่นไปได้มากโข มันเป็นการจัดการได้อย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบราวกับว่านี่ไม่ใช่การจัดสรรปันงานของคนในยุคนี้
ในสถานะที่เหอไป๋เทียนเป็นลูกประมุขแล้ว เขาก็พูดได้เต็มปากว่าประมุขเสวี่ยนั้นเป็นประมุขอายุน้อยที่ทำงานได้ดีและผลงานมากคนหนึ่ง ท่านพี่เองก็เคยบอกว่าประมุขเสวี่ยนั้นเป็นคนที่มีความรับผิดชอบเป็นอย่างมากด้วย
ทว่าภาพที่ของคนที่ร้องบทเพลงควบคุมหัวซากศพกัดกินสาหร่ายหัวผีมันยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเหอไป๋เทียนยากที่จะเอาออกไปได้และมันยิ่งทำให้เขาสงสัยในนิสัยใจคอที่แท้จริงของประมุขเสวี่ยยิ่งนัก
เหอไป๋เทียนถอนหายใจออกมายาวมาก พอไม่มีใครให้คุยด้วย เขาก็เริ่มฟุ้งซ่าน หงเกอจะเป็นอย่างไรบ้าง งานจะเสร็จแล้วหรือยังก็ไม่รู้ จะรออยู่ที่โรงเตี๊ยมเฉยๆ มันก็ว้าวุ่นใจอย่างน่าประหลาด พอไม่รู้จะทำอะไร เลยมานั่งดักรอที่เส้นทางกลับเพื่อว่าอีกฝ่ายจะเดินผ่านมา
เด็กชายกอดกระบี่หานหลิ่งเอาไว้แน่นขึ้นเล็กน้อย ไอเย็นของมันทำให้ตนรู้สึกผ่อนคลายมากทีเดียว
“คนๆ นั้นมาแล้วนะ”
เสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้นมาทำให้เด็กชายชะงัก คลายอ้อมแขนที่กอดหานหลิ่งออกเล็กน้อย อย่างนึกแปลกใจเพราะเป็นครั้งที่สองแล้วที่ตนได้ยินถึงเสียงนั้น
ทว่ายังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เหอไป๋เทียนรู้สึกได้ว่าเสี่ยวจูขยับตัวดิ้นเล็กน้อย เจ้าหมูที่หลับอยู่ดีๆ ก็ตื่นขึ้นมาทำตาใสแป๋วโดดลงจากตักวิ่งไปหาใครบางคนที่เดินมาทางนี้ ซึ่งชายคนนั้นพอเห็นเสี่ยวจูเขาก็ย่อตัวลงอุ้มมันขึ้นมาแล้วเดินไปยื่นส่งคืนให้เหอไป๋เทียน
“ดึกดื่นป่านนี้ใยจึงไม่กลับโรงเตี๊ยม”
“หงเกอต่างหาก...กลับเสียให้ดึก”
เหอไป๋เทียนแสร้งดุไปเช่นนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ยิ้มให้บางๆ แล้วจับชายเสื้อของเสวี่ยหงเยว่ไปหลวมๆ เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าหมาน้อยออดอ้อน
“น้องมารอพี่ จะได้กลับไปด้วยกันขอรับ”
เสวี่ยหงเยว่รู้สึกอยากจะพ่นเลือดออกมาจากปากเสียเดียวนั้น ใต้หน้ากากอันสงบเสงี่ยมภายในใจกลับกรีดร้องด้วยเสียงอันดังลั่นว่า ‘ทำไมถึงได้เป็นเด็กที่น่ารักขนาดนี้เนี่ยยย’ ออกมาไม่ขาดสาย เขากระแอมเบาๆ สองสามทีแล้วส่ายหน้า ชี้ไปยังท่าเรือเลียบแม่น้ำ
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จงมากับข้า”
เขาพูดสั้นๆ แล้วเดินนำเหอไป๋เทียนไป ในทีแรกก็ลังเลเล็กน้อยว่าควรจะหลบไปทางอื่นดีไหมเพราะเห็นว่ามีศิษย์ของเสวี่ยเดินลาดตะเวนตรวจตราความปลอดภัยริมน้ำอยู่ไม่ไกลนัก
เสวี่ยหงเยว่ดึงเหอไป๋เทียนมาหลบหลังต้นไม้ ส่งเสียงชู่วเบาๆ ให้เด็กชายเงียบ ซึ่งอีกฝ่ายก็เชื่อฟังโดยดี ดวงตาสีแดงจดจ้องรอศิษย์คนนั้นละสายตา เมื่อสบโอกาสเหมาะเสวี่ยหงเยว่ก็รีบดึงมือเหอไปเทียนเดินไปทางจุดที่มีเรือพายลำเล็กจอดเทียบริมน้ำอย่างรวดเร็ว
เสวี่ยหงเยว่ผิวปากเล็กน้อย สร้างม่านหมอกหนาบังตา แล้วรีบเร่งก่อนที่หน่วยลาดตะเวนจะสังเกตเห็นหรือได้ยินเสียงคนเดิน
