ตอนที่ 24 บ๊ายบาย...โลกที่น่าเบื่อ
ตอนที่ 24 บ๊ายบาย...โลกที่น่าเบื่อ
สี่อย่างที่คนเรายอมทุ่มได้หมดหน้าตัก
การศึกษา
ความงาม
ความเชื่อ
และความรัก…
ทุกสิ่งที่หวังไว้ว่าจะนำมาซึ่งความสุขความพึงพอใจให้กับตัวเอง
ในสังคมอันจอมปลอมว่างเปล่าที่ทุกคนส่งยิ้มเพื่อป้องกันตัวเอง โกหกเพื่อเอาตัวรอด เด็กสาววัยสิบห้าในชุดเดรสหรูหราราคาแพงกำลังอยู่ข้างผู้เป็นพ่อแม่ในงานเลี้ยงฉลองความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่มีแต่ทำให้คนอื่นจนลง พวกตัวเองร่ำรวยยิ่งขึ้น
อายะได้แต่มองฉากหน้าของพ่อแม่ สามีภรรยา ที่ถูกแสดงอย่างสมบูรณ์แบบ ซ่อนเบื้องหลังความเน่าเฟะของครอบครัวไว้ได้อย่างแนบเนียน พ่อมีผู้หญิงอื่นอีกเป็นกอง แม่มีผู้ชายรุ่นเด็กอีกมากมายที่แอบส่งเสีย พ่อแม่ที่ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายกับลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองมีการละเล่นพิเศษบนเตียงเป็นการคลายเครียดระหว่างพี่น้อง
แต่หลังจากพี่ชายไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศแล้วอายะก็รู้สึกเหมือนถูกทิ้ง
หน้าที่ของลูกสาวอย่างเธอก็แค่ไปนั่งทำเกรดให้ดีในโรงเรียน ฝึกศิลปะอะไรต่างๆ ให้ดูกลายเป็นคุณหนูแบบชนชั้นสูง รอวันที่โตขึ้นให้พ่อแม่จับไปแลกเปลี่ยนซื้อขายแลกกับข้อสัญญาทางธุรกิจอะไรสักอย่าง ที่จะได้ผลตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อ
เธอไม่เคยมองเห็นหนทางอื่นในชีวิต หากในวันนั้นไม่ได้พบกับผู้ที่แผ่ความมืดมิดให้เธอได้หลบภัยจากแสงสว่างอันเจิดจ้า
ในงานเลี้ยงอันแสนเบื่อหน่าย อายะก็ได้พบกับหนุ่มหล่อคนหนึ่ง ผมของเขาเป็นสีทองเปล่งประกาย ผิวขาวตามแบบชนชาติยุโรป ทั้งสองถูกแนะนำให้รู้จักกันในฐานะทายาทสายตรงของคู่สัญญาทางธุรกิจ จนในที่สุดก็ถูกเหล่าพ่อแม่ทิ้งให้อยู่ด้วยกัน เพราะอาจหวังความสัมพันธ์อะไรที่จะไปต่อกันได้แนบแน่นขึ้น อายะถูกชวนให้ไปคุยที่ริมระเบียงอันเงียบสงบห่างไกลจากห้องจัดงานของโรงแรม
“ขอโทษด้วยนะคะ ถูกปล่อยไว้กับเด็กแบบฉันคุณคงเบื่อ”
ภาษาอังกฤษที่ถูกบ่มเพาะให้เรียนตั้งแต่เด็กถูกใช้งานให้เป็นประโยชน์ เพราะเธอไม่แน่ใจนักว่าเขาจะฟังภาษาญี่ปุ่นรู้เรื่อง
“คุณเองก็คงเบื่อที่โดนจับมาคุยกับผู้ใหญ่แบบนี้สินะครับ นี่เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของสองบริษัท พวกเขาคงหวังหลักประกันที่มั่นคงขึ้นถ้าพวกเราแต่งงานกันได้ ว่าไงครับ อยากแต่งงานกันมั้ย”
อายะช็อกไปเลยเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกถามแบบนั้นตั้งแต่คุยกันในประโยคแรก
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันเพิ่งอายุสิบห้า คุณไม่คิดว่าตัวเองตรงเกินไปหน่อยเหรอ ปกติต้องพูดอะไรดีๆ สร้างความประทับใจกันก่อนไม่ใช่รึไง”
“จะเสียเวลาไปทำไมในเมื่อทุกอย่างมันชัดเจนขนาดนี้แล้ว แถมแบบนี้คงทำให้คุณประทับใจกว่าพูดอะไรน่าเบื่อๆ พวกนั้นนะ ว่าไงครับ จะแต่งหรือไม่แต่ง”
“ถะ...ถามแบบนี้ ฉันก็ตอบไม่ได้หรอก ถึงพ่อแม่จะอยากให้เราเป็นแบบนั้น แต่ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลยนะ นี่คุณอายุเท่าไหร่แล้ว...”
