ตอนที่ 24: บาปของคีห์
ตอนที่ 24: บาปของคีห์
เมเดียนเดินมาหยุดตรงหน้าเฮเซคียาห์ เขาเหยียดแขนออกด้วยใบหน้าสดชื่น แต่ท่าทีนั้นราวกับเป็นการเยาะเย้ยเฮเซคียาห์ซึ่งเป็นผู้พ่ายแพ้ในการประลองฝีมืออยู่ในที เฮเซคียาห์ขบฟันกรอด มองเมเดียนอย่างขุ่นเคือง แต่แล้วขณะที่เขาบึ้งตึง เมเดียนกลับเปิดรอยยิ้มกว้าง และยื่นมือออกมาให้เฮเซคียาห์ที่ยังนั่งอยู่
“อย่างน้อยเธอก็พยายามได้ดี”
เฮเซคียาห์มองหน้าเมเดียน เขาลุกขึ้นโดยไม่ยอมจับมือของอีกฝ่าย
“ฉันรู้ว่ามันน่าอายนะ ถูกฉันจัดการภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง” เมเดียนพูดต่อไป ไม่รู้ว่าตั้งใจปลอบหรือทำให้รู้สึกแย่ลงกว่าเดิม
“ตกลงว่าผมจะไม่ตื้อคุณอีก ผมจะรักษาคำพูด” เฮเซคียาห์กระชากเสียง
ทุกอย่างไม่เป็นอย่างใจเขาเลย เขามองย้อนกลับไปยังการต่อสู้ที่เพิ่งจบลงเมื่อครู่ ความผิดพลาดของเขาคือการคิดว่าอีกฝ่ายจะถอยไปพร้อมกับมือของเขาที่ยังพอขยับได้อยู่ ซึ่งเขาคิดหมายไว้ว่าจะใช้มือข้างดังกล่าวพันธนาการเมเดียนไว้ในขณะที่อีกฝ่ายอยู่ระหว่างการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้เลยว่าเมเดียนสามารถฉีกมือและแขนของเขาได้เร็วและง่ายราวกับฉีกกระดาษ ก่อนเขาจะทันใช้มือและแขนข้างนั้นทำตามแผนที่วางไว้
“เดี๋ยวให้ฉันเลี้ยงอาหารเย็นปลอบใจเธอหน่อย” เมเดียนอยู่ๆ กลับแสดงน้ำใจ
“ไม่ต้อง”
“เอาน่า เป็นอาหารที่ฉันสั่งให้พวกชาวบ้านทำให้” เมเดียนคะยั้นคะยอ “หลายวันมานี้เธอก็ได้เห็นแล้วว่าพวกอาหารพื้นๆ ของชาวบ้านก็อร่อยดี ฉันอุตส่าห์ขนมาให้ทุกวัน นี่ถ้าเธอได้กินอาหารที่พวกเขาทำสำหรับจัดงานเลี้ยงแล้วเธอจะติดใจ แล้วอยากอยู่ที่เซนต์กิลเจนต่อ”
“ผมจะรีบออกเดินทางให้เร็วที่สุดหลังจากที่คุยกับมูนนี่แล้ว”
“ไปไหนล่ะ”
“ก็ขึ้นอยู่กับมูนนี่ด้วย ถ้าเขาโอเคกับผม ผมจะเดินทางไปกับเขาต่อ แต่ถ้าเขาไม่โอเคกับผม ผมก็มีทางไปของผมก็แล้วกัน” เฮเซคียาห์ตอบอย่างแกนๆ เขาไม่เห็นความหวังในการกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว และไม่อยากต้องอยู่ในที่ที่จะได้เจอหน้าเมเดียนอีกเพราะความเจ็บใจจากความพ่ายแพ้ที่ได้รับ