เมื่อพวกเขา (รวมถึงเสี่ยวจู) ได้ที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว เรือลำเล็กจึงค่อยๆ แล่นออกจากท่าโดยมีเสวี่ยหงเยว่เป็นคนพาย เสียงใบพายกระทบกับน้ำสลับกับเสียงร้องของแมลงหน้าร้อนในยามราตรี บ่งบอกให้รู้ได้ดีว่าช่วงเปลี่ยนผันฤดูกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า ชายหนุ่มถอนใจเล็กน้อยเมื่อเหอไป๋ทียนที่นั่งอยู่เบื้องหน้านั้นยังคงเงยหน้ามองท้องฟ้าต่อไป ด้วยสายตาอันยากที่จะเดาความรู้สึก
“ไป๋เทียน” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยเสียงเบา คล้ายกับจะเรียกให้เด็กชายดูอะไรบางอย่าง
เมื่อพายลอดแมกไม้ที่โน้มห้อย เหล่าหิ่งห้อยตัวน้อยก็ค่อยๆ บินออกมาจากพงหญ้า เปล่งประกายแสงอ่อนบินลอยคลอเคล้ากับเงาจันทร์บนน้ำใส เหอไป๋เทีนทำตาโตขึ้นมาเล็กน้อย หันไปมองแสงจากแมลงน้อยรอบตัวอย่างตื่นเต้น ดวงตาสีทองที่ดูเหม่อลอยเมื่อครู่ดูมีสีสันและชีวิตชีวามากขึ้น
“ช่วงรอยต่อระหว่างฤดูเช่นนี้ หิ่งห้อยที่นี่จะชุมนัก” เสวี่ยหงเยว่ยิ้มบาง มองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู “อาณาเขตเมืองใหญ่อย่างสกุลเหอคงหาบรรยากาศเช่นนี้ได้ยากสินะ?”
“ขอรับ” เหอไป๋เทียนพยักหน้า เมืองสังกัดสกุลเหอนั้นเป็นเมืองใหญ่ มีคนมาก อีกทั้งยังไกลธรรมชาติ หาดูหิ่งห้อยเช่นนี้ได้ยากนัก มันจึงสร้างความตื่นตาตื่นใจให้เหอไป๋เทียนมากเลยทีเดียว
“น้องเพิ่งเคยเห็นหิ่งห้อยเยอะขนาดนี้ครั้งแรกเลย”
ดวงตาสีทองยังคงจับจ้องหิ่งห้อยอย่างไม่วางตา เมื่อเอื้อมมือออกไปข้างหน้า พลันแมลงตัวจ้อยก็ลอยวนบนฝ่ามือ รอยยิ้มบางๆ พลันปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น
เมื่อเห็นดังนั้นเสวี่ยหงเยว่ก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายลงกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย เรียวคิ้วค่อยๆ เลิกขมวดมุ่น พร้อมกับเอื้อมมือไปหาเด็กชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามตน
“เอาล่ะ…เด็กดี เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าอารมณ์ดีขึ้นหรือยัง?” เสวี่ยหงเยว่เห็นสีหน้าของเหอไป๋เทียนดูครุ่นคิดอย่างหนักมาตั้งแต่หลังจากสู้กับสาหร่ายหัวผีจบ พอเห็นเป็นอย่างนั้นเขาเลยพามาล่องเรือชมหิ่งห้อยให้สบายใจ ทดแทนที่ไม่ได้ไปเที่ยวเทศกาลลอยโคม
“น้องดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอขอรับ?” เหอไป๋เทียนเอามือแตะหน้าตัวเองสีหน้างุ่นงงปนประหลาดใจเป็นยิ่งนัก ทว่าพอเห็นเสวี่ยหงเยว่พยักหน้า เจ้าตัวเล็กก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“มีอะไรอยากจะพูดให้ข้าฟังหรือเปล่า?” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถาม เขาคลุกคลีกับเหอไป๋เทียนมาสักพักแล้ว พอรู้นิสัยใจคออยู่บ้าง แถมเรื่องย่อก็บอกมาตลอดว่าพระเอกเป็นประเภทมีอะไรก็ยิ้มรับไว้ก่อน คิดมากอะไรก็ไม่พูดออกมา ถ้าไม่แทงถามไปตรง ๆ ก็อย่าคิดว่าจะยอมตอบ
