ตอนที่ 23 การต่อสู้ของทั้งสอง Part 2
ตอนที่ 23 การต่อสู้ของทั้งสอง Part 2
“อุรามิ”
เสียงทุ้มของลินจิในร่างเทพจิ้งจอกสวรรค์เอ่ยเรียก
แม้อุรามิจะเคยพบร่างจำแลงนี้มาก่อน แต่เขาก็ถอยผงะอย่างตกใจ เปลือกตาสั่นกระตุก
“หึ… เอาสิ ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว ฮะฮะฮ่า”
ดวงตาของอุรามิเบิกโพลง เผยให้เห็นตาขาวอย่างชัดเจน กระนั้นมุมปากก็ยังยกยิ้ม
“เอาเลย ลองดูนี่!”
แสงสีเขียวส่องสว่างขึ้นกลางอกของอุรามิ นั่นคือดวงจิตของ ‘เทพบุตรคิกิ’ ที่ถูกกลืนเข้า
แขนมารนับร้อยโผล่มาจากโพรงปีศาจที่เปิดอยู่กลางหลัง พายุสีมรกตค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นวนล้อมแขนมาร จากนั้นก็เกิดเป็นพายุขนาดย่อมหลายสายพุ่งตรงเข้ามาหาลินจิทันที
อุรามิได้พลังนี้มาจากการช่วงชิงดวงจิตของเทพบุตรคิกิแล้วดูดกลืนเข้าไป เขาสามารถดูดกลืนทุกสิ่งแล้วนำพลังจากสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตน
นัยน์ตาสีน้ำตาลของเทพจิ้งจอกสวรรค์พลันวาวโรจน์
“เตรียม!”
เสียงทุ้มตะโกนลั่นก่อนตั้งท่าบริกรรมบทคาถาที่ไม่รู้จักมาก่อน แต่ด้วยอานุภาพของทักษะ ‘กลายร่าง Lv.2’ จึงทำให้สิ่งที่ควรรู้แล่นเข้ามาในหัวอย่างไร้สงสัย
“ไม่มีทาง!”
อุรามิแผดเสียง พายุมรกตพร้อมเหล่าแขนมารนับร้อยพุ่งทะยานอยู่เบื้องหน้า
“ห้าม!”
กำแพงแสงสีขาวขวางมวลพายุและเหล่าแขนมารจนแตกกระจายกลายเป็นผง ทว่ามันกลับมารวมตัวกันใหม่แล้วพุ่งลงทะลุพื้นถ้ำก่อนจะโผล่เข้าหาลินจิจากด้านหลัง
เพลิงจิ้งจอกเทพสีขาวสลัวลุกโชนท่วมร่างโดยพลัน เมื่อปะทะกับพายุมรกตและเหล่าแขนมารก็เกิดแรงระเบิดเสียงดัง
ตอนนั้นร่างของเทพจิ้งจอกสวรรค์ก็ยังยืนหยัดไม่สะทกสะท้าน
[ทักษะกลายร่างจะยกเลิกภายใน 20 วินาที]
ต้องเร่งมือ ก่อนที่จะกลับสู่ร่างเดิม
มวลพายุมรกตก็รวมตัวกันห้อมล้อมร่างของอุรามิเป็นทรงกลม ไอพิษระเหยจากแขนมารเข้าปะปน กระทั่งสีของพายุดูผิดเพี้ยนไป จากนั้นมวลพายุทรงกลมก็ขยายขนาดขึ้น
ภายในถ้ำสั่นสะเทือน เศษหินปลิวกระทบผนังถ้ำดังกึกกัก ก้อนเนื้อที่ห่อหุ้มเพกัสระเบิดออกมาเป็นเพลิงจากด้านใน
“หือ… เปล่าประโยชน์”
อุรามิชำเลืองตาไปด้านหลัง ขณะนั้นลินจิก็แผดเสียง
“คลื่นจิ้งจอกสวรรค์ปราบมาร!”