“ฉันแนะนำว่าเธอควรอยู่ที่เซนต์กิลเจน ที่นั่นมีทุกอย่างที่เธอต้องการ เธอดูยังไม่เข้าใจโลกนี้และตัวเองดีพอ ไม่ควรออกเดินทางร่อนเร่”
“ผมต้องไปตามหาว่ามีหนทางอื่นไหมที่ผมจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หรือกลับไปที่เมืองหลวงได้” เฮเซคียาห์ยังอยากพยายามต่อ
เมเดียนยักไหล่
“ตอนนี้พาผมกลับไปหามูนนี่เถอะ ผมอดทนรอมาสามอาทิตย์แล้ว” เฮเซคียาห์ล้วงมือไปทางด้านหลัง ตรวจดูว่ามีดของเมเดียนอยู่ในฝักซึ่งเขาทำเองจากเถาวัลย์ที่หาได้ในป่า แล้วยังขอคำยืนยันจากบรอธว่าวีวี่อยู่ในตัวของมัน “ไปเร็วๆ เถอะ ผมว่าเขาคงใจจ่อใจจ่ออยากให้ผมคืนวีวี่ให้”
เมเดียนถอนใจ และเริ่มออกเดินนำเฮเซคียาห์กลับไปยังจุดที่พวกเขาสามารถเทเลพอร์ตกลับไปยังกระท่อมหน้าป่าหนามได้
เฮเซคียาห์ไม่พบคนในกระท่อม เขาจึงเดินไปเคาะประตูรถบ้าน แต่ไม่มีคนตอบรับ เขาจึงเดินวนเวียนรอบรถบ้านเพื่อมองผ่านกระจกเข้าไปและพบว่าไม่มีคนอยู่ด้านใน
“พวกเขาอาจออกไปเดินเล่น เมื่อเช้ามืดฉันแวะมาดู ยังเจอพวกเขาอยู่เลย” เมเดียนยังไม่แยกไปตามทางของเขา
“เดี๋ยวผมรอ...”
“งั้นไปรอที่บ้านของฉันดีกว่า ให้ฉันหากาแฟดีๆ หรือชาใส่น้ำตาลทรายแดงให้เธอดื่ม”
“ขอบคุณ แต่ไม่ดีกว่าครับ” เฮเซคียาห์ไม่สบายใจกับการแสดงน้ำใจของอีกฝ่าย
บรอธคุยกับเฮเซคียาห์ในหัว แนะนำให้เขาไปกับเมเดียน เพราะเมื่อวัดอุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิตของเมเดียนแล้ว ดูเหมือนเมเดียนกำลังอารมณ์ดี ดังนั้นจึงไม่ต้องระแวงว่าเมเดียนจะมีแผนร้าย
แต่เฮเซคียาห์ตอบบรอธกลับไป เขาไม่ได้กังวลว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายเขา แต่เขามีทิฐิเพราะสงสัยว่าเมเดียนทำดีกับเขาเพราะกำลังสมเพชเขาหรือสงสารเขาอยู่ เฮเซคียาห์ไม่เคยชินกับการถูกมองว่าด้อยกว่าคนอื่น เมื่อคิดว่าเมเดียนมองเขาด้อยกว่า เขาเกิดความอึดอัดและอยากอยู่ให้ห่างไว้ก่อน
“เสียงดนตรี เธอได้ยินเหมือนฉันไหม” เมเดียนทัก ยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้องหู
เฮเซคียาห์ส่ายหน้า แต่เขาเชื่อในประสาทสัมผัสของเมเดียน
“อยู่ด้านไหน นั่นคงเป็นเสียงของพวกเขา”
“ไปดูกัน”