“อืม...น่าจะหนึ่งพันเก้าร้อยปีได้แล้วมั้ง อยากรู้อะไรอีกมั้ย”
อายะย่นคิ้วเข้าหากันอีกเมื่อได้ฟังคำตอบสุดแสนกวนประสาท แต่หลังจากนิ่งมองชายหนุ่มอยู่นาน จนท้ายเด็กสาวก็หัวเราะออกมา
“โลกนี้มันน่าเบื่อจะตาย คุณนี่น่าสงสารนะ ถ้าต้องอยู่มานานขนาดนั้น”
หนนี้เป็นชายหนุ่มที่ขำกับความไร้เดียงสานั้นแทน
“โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องน่าสนุกต่างหาก เธอก็แค่ไม่เคยเจอชีวิตแบบนั้น เด็กน้อย”
หางคิ้วของเด็กสาวเริ่มกระตุกเมื่อถูกบอกว่าเป็นเด็ก ถึงเขาจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอเยอะก็เถอะ
“คุณมีผู้หญิงอยู่แล้วกี่คน ถึงจะยังไม่ได้แต่งงานอย่างเป็นทางการแต่ก็มีอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”
“มีไปเรื่อยนี่ก็เยอะแยะ ความสุขทางเพศมันก็เป็นหนึ่งในเรื่องน่าสนุกนะ แต่แค่ไม่มีใครเป็นตัวเป็นตน ไม่คิดจะมีด้วย และจะไม่มีใครได้เป็นเจ้าของฉันทั้งนั้นแม้แต่คนที่จะต้องแต่งงานด้วยอย่างถูกต้องก็ตาม เข้าใจตรงกันนะ”
ภาพฝันชีวิตการแต่งงานอันงดงามของเด็กสาวดับสลายไปทีเดียวหากต้องแต่งงานกับคนคนนี้ แต่ก็แปลกดีที่เธอกลับยอมรับมันได้อย่างง่ายดาย อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เสแสร้งโกหกหรือคิดจะสร้างภาพหลอกลวงเธอ
“ชีวิตคุณนี่ดูน่าสนุกจัง ทำยังไงชีวิตฉันจะดูมีอิสระแบบนั้นบ้าง”
“ทุกอย่างเราเลือกได้เองทั้งนั้น เธอก็แค่ติดสบายตั้งแต่เกิดจนกลัวที่จะลำบากจนไม่กล้าทำอะไรนอกกรอบที่ถูกวางไว้เท่านั้นแหละ”
“...แน่สิ ฉันไม่เคยแม้แต่จะซักเสื้อผ้าตัวเองสักชิ้น นึกชีวิตแบบอื่นไม่ออกด้วยซ้ำ ก็มันโตมาแบบนี้ ก็แค่จะนึกหาอะไรสักอย่างที่ทำได้อยู่ในสภาพนี้นั่นแหละ”
“ถูกแล้ว จะไปดิ้นรนให้ลำบากเพื่อพิสูจน์ตัวเองทำไม เธอก็แค่ต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้ มากพอที่จะไม่ต้องฟังใคร หรือมีใครบังคับเธอได้”
“แบบที่คุณเป็นในตอนนี้น่ะเหรอ”
“เธอก็อาจจะเป็นแบบนี้ได้นะ อยากลองบททดสอบมั้ยล่ะ…”
ชายหนุ่มยื่นมือออกมาตรงหน้า อายะมองหน้าชายหนุ่มแบบไม่แน่ใจนัก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจยื่นมือออกไป