เขาเลยต้องเสี่ยงถามออกมา เพื่อแก้นิสัยเสียข้อนี้ก่อนติดตัวไปจนโต
“น้องอะไรหลายเรื่องให้คิดนะขอรับ ไม่มีอะไรหรอก” ดวงตาสีทองเงยสบคนตรงหน้า พลางยิ้มบาง หลายสิ่งหลายอย่างที่ได้พบนับตั้งแต่เดินทางขึ้นเขาเสวี่ยจวบจนกระทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา
“ว่ามาสิ” เสวี่ยหงเยว่ยังคงถามต่อไป
นั่นทำให้เหอไป๋เทียนชะงัก เด็กชายมองคนที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งสบตาก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่มีทางที่จะกลบเกลื่อนได้แน่ ๆ จึงได้แต่ถอนหายใจแล้วสารภาพทุกอย่างออกมา
“น้องรู้สึกเหมือนกับว่าการได้เดินทางไกลในครั้งนี้ มันทำให้น้องได้เจอเรื่องอะไรเหนือความคาดหมายหลายอย่างนัก” เด็กชายเงียบลงเล็กน้อย ดวงตาสีทองค่อยๆ เคลื่อนหลบจากเสวี่ยหงเยว่ นึกคำอย่างถ้วนถี่ก่อนจะพูดประโยคต่อไปออกมา “ยิ่งการได้อยู่กับหงเกอนานๆ เข้า น้องก็ยิ่งตระหนักใจว่าโลกใบนี้มันไม่ง่ายอย่างที่คิด...การที่อยากจะช่วยเหลือ การที่จะปกป้องใครสักคนมันไม่ง่ายเลย หากเราไม่พร้อมใจที่จะยอมรับอันตราย”
เหอไป๋เทียนกำมือแน่น เขาเม้มปากเข้าจนฟันแทบกัดกับริมฝีปาก
“แต่น้องไม่ได้หมายความว่าน้องไม่อยากอยู่กับพี่นะ”
พอถึงตรงนี้ น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูจริงจังขึ้นมากจนน่าตกใจเหอไป๋เทียนจับจ้องคนตรงหน้า มือเหมือนจะอยู่ไม่สุขเล็กน้อยจนต้องเอามืออีกข้างกำบีบเอาไว้เพื่อห้ามตัวเอง
สายลมบางเบาพัดผ่าน กิ่งไม้คลอไหวเล็กน้อย ใบพายกระทบกับผิวน้ำก่อให้เกิดวงน้ำแผ่กระจายเป็นบริเวณกว้าง เหอไป๋เทียนทอดมองเงาของคนสองคนบนเรือที่สะท้อนบนแม่น้ำ ระยะห่างระหว่างกันมีเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นทว่ามันกลับสร้างความอึดอัดให้แน่นอยู่ในอกของเขา
มันทำให้เขาอึดอัดจนทรมานแทบตาย
“น้องน่ะ...เพียงแต่น้อง รู้สึกว่า…ตัวเองยังเก่งไม่พอที่จะรับมือปัญหาโดยไม่พึ่งพาคนอื่น เอาตัวรอดด้วยตัวเองไม่ได้ อ่อนแอจนต้องมีที่พึ่ง คนรอบข้างหงเกอเองมีคนเก่งมากมาย ทั้งเหมินเกอ ทั้งท่านหลาน ยิ่งทำให้น้องรู้สึกด้อย…ด้อยจนไม่เหมาะสมที่จะอยู่กับพี่เลย”เหอไป๋เทียนก็ระบายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจของตัวเองออกมาจนหมด ราวกับห้ามตัวเองไม่อยู่อีกต่อไป เด็กชายกำมือแน่นเข้าหากันเสียจนเริ่มชา และเริ่มสั่น
เสวี่ยหงเยว่เงียบไปครู่หนึ่ง เขาเห็นว่าเหอไป๋เทียนตัวสั่นอย่างชัดเจน ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงปล่อยให้อีกฝ่ายระบายความอึดอัดในใจของตัวเองโดยไม่ได้ปริปาก หรือพูดขัดอะไร
เขารับฟังทุกอย่างอย่างสงบ และตั้งใจ
“น้อง...น้องอยากเป็นคนที่สามารถอยู่กับหงเกอได้ อยากเป็นคนที่หงเกอเชื่อใจ เหมือนอย่างเหมินเกอ เหมือนอย่างท่านหลาน”
“งั้นหรือ” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยหลังจากเงียบมานาน
เหอไป๋เทียนพยักหน้า
“แล้วเจ้าคิดว่าตัวเองต้องดีขนาดไหนกันเล่า เด็กดี...”