พวกเขาหายวับจากหน้ารถบ้าน และเฮเซคียาห์ได้เห็นพื้นที่ในป่าจุดแล้วจุดเล่าผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเมเดียนกำลังเทเลพอร์ตแบบจุดต่อจุด และพอเฮเซคียาห์รับรู้ได้ว่าเท้าของเขาอยู่บนพื้นมั่นคง เขาเซเล็กน้อย และอาเจียนออกมาอย่างแรง ตัวของเขาก้มโค้งลงด้านหน้า มือทั้งสองจับไว้ที่หัวเข่าสองข้างเพื่อพยุงตัว
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เฮเซคียาห์ร้อนผ่าวบนใบหน้าอย่างรู้สึกอาย เพราะมูนนี่กับซาแมนต้ากำลังมองเขาอยู่ สีหน้าของมูนนี่เฉยๆ แต่สีหน้าของซาแมนต้าแสดงความรังเกียจ
“เอ่อ...” เขารู้สึกขัดๆ เมื่อพยายามจะพูดกับมูนนี่
ซาแมนต้าดูเหมือนกำลังเล่นดนตรีให้มูนนี่ฟัง หรืออาจจะสอนการเล่นกีต้าร์ให้ เฮเซคียาห์ไม่รู้ เธอถือกีต้าร์ไว้ในมือ
“จะพูดอะไรก็พูดกัน แล้วพอเสร็จแล้วให้บรอธบอกฉันด้วย ฉันจะได้เทเลพอร์ตพวกเธอทั้งหมดไปที่บ้าน”
เมเดียนหายตัวไปทันทีหลังพูดจบ
เฮเซคียาห์ยังนิ่งอยู่ บรอธบินโดยไม่มีคำสั่งจากเขาตรงเข้าไปหามูนนี่ แล้วบอกมูนนี่ให้ยื่นมือออกมา ก่อนปล่อยวีวี่คืนให้กับมือ
“มีดฉันล่ะ” มูนนี่ลุกขึ้น เป็นฝ่ายคุยกับเฮเซคียาห์ก่อน
เฮเซคียาห์ดึงมีดออกมาและค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย มูนนี่เอาแต่มองเขานิ่งอยู่ ทำให้เฮเซคียาห์หายใจไม่ทั่วท้อง เขาสงสัยในความคิดของอีกฝ่าย ขณะที่ส่งมีดไปให้ก็เกร็งไปหมด จนมูนนี่รับมีดไปแล้ว เฮเซคียาห์ยังไม่มีคำพูดหลุดออกจากปากแม้แต่คำเดียว
“เฮ้! ฉันไม่เคยเห็นคนอย่างพวกนายทำหน้าจ๋อยๆ มาก่อน มันทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ” เมเดียนรับมีดไปดีๆ และเปิดปากคุย
“คนอย่างพวกเขา พวกเขาไหน” ซาแมนต้าสอดขึ้น ลุกมายืนด้านข้างมูนนี่
“เดี๋ยวเราไปหาที่คุยกันเงียบๆ” มูนนี่หันไปมองหน้าซาแมนต้า และเบือนใบหน้ามามองเฮเซคียาห์
“พวกนายสองคน...” เฮเซคียาห์รับรู้ได้ถึงบรรยากาศเป็นมิตรมากขึ้นระหว่างมูนนี่และซาแมนต้า “เป็นอะไรกันมากกว่าเจ้านายกับทาสแล้วเหรอ”
“จะบ้าเหรอ!” ซาแมนต้าเหว “ใครเอายาไม่เขย่าขวดให้นายกิน เจ้านายอะไร? ทาสอะไร? แล้วจะเป็นอะไรกันมากไปกว่านั้น? นี่ไม่ได้แหกตาอยู่เหรอว่าก็แค่นักร้องหรือแฟนคลับ”
“อ้อ” เฮเซคียาห์ผ่อนคลายขึ้นอย่างน่าประหลาดเมื่อได้ยินเสียงของซาแมนต้า