ทั้งสองเดินไปบอกกล่าวกับพ่อแม่ว่าอายะอยากจะกลับแล้วเพราะพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน และชายหนุ่มก็อาสาจะไปส่ง ทุกอย่างได้รับการอนุญาตพร้อมกับรอยยิ้ม ที่เห็นทั้งสองดูจะไปกันได้ด้วยดีแม้อายุจะห่างกันถึงเจ็ดปีก็ตาม
แน่นอนว่าอายะไม่ได้ตรงกลับบ้าน แต่ถูกพาขึ้นไปยังห้องพักหรูหราของโรงแรมเดียวกับที่จัดงาน ทุกอย่างไม่ได้มีอะไรผิดคาดจากที่นึกไว้ตั้งแต่ก้าวเข้าห้องมา เธอถูกพาขึ้นเตียง ถอดเสื้อผ้า และทุกอย่างก็เป็นไปตามความน่าจะเป็น
อายะห่างหายจากเรื่องนี้ไปนานทีเดียวตั้งแต่พี่ชายไม่อยู่ ทว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันเผ็ดร้อนยิ่งกว่าประสบการณ์ที่เคยผ่านมาหลายเท่า จนกระทั่ง…
ร่างกายของเด็กสาวเหมือนถูกแผดเผาเมื่อบางสิ่งถูกเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ภายใน ราวกับมันถูกดูดซึมไปทั่วทั้งร่าง แตกระเบิดอยู่ภายในแล้วลุกไหม้เผาเธอทั้งเป็น
อายะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ชายหนุ่มที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ก็เพียงลูบหัวเธอแล้วปลอบว่า ‘ก็แค่ผ่านไปให้ได้แล้วชีวิตใหม่จะรอเธออยู่ข้างหน้า’ ก่อนจะไปนั่งที่โซฟาข้างเตียงจิบเครื่องดื่มหน้าตาเฉย เด็กสาวดิ้นรนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดอยู่แบบนั้นพักใหญ่ จนท้ายเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างกายสุดจะทานทนแล้ว เด็กสาวก็รู้สึกราวกับว่าเนื้อตัวของเธอก็ปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อลืมตาขึ้นมาอายะพบว่าทุกชิ้นส่วนในร่างกายนั้นยังอยู่ครบ พร้อมกับเจ้าคนต้นเรื่องที่นั่งอมยิ้มกว้างอยู่ข้างตัวเธออย่างอารมณ์ดี
“...เกิดอะไรขึ้นกับฉัน”
เด็กสาวถามด้วยอาการเหนื่อยหอบ
“เธอปะทุพลังวิญญาณ”
คำตอบนั้นไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจแม้แต่น้อย แต่แล้วเมื่อพูดจบ อยู่ๆ ร่างของชายหนุ่มก็ฟุบล้มลงบนเตียงแล้วแน่นิ่งไป ก่อนที่อายะจะได้ร้องตกใจ เสียงๆ หนึ่งก็ดังเรียกเธอขึ้นจากข้างเตียง
มันคือเงาร่างสีดำลักษณะเหมือนคนที่ไม่ปรากฏให้เห็นหน้าตา เด็กสาวเบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตระหนกในหนแรก ใจเต้นระส่ำ กำมือที่กำลังสั่นไว้แน่นกับผ้าห่ม แต่เธอก็พบว่านั่นไม่ใช่ความกลัวแต่อย่างใด