แล้วเหอไป๋เทียนก็ชะงักไปทันทีที่ได้ฟังจบเมื่อได้สบกับดวงตาสีแดง ทันใดนั้นเสวี่ยหงเยว่ก็ค่อย ๆ เอื้อมมือมาจับมือที่สั่นไม่หยุดนี้เอาไว้ พร้อมกับบีบแน่นเข้า
พวกเขาสบตากันอยู่แบบนั้นสักพัก แล้วเสวี่ยหงเยว่ค่อยๆ อ้าปากเอ่ยบางอย่างออกมา
“เจ้าบอกว่าเจ้าอยากอยู่กับข้า แต่เจ้าได้ถามตัวข้าหรือยัง?”
เมื่อได้ยินคำถามนั้นเหอไป๋เทียนถึงกับสะอึก เด็กชายเคลื่อนดวงตาหลบ คล้ายกำลังจะถอยหนี หากแต่ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่นั่นอยู่บนเรือและคนตรงหน้าก็จับมือเขาเอาไว้แน่นเสียจนไม่สามารถดึงออกไม่ได้
“ว่ามาสิ…สิ่งที่เจ้าอยากพูด สิ่งที่เจ้าอยากถามกับข้า หากเจ้าเก็บสิ่งที่คิดไว้ในใจ ข้าเองก็ไม่อาจจะรู้ได้ไม่ใช่หรือว่าเจ้าต้องการอะไรจากข้า” มือที่เขาจับเหอไป๋เทียนนั้นบีบแน่นขึ้นมากกว่าเดิม อีกฝ่ายมักปกปิดสิ่งที่ตัวเองต้องการเอาไว้เสมอ ไม่ร้องขอออะไรเลยสักอย่าง
เพราะฉะนั้นแล้วในคืนนี้เขาจึงต้องการคำตอบ
ต้องการรู้ถึงสิ่งที่คนตรงหน้านี้ต้องการ
เหอไป๋เทียนสูดลมหายใจเข้า ทำแข็งใจจ้องอีกคน เม้มปากเสียแน่น เด็กชายคล้ายจะทำใจอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มพูดออกมา
“น้องอยากอยากอยู่เคียงข้างพี่”
เสวี่ยหงเยว่นิ่งไป ถึงจะคิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องตอบอะไรทำนองนี้ออกมา ทว่าการคิด กับการเจอของจริงมันต่างกันเอาเรื่อง เพียงประโยคสั้น ๆ ไม่กี่คำมันกลับทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นมาอย่างปริศนา รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างมันตีตื้นขึ้นมาในอก ดีใจ ไปพร้อม ๆ กับที่เขินจนมีอาการร้อนวูบขึ้นมาเป็นระยะ
ความรู้สึกของพ่อที่ลูกโตขึ้นแล้วนี่มันเป็นแบบนี้เองสินะ อา…น้ำตาจะไหล
คิดได้อย่างนั้น รอยยิ้มบางก็พลันปรากฏบนใบหน้าของเสวี่ยหงเยว่ เขาใช้มืออีกข้างลูบผมเด็กชายเบาๆ
"ข้าเข้าใจความต้องการของเจ้าแล้ว...ทว่า" เขาเงียไปเล็กน้อยแล้วเริ่มพูด
“เจ้าเป็นเจ้าแบบนี้แหละ ไม่ต้องแข่งกับใคร จงแข็งแกร่งในแบบของเจ้า ภาคภูมิใจในตัวตนของตัวเอง เพียงเท่านั้น ข้างตัวข้าเองก็พร้อมที่จะยอมรับเจ้าเสมอ” แตะประครองแก้มนั้นไว้แล้วยิ้มให้ เสวี่ยหงเยว่ในตอนนี้ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตนเผลอแสดงสีหน้าที่แสนอ่อนโยนออกมา