จริงๆ เขาเกลียดเสียงเธอ และเธอก็คงเกลียดเขา แต่เมื่อคุยกับเธอ เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างยังเหมือนเดิมขณะที่มูนนี่ดูเปลี่ยนไปมาก จนเขาสัมผัสได้และรู้สึกกลัว
“เมเดียนคงไม่ได้อัดนายจนเพี้ยนไปแล้วหรอกนะ คนอย่างฉันไม่มีทางชอบตาทึ่มนี่หรอก” ซาแมนต้าชี้นิ้วไปทางมูนนี่ แล้วยังเตะข้างเท้าของเขาเบาๆ ดูท่าทีแล้วคล้ายพี่น้องสนิทสนมกัน แต่สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่เฮเซคียาห์ “เมเดียนทุบนายจนเพี้ยนไปแล้วเหรอ คิดอะไรบ้าๆ แล้วนี่ผลเป็นยังไงบ้างล่ะ ใครชนะหรือแพ้”
“เธอสนใจด้วยเหรอ” เฮเซคียาห์ยกมือขึ้นกอดอก
“แหม่! ถ้าเธอแพ้ ฉันจะได้เยาะเย้ย”
“เออ แพ้...” เฮเซคียาห์ไม่โกหกผลการต่อสู้ เพราะไม่นานซาแมนต้าต้องทราบความจริง
มูนนี่มีสีหน้าขรึมขึ้น แล้วเขาส่ายหน้าไปมา
“ก็คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้” มูนนี่เอ่ยขึ้น ขณะที่ซาแมนต้าแค่อ้าปาก ยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด "นายอาจมีประสบการณ์การต่อสู้ แต่ไม่เท่ากับเมเดียนหรอก รายนั้นอายุตั้งเท่าไหร่ ต่อให้บรอธบอกว่าโอกาสเท่ากันที่ชนะหรือแพ้ แต่คนๆ นั้นอาจจะมีความปราดเปรื่องที่จะพลิกเกมได้ เขาไม่ใช่คนที่จะสู้ได้โดยการเตรียมตัวแค่ไม่กี่อาทิตย์”
“นั่นสินะ ฉันมักคิดน้อยไป วางแผนอะไรก็ไม่เป็นไปตามแผน” เฮเซคียาห์ส่ายหน้าน้อยๆ เกลียดตัวเองขึ้นมา แล้วเขาก็คิดว่าต้องเปลี่ยนประเด็นสนทนาได้แล้ว “ฉันขอบคุณมากนะที่รออยู่”
“ก็วีวี่อยู่กับนาย ฉันต้องรอ”
มูนนี่ให้คำตอบเหมือนเฮเซคียาห์ไม่มีค่า ทำเอาเฮเซคียาห์ไม่กล้าคุยกับมูนนี่ต่อ
“ซาแมนต้า คุณเดินกลับไปก่อนได้หรือเปล่า ผมกับคีห์มีเรื่องต้องคุยกันแบบผู้ชายกับผู้ชาย” มูนนี่พูดกับซาแมนต้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อ๋อ จะปรับความเข้าใจกัน หลังจากฟัดกันมาอย่างกับหมาใช่ไหม งั้นเจ้าหญิงแสนสวยก็ไม่อยู่ด้วย...” ซาแมนต้าขยับกายออกห่างมูนนี่ แล้วชี้นิ้วไปทางมูนนี่หนหนึ่ง ทางเฮเซคียาห์หนหนึ่ง “เดี๋ยวพูดไม่ถูกใจกันแล้วจะซัดกันอีก ยังไงก็เพลาๆ กันบ้างนะ ต่างคนก็ต่างเป็นมนุษย์ ไม่ใช่หมา จะได้ดุเดือดเลือดพล่านเล่นกันเอาตาย”
“ยายหมาตัวเมีย ไปให้พ้นไป๊!”