อายะกำลังตื่นเต้น สิ่งแปลกใหม่ที่ไม่คาดฝันบางอย่างกำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า และมันน่าจะทำให้ชีวิตที่สุดแสนน่าเบื่อหน่ายนี้เปลี่ยนไปแน่ๆ
“มองเห็นฉันได้แล้วใช่มั้ย ฉันคือคนที่ชวนเธอแต่งงานเมื่อกี้ ไม่ใช่เจ้าหนุ่มหัวทองนี่หรอก”
ยิ่งเมื่อมีคำกล่าวที่ยืนยันเหตุการณ์ก่อนหน้าได้แน่ชัด อายะมองสลับไปมาระหว่างร่างกายของมนุษย์ที่เพิ่งมีอะไรกันเมื่อครู่ กับร่างกับสีดำที่ดูยังไงก็ไม่ใช่มนุษย์เหมือนเธอแน่ๆ
“คุณเป็นใคร”
“เห็นแบบนี้แล้วเธอไม่กลัวงั้นเหรอ”
“ฉันคิดว่าคุณน่าจะอายุพันเก้าร้อยปีตามที่บอกจริงๆ มีอะไรน่าตื่นเต้นกว่านี้อีกเหรอ”
ร่างสีดำหัวเราะลั่นอย่างถูกอกถูกใจ
“ตอนนี้เธอยังก้าวถอยหลังได้นะ ฉันจะให้โอกาสสุดท้าย แต่ถ้าเธอรู้ชื่อฉันแล้ว เธอจะไม่มีวันกลับโลกใบเดิมได้อีกต่อไป จะเอาแบบไหนตัดสินใจมา นี่เป็นชีวิตเธอ เลือกเอาเอง”
“งั้นบอกก่อนได้มั้ยว่าคุณมีแผนจะทำอะไรถึงมาอยู่ในร่างผู้ชายคนนี้ เกิดคุณไปทำเรื่องน่าเบื่อๆ ที่ฉันไม่ชอบขึ้นมาก็แย่น่ะสิ ถ้ารับปากไปก่อน”
“......ฉันกำลังจะสร้างกองทัพของตัวเองสักหน่อย”
“คุณคิดจะครองโลกเหรอ”
“ไร้สาระ ใครมันจะอยากทำเรื่องน่าเบื่อแบบนั้น ยึดครองโลกมาได้ก็ต้องมานั่งปวดหัวดูแลอีก จะไปเหนื่อยแบบนั้นทำไม โลกใบนี้มีเรื่องสนุกอะไรอีกตั้งเยอะแยะ ฉันก็แค่หาทางอยู่บนโลกนี้ต่อไปให้ได้ยาวนานที่สุดเท่านั้นเอง แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ตามล่าฉัน ก็แค่ต้องหาทางกำจัดพวกนั้นให้หมดก่อน ฉันจะได้อยู่แบบสบายใจยังไงล่ะ”
“สรุปว่าคุณก็แค่อยากอยู่นานๆ เพื่อหาความสนุกใส่ตัวไปวันๆ สินะ”
“พูดแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอก”
อายะอมยิ้มกว้าง นี่แหละ ชีวิตที่เธอตามหา!
“คุณชื่ออะไร”
ร่างสีดำก้าวขยับเข้ามาใกล้ตัวเด็กสาวมากขึ้น โน้มใบหน้าลงมาใกล้จนปลายจมูกแทบจรดติดกัน แล้วตอบคำถามนั้น
“อีซีโอ”
ก่อนที่อายะจะเอื้อมมือขึ้นมาสัมผัสร่างนั้นได้ ร่างสีดำก็ลอยพุ่งกลับเข้าไปภายในตัวของชายหนุ่มผมสีทองใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งเขาลุกขึ้นมาแล้วรวบตัวเด็กสาวเข้ามากอดไว้
“เก่งมาก...อายะ ไหนมาลองทดสอบกันซิว่าคนเก่งของฉันมีพลังอะไร...”