ด้วยสีหน้านั้น…และรอยยิ้มนั้น…
ทำให้เหอไป๋เทียนนั้นชะงักไปพลัน เด็กชายนั้นไม่รู้ว่าตนควรจะทำสีหน้าเช่นไร เขาทำได้เพียงเอียงใบหน้าหลบจากดวงตาสีแดงคู่นั้นและหวังว่าตรงนี้จะมืดพอที่จะซ่อนอาการของตัวเองได้
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าตอนแรกแล้ว เสวี่ยหงเยว่จึงค่อยๆ ผละตัว หยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา มันเป็นโคมขนาดเล็กอันหนึ่งซึ่งหลานซิ่นหลิงซื้อมาให้เขาเมื่อวานนั่นเอง
เมื่อเห็นสิ่งนั้นเหอไป๋เทียนก็ตาโตขึ้นเล็กน้อย มองประทีปจิ๋วสลับกับเสวี่ยหงเหว่ รอยยิ้มอย่างดีใจก็ปรากฏ
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากลอย ใช่ไหม?” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยระหว่างที่จุดไฟที่ดวงประทีป เมื่อไฟติดแล้วก็ค่อย ๆ ยื่นให้เหอไป๋เทียนถืออีกด้าน
เสวี่ยหงเยว่มองไฟจากโคมประทีปสั่นไหว มองคนตรงหน้า มองบรรยากาศที่กำลังดำเนินอยู่ตอนนี้ สองคนบนเรือในเทศกาลลอยโคม มีหิ่งห้อยรายล้อม
…
รู้สึกอยากได้เพลง I see The Light ของราพันเซลเปิดประกอบฉากอย่างบอกไม่ถูก
“ขอบคุณนะขอรับ” เด็กชายรับโคมมาแล้วยิ้มให้บางๆ แต่ก็ต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมือของตนถูกมือของเสวี่ยหงเยว่ช้อนและจับเอาไว้
“อธิษฐานเสียสิ…บางทีท่านเทพอาจจะบัลดาลพรให้เจ้าก็ได้นะ” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยแซวไม่ได้รู้ตัวถึงสีหน้าเด็กข้างตัวเลยสักนิด สิ่งที่อยู่ในหัวของเขาตอนนี้ก็มีแค่คำว่า ...
‘เทพเจ้าของโลกนี้ยังไงมันก็ยัยคนแต่งไม่ใช่เหรอ’
ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นไปมากกว่านี้เลย
เหอไป๋เทียนหน้างอเล็กน้อย บ่นอุบในใจว่าสิ่งที่เขาต้องการเขาก็เพิ่งสารภาพไปต่อหน้าอีกฝ่ายแล้วแท้ๆ
แต่สุดท้ายเด็กชายก็หลับตาลง กล่าวคำอธิษฐานในใจ เขามองไปทางคนข้างกาย พยักหน้าเล็กน้อย เป็นเชิงบอกว่าให้ปล่อยโคมประทีปลอยขึ้นฟ้าไป
ดวงตาของทั้งสองค่อยๆ ทอดมองประกายไฟดวงน้อยลอยขึ้นฟ้าไป จดและจำความประทับใจที่เกิดขึ้นในคืนวันนี้โดยไร้ซึ้งคำพูดใดๆ ไร้ซึ่งการสบตา ทุกอย่างมีเพียงความเงียบเฉียบเพียงเท่านั้น
แต่ทว่าพวกเขาทั้งสองคนก็ยังคงจับมือกันเอาไว้เช่นนั้น
จับกันเอาไว้
และจับกันเอาไว้แน่นขึ้นเรื่อยๆ