เพลิงสีขาวพวยพุ่งจากร่างของลินจิรุนแรง
พายุไอพิษของอุรามิกระจายออกมาจากมวลพายุทรงกลมขนาดใหญ่ กระจัดกระจายทั่วทิศออกมาเป็นพายุสีเขียวหม่นหลายสาย
ตอนนั้นเพกัสก็ลอยขึ้นมาพร้อมอ้าปากรวบรวมเพลิงอสูร
นิ้วมือของลินจิในร่างเทพจิ้งจอกสวรรค์ขยับพลิ้วไหวอย่างงดงาม
[‘กลายร่าง Lv.2’ จะยกเลิกภายใน 10 วินาที 9…8…]
ชีพจรกระตุกเฮือกลึกภายใน ลินจิต้องกำจัดอุรามิให้ได้ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ลินจิเงื้อมือที่ชูสามนิ้วออกจากอกขึ้นเหนือหัวแล้วฟาดลงมาทันที
“จงสลายไป!”
เพลิงขาวลุกโชติช่วงบดบังการมองเห็นของทุกสิ่ง เสียงม้าร้องดังมาจากอีกฟาก
เงาแสงรูปจิ้งจอกขนาดมหึมาพุ่งลงจากฟากฟ้าทะลุผนังถ้ำ
จังหวะนั้นเพกัสพ่นลำแสงเพลิงอสูรจู่โจม
“หน็อย! พวกแก!”
เพลิงอสูรของเพกัสและเงาแสงมหึมารูปจิ้งจอกพุ่งปะทะก้อนพายุพิษขนาดใหญ่ทันที
ทว่าพายุไอพิษที่ล้อมกายอุรามิก็ต้านการจู่โจมของทั้งสองเอาไว้
เพลิงอสูรลามไปทั่วก้อนพายุ เงาจิ้งจอกขนาดใหญ่ใช้เท้าทั้งสองพยายามทะลวงเข้าไปด้านด้านใน
“ฮะฮะฮ่า เปล่าประโยชน์ ดวงจิตของเทพบุตรคิกิอยู่กับข้า เมื่อรวมกับความชั่วร้าย มันช่างทรงอานุภาพยิ่งนัก พวกเจ้าไม่มีทางชนะหรอก!”
อุรามิยกมุมปากข้างหนึ่ง
แรงปะทะจากมวลพลังของทั้งสามกวาดผนังถ้ำแตกกระจุยกระจาย
“จะอะไรก็ช่าง แกมันชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”
เสียงทุ้มของลินจิตะโกน เขาไม่มีเวลาแล้ว
[‘กลายร่าง Lv.2’ จะยกเลิกภายใน 5 วินาที 4…3…2…1…0]
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แสงสว่างจากด้านนอกสาดเข้ามาในโพรงถ้ำ
ชีพจรของลินจิก็กระตุกอย่างแรง ร่างกายเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นมา
เมื่อเพลิงจิ้งจอกสีขาวซึ่งลุกโหมกระหน่ำพลันวูบดับลง ร่างของลินจิก็กลับมาดังเดิม
“หน็อย…”
ลินจิล้มทรุดลงนั่งอย่างอ่อนล้า
เหล่ามือมารนับร้อยแหวกออกมาจากมวลพายุทันที ก่อนจะเข้าพันร่างของลินจิและเพกัสไว้
พายุไอพิษของอุรามิพลันสลายตัว และค่อย ๆ สงบลงไป
“หึหึ ข้าไม่ทำร่างเจ้าเละหรอก จงมาเป็นส่วนหนึ่งของข้า”
อุรามิยกยิ้มเบิกตากว้างอย่างน่าหวาดกลัว
พอเพกัสปล่อยเพลิงลุกท่วมตัว แขนมารที่รัดร่างของม้าอสูรก็สร้างพายุหมุนสลายเพลิงของเพกัสทันที