2 ปี 6 เดือนต่อมา ช่วงเวลา ณ ปัจจุบัน
ความวุ่นวายขนาดย่อมกำลังเกิดขึ้นภายในรอบรั้วคฤหาสน์ลึกลับอันห่างไกลผู้คน หลายวันมานี้ หญิงสาวชาวมนุษย์คนแล้วคนเล่าที่ถูกลักพาตัวมาจากที่ต่างๆ ทยอยถูกส่งเข้าไปในห้องนอนใหญ่ของบ้าน และถูกขนกลับออกมาในเวลาไม่นานด้วยสภาพที่ไร้ชีวิต ไม่เหลือแม้แต่วิญญาณอีกต่อไป
หลังจากใช้เวลา ‘กิน’ และพักผ่อนเกือบหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ หลังถูกอายะพากลับมาจากคาเรม อีซีโอในร่างของชายหนุ่มผมสีทองที่ชื่อเลฟก็ลืมตาตื่นขึ้น และมีเด็กสาววัยสิบเจ็ดผู้ชื่นชอบการสวมชุดรุ่มร่ามเสมอนอนขดอยู่ข้างตัวเขาด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
ร่างกายของเลฟ...ร่างมนุษย์ที่มีพลังวิญญาณในการล่องหนที่เขาสิงอยู่นี้ อาจเหลือเวลาไม่มากเท่าไรแล้ว เพราะการแบกรับวิญญาณที่มีพลังวิญญาณมหาศาลนั้นทำให้เจ้าของร่างค่อยๆ ถูกรีดเร้นพลังชีวิตออกมาเรื่อยๆ เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสำหรับอีซีโอที่เขาต้องเปลี่ยนย้ายร่างไปเรื่อยๆ ดังนั้นหนึ่งในจุดหมายสูงสุดของเขาก็คือการหาร่างที่ทนทานต่อพลังวิญญาณนี้ให้ได้ หากไม่ติดว่าเขาชอบการเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง การเข้าสิงร่างโซอีคงจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม พลังล่องหนของเลฟไม่ใช่รูปแบบพลังที่จะหาได้ง่ายๆ เขาจึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะรักษาร่างกายนี้ไว้ให้ดีที่สุด
“อายะ”
อีซีโอสะกิดเรียกเด็กสาวที่นอนหลับอยู่ข้างตัว เด็กสาวชาวญี่ปุ่นที่เปรียบเสมือนมือขวาที่เขาจะสูญเสียไปไม่ได้ เด็กสาวคนแรกที่เขาทำให้ปะทุพลังวิญญาณได้หลังจากการค้นหาอยู่เกือบครึ่งปี
อายะลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย เครื่องสำอางหนาเตอะที่ถูกล้างออกก่อนนอนเผยให้เห็นเนื้อหนังแท้ๆ ที่น่ารักแบบเป็นธรรมชาติเช่นเดียวกับเมื่อเกือบสามปีก่อนที่ได้พบกัน
“อีซีโอ เป็นยังไงบ้าง!”
ในบรรดาลูกน้องที่มีทั้งหมดทุกคนจะเรียกเขาว่านายท่าน มีเพียงอายะคนเดียวเท่านั้นที่เรียกเขาด้วยชื่อนี้ เพราะนี่เป็นความลับที่มีคนเพียงสี่คนเท่านั้นที่รู้
“ร่างกายของเลฟดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณที่ช่วยนะเธอคงเหนื่อยแย่เลย”
“ใช่เหนื่อยมากๆ เลย ต้องให้รางวัลชิ้นใหญ่ด้วยนะ”
เด็กสาวบ่นอุบพร้อมกับลุกขึ้นมากระโจนคร่อมตัว เอามือกอดคอ เอาขารัดเอวของชายหนุ่มผมสีทองไว้ทันที
“ฉันเพิ่งหายเหนื่อยนะ อย่าทำให้เหนื่อยตอนนี้เลยสิ เอาไว้คืนนี้ก็แล้วกันดีมั้ย”
“หือ...ให้จริงเถอะ อย่าให้รู้นะว่าแอบไปหายัยลูเซียกับยัยลอร่าแทน”
“งั้นขอรวดเดียวสามคนพร้อมกันเลยได้มั้ย”
“ไม่เอา อายะไม่ชอบ อายะชอบให้อีซีโอเป็นของอายะคนเดียว”
อีซีโอหัวเราะกับสีหน้าบึ้งบูดหงุดหงิดนั่นราวกับปั่นหัวอีกฝ่ายได้สำเร็จ
“ฉันไม่เคยเป็นของใครทั้งนั้น ไม่ใช่ของอายะคนเดียวด้วย เคยบอกแล้วนี่นา”