“คีห์” มูนนี่เอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นเหมือนปรามอยู่ในที “นายหยาบคายกับผู้หญิง”
เฮเซคียาห์ทำเสียงเฮอะ แล้วเบือนหน้าไปมองในทิศทางซึ่งเขาจะไม่ต้องเห็นซาแมนต้า
“ไอ้หมาบ้า!” ซาแมนต้าด่าทิ้งท้าย
แล้วเธอเดินจากไป เสียงเดินของเธอค่อยๆ แว่วห่างออกไป
“โอเค เราต้องคุยกัน” มูนนี่กล่าวกับเฮเซคียาห์ทันทีที่ซาแมนต้าไปลับตา
บรอธยืนยันกับเฮเซคียาห์ว่าซาแมนต้าไปไกลเกินกว่าจะได้ยินเสียงคุยของทั้งคู่ และเธอไม่มีท่าทีจะเปลี่ยนทิศทางการเดินกลับมา
“ฉันพูดอย่างตรงไปตรงมา ฉันไม่ให้อภัยนาย ฉันเกลียดชาวมัสติน”
“ห๊ะ!” เฮเซคียาห์ตัวชาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“เราไม่ควรเจอกันแต่แรก”
“ฉันก็เคยคิดว่าเราไม่ควรเจอกันแต่แรก แต่เราเดินทางร่วมกันมา ฉันเห็นนายเป็นเพื่อน” เฮเซคียาห์ไม่เคยผูกพันกับคนอื่นอย่างนี้มาก่อน เขามีครอบครัวและผูกพันกับคนในครอบครัว แต่เพื่อนซึ่งเป็นชาวมัสตินด้วยกันเอง พวกเขาเหมือนผู้ใต้บังคับบัญชามากกว่าเป็นเพื่อนจริงๆ พวกเขาต่างจากมูนนี่
“มัสตินพวกเดียวกันกับนาย ฆ่าพ่อกับแม่ฉัน ฆ่าหลายๆ คนที่ฉันรู้จัก ฉันทนคิดไม่ได้ว่าฉันยอมให้อภัยกับบาปที่ชาวมัสตินทำกับชีวิตฉัน แล้วยังยอมรับคนหนึ่งในหมู่พวกนั้นมาเป็นเพื่อน มันบ้าสิ้นดี” มูนนี่เอ่ยเสียงเคร่งขรึม แต่เฮเซคียาห์สั่นเทิ้มไปทั่วร่างด้วยความสลดใจกับคำพูดของมูนนี่ “นายอาจอยากอธิบายว่านายไม่เหมือนคนอื่น ไม่เคยฆ่าใคร แต่ฉันเชื่อไม่ลง เพราะชาวมัสตินทุกคนในยุคนี้ล้วนเข่นฆ่ามนุษย์อย่างสนุกสนาน ฉันเองเชื่อว่านายเคยฆ่ามนุษย์ นายเคยทำใช่ไหม”
เฮเซคียาห์อยากหัวเราะออกมาแบบคนบ้า
“ไม่มีคำค้าน ฉันก็เหมือนชาวมัสตินอีกหลายคน”
“พอเถอะ ไม่ต้องพูดต่อ” มูนนี่ไม่สบตาของเฮเซคียาห์ แต่ปากของเขายังเอ่ยต่อ “ฉันอยู่ต่อหน้านายอย่างสงบนิ่งได้ก็เพราะรอคอยให้นายพูดเรื่องน้องชายของฉัน และฉันจะไม่พุ่งเข้าไปทำร้ายนายหลังจากฟังจบ ก็เพราะสิ่งที่นายจะบอกฉันถือเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง ฉันยังเกลียดชังพวกมัสติน แต่ครั้งนี้จะปล่อยนายไป”
เฮเซคียาห์รู้สึกจุกในคอ พูดไม่ออก
“หรือจะบอกว่าฉันปล่อยให้ตัวเองรอดตายดี เพราะการสู้กับนายก็เหมือนเอาชีวิตไปทิ้ง นายฆ่าฉันได้แน่ๆ”
“ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องการฆ่านาย”
“ถ้านายกลับไปเป็นชาวมัสติน นายจะไม่ฆ่าฉันเหรอ” มูนนี่หัวเราะเสียงเบา ตายังคงไม่มองมาที่เฮเซคียาห์ “นายอาจพูดได้ตอนนี้ว่าจะไม่ฆ่า แต่สุดท้ายนายอาจต้องฆ่า”
“ไม่หรอก...” เฮเซคียาห์เซื่องซึมลง
“เล่ามา เรื่องน้องชายของฉัน...” มูนนี่มีดวงตาเศร้าสร้อย แต่เขาใช้สายตาจ้องเข้ามาในดวงตาของเฮเซคียาห์อีกครั้ง
“ฉันเห็นรอยสักนาย น้องชายนายมีรอยสักแบบเดียวกันใช่ไหม” เฮเซคียาห์ทักขึ้นก่อนเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขากำลังจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับอีกฝ่าย ไม่ใช่คิดไปเอง “ถ้าหากไม่ใช่ ฉันอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ ซึ่งฉันต้องขอ...”