“รู้ แต่อยากจะคิดแบบนี้นี่นา อายะไม่สนหรอกว่าอีซีโอจะคิดยังไง ไม่เป็นของอายะก็ได้ เพราะไม่เป็นของใครเลยก็เท่ากับอายะไม่เสียอีซีโอให้ใครเหมือนกัน”
ชายหนุ่มแหงนหน้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง ก่อนจะโน้มเข้ามาจูบเด็กสาวที่ริมฝีปากเบาๆ แล้วลูบหัวอย่างเอ็นดู เมื่อมองดูนาฬิกาแขวนในห้องขณะนี้ก็เป็นเวลาสิบโมงแล้ว
“เรียกทุกคนมารวมกันที่ห้องประชุมใหญ่ตอนเที่ยง ไปรับมิฮาอิลมาจากอังกฤษด้วย เรามีเรื่องที่ต้องทำ”
เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องประชุมใหญ่ของคฤหาสน์ คิม...ชายหนุ่มผู้สวมแว่นในชุดสูทอย่างเรียบร้อยเสมอก็ได้พบกับสมาชิกที่อยู่จนเกือบครบแล้ว ขาดเพียงแค่นายท่านทั้งสองซึ่งเป็นฝาแฝดและสาวน้อยโลลิต้าที่ตามติดนายท่านเลฟตลอดเวลาเท่านั้น
แม้จะเรียกว่าห้องประชุมใหญ่ แต่ที่นี่ก็เหมือนโรงหนังขนาดย่อมที่มีที่นั่งสามแถวราวยี่สิบที่นั่ง ซึ่งถูกดัดแปลงมาทำการประชุมมากกว่า ที่นั่งด้านหลังถูกยกสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อให้มองเห็นด้านหน้าได้ชัดเจน มีคนนั่งอยู่ในนี้แล้วหกคน และทุกคนก็เป็นผู้มีพลังวิญญาณสายพิเศษเช่นเดียวกับเขา
ลูเซียกับลอร่าหญิงสาวผมสีทองสองคนนั่งด้วยกันอยู่แถวหน้าสุด เท่าที่คิมรู้คือพวกเธอไม่มีพลังที่ใช้ในการต่อสู้ได้ จึงทำตัวเป็นแม่บ้านคอยรับใช้นายท่านเสียมากกว่า
ผู้ชายอีกสี่คนนอกจากนั้นก็แทบไม่มีใครรู้เรื่องของกันและกัน และเรียกกันแบบใช้โค้ดเนมที่ตั้งขึ้นเท่านั้น
Mello ผู้เคี้ยวหมากฝรั่งตลอดเวลา
Black hole ผู้ซ่อนทุกส่วนของร่างกายไว้ภายใต้เสื้อคลุมสีดำ และมีฮู้ดปกปิดจนถึงดวงตาทุกครั้งที่ปรากฏตัว ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นพ่อมดในนิทานกล่อมเด็กก่อนนอน
Doctor ชายสูงวัยที่พกกรงเล็กๆ ที่มีดิคเคนส์ประดิษฐ์ในนั้นไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลาราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรัก
และ Samurai เจ้าเด็กหนุ่มเลือดร้อนผู้เหมือนชีวิตไม่มีอย่างอื่นแล้วนอกจากการต่อสู้
อันที่จริงเขาก็ไม่แน่ใจนักว่านอกจากนี้แล้วนายท่านยังมีลูกน้องคนอื่นๆ อีกหรือไม่ แต่ที่เห็นกันบ่อย แวะเวียนไปมาในคฤหาสน์นี้ก็มีเพียงเท่านี้
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะมีใครผ่านระบบคัดกรองแล้วปะทุพลังวิญญาณ ที่ผ่านไม่ได้ก็ตายกันจนหมด และแม้จะผ่านมาได้ก็ใช่ว่าจะได้พลังที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกคน เขาเองก็แทบปางตายหลังจากได้ดื่มเครื่องผสมเลือดของนายท่านเข้าไป สมาชิกที่ใช้การได้หายไปจากตรงนี้สองคน เนื่องจากตายหนึ่งและโดนจับไปอีกหนึ่งในเหตุการณ์ที่คฤหาสน์ชามันด์คราวก่อนที่เขาประมาทเกินไปนั่นเอง
คิมเดินไปนั่งยังที่ว่างด้านหน้าสุดคนละมุมกับสองสาว ไม่มีเสียงใครคุยกับใครทั้งนั้น เพียงแต่...การเรียกเอาทุกคนที่เขาคุ้นหน้ามารวมกันแบบนี้ คงจะมีงานใหญ่รออยู่แน่นอน