“ใช่ น้องชายฉันมีรอยสักแบบเดียวกัน” มูนนี่หรี่ตาลง “ทำไมนายถึงไม่คิดว่ารอยสักนี้เกี่ยวข้องกับองค์กรแทนที่จะเป็นน้องชายของฉัน คนหลายคนนึกว่าฉันต้องอยู่องค์กรอะไรสักอย่าง ถึงได้มีรอยสักที่อก”
“ฉันเคยเห็นศพของคนจากองค์กรพวกนั้นมาก่อน พวกเขาไม่มีรอยสักอะไรทั้งนั้น” เฮเซคียาห์เคยสนุกสนานยามพูดถึงการฆ่ามนุษย์ แต่ตอนนี้เขาสงบปากสงบคำถ้อยคำแสดงอารมณ์หรรษา แล้วรู้สึกสำนึกผิดอย่างบอกไม่ถูก แน่นอนว่าความรู้สึกคุ้นชินนี้ทำให้เขาต้องถามตัวเองว่าเขาเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“นายฆ่ามากี่ศพแล้ว”
“ฉันไม่ได้นับ”
“ฆ่ามาเยอะสินะ นายอายุเท่าไหร่กันแน่”
“ฉันไม่ตอบคำถามนี้ของนายได้ไหม” เฮเซคียาห์ปั่นป่วนในช่องท้อง เขาอยากอาเจียน
บรอธบอกเขาให้หาที่นั่ง แต่เฮเซคียาห์ไม่ยอมทำตามที่มันบอก เขากล้ำกลืนฝืนทนยืนอยู่ มองตาขุ่นเคืองของมูนนี่พร้อมกับบอกกับตัวเองว่าเขาสมควรแล้วที่จะถูกอีกฝ่ายมองอย่างชิงชัง
“นายบอกว่าเขามีชีวิตอยู่ เขาอยู่ที่ไหน ฉันจะไปช่วยเขา” มูนนี่เร่งรัดจะเอาคำตอบ
เฮเซคียาห์ปิดตาลง แล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะค่อยๆ ตอบด้วยความมั่นใจในความทรงจำ
“น้องนายถูกยึดเอาเศวตศาสตรามา แต่เขาหน้าตาดี ก็หน้าตาเหมือนนายน่ะแหละนะ น้องสาวของเจ้าชายรัชทายาทของชาวมัสตินก็เลยเลือกเขาแล้วส่งเป็นบรรณาการให้กับเผ่าพันธุ์ซิริน่า ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่บนโลกแล้ว แต่ฉันมั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะเมื่อปีที่แล้วฉันยังเห็นเขามาพวกกับพวกซิริน่าอยู่เลย”
“เผ่าพันธุ์ซิริน่า เผ่าพันธุ์ที่มีแต่ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อลือชาว่า...”
“ชอบจับมนุษย์ไปเป็นผัว” เฮเซคียาห์พูดต่อให้จบ
มูนนี่ทำสีหน้าพูดไม่ออก
“นายโอเคไหม...”
มูนนี่หัวเราะออกมา แล้วยกมือขึ้นกุมหน้าผาก เสยผมหน้าของเขาให้ชี้ขึ้น
“ให้ตายสิวะ!” มูนนี่สบถแล้วลดมือลง เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า “ถ้านี่มันเป็นความจริง ฉันคงรู้สึกโล่งใจ แต่ก็หนักใจ โล่งใจที่มันยังมีชีวิตอยู่แถมอาจจะมีชีวิตที่สบายๆ ห้อมล้อมไปด้วยผู้หญิงดูแลอย่างดี แต่หนักใจก็ตรงที่ฉันจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าคนที่นายเคยเห็นเป็นน้องชายของฉัน”
เฮเซคียาห์ยักไหล่ แต่เขามั่นใจ เพราะเมื่อเปรียบเทียบสีผมและหน้าตา ชายหนุ่มคนที่เขาเคยเห็นดูประพิมพ์ประพายคล้ายมูนนี่อยู่ไม่น้อย