เพกัสร้องอย่างเจ็บปวด
“ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว เทพเจ้าเอ๋ย เพกัสเอ๋ย”
แขนมารรัดร่างของทั้งสองแน่นพร้อมดึงเข้าไป
โพรงปีศาจปรากฏขึ้นบนกายของอุรามิอีกครั้ง เขาเตรียมตัวดูดกลืนเทพเจ้าผู้สร้างโลกและม้าอสูรในตำนาน
…
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับมือได้
เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ชุนรู้สึกหวาดกลัวจากขั้วหัวใจ
ขณะที่สายลมสีเขียวบดบังสายตา จิตเทพสีมรกตก็แผ่กระจายไปทั่วดั่งคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำ ใบไม้คมกริบกำลังร่ายรำท่ามกลางสายลมหมุนพลิ้ว พายุซึ่งปรากฏขึ้นม้วนตัวดั่งวังวนที่ไม่สามารถหนีออกไปได้
เทพเบื้องหน้าแข็งแกร่งกว่าศัตรูที่ผ่านมาอย่างเทียบไม่ติด
ความน่าสะพรึงนี้ทำให้ทุกสิ่งในหัวของชุนกระเจิงหายไปหมด ความว่างเปล่าขาวโพลนพลันเข้ายึดครองพื้นที่ในสมอง
พายุมรกตนี้เหี้ยมโหดรุนแรงเกินไป ดูราวกับมันจะกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่เหลือซาก
วินาทีนั้นคำพูดของโมโมะก็หวนดังขึ้นในจิตใจอันว่างเปล่าของชุน
—มนุษย์เราจะทำร้ายบางสิ่งเมื่อหวาดกลัว
แสงหนึ่งผุดขึ้นในดวงตาซึ่งใกล้จะปิดลง
…ทำไมเทพตนนี้ถึงต้องทำร้ายเรา คำถามเกิดขึ้นในใจ
แม้จะหวาดกลัว แต่หัวใจของชุนก็ร่ำร้องปฏิเสธ
สัญชาตญาณหวาดกลัวก็จริงทว่าลึกลงไปกว่านั้น…
“ข้าไม่ทำร่างเจ้าเละหรอก เพราะข้าต้องนำร่างของเจ้าไปแลกกับดวงจิตที่ถูกชิงไป เจ้าอุรามิมันร้ายยิ่งนัก แต่ถ้าข้าได้ดวงจิตคืนมา ข้าก็จะกำจัดมันทิ้งซะ ฮะฮะฮ่า”
…เพราะกลัวว่าจิตของตนจะถูกทำลาย
พายุหมุนยังคงม้วนตัวเริงระบำอยู่รอบกาย
แต่ชุนรู้สึกได้ว่าร่างกายที่เกร็งเริ่มผ่อนคลายลง
มนุษย์จะมองเห็นสิ่งที่ตัวเองอยากมอง และค้นหาสิ่งนั้นภายในตัวเอง
หากคิดว่าน่ากลัวก็จะหวาดกลัวจากก้นบึ้งจากหัวใจ
ทว่าความกลัวนี้มันคืออะไร มันน่ากลัวเช่นนั้นจริงหรือ
สุดท้ายคนเราก็ต้องตาย กลัวก็ตาย ไม่กลัวก็ตายอยู่ดี หากหลีกหนีสัจธรรมข้อนี้ ก็เท่ากับว่าหลีกหนีความจริง
ชุนบังคับแขนที่ยังคงสั่นสะท้านและแข็งเกร็งยกขึ้นจับมือของเทพบุตรคิกิที่บีบคอตนไว้
“หือ… ยังมีแรงอีกเหรอ หึ”
เทพบุตรคิกิออกแรงบีบเพิ่มขึ้น กระแสพลังสีเขียวมรกตม้วนตัวขยายเป็นวงกว้างขึ้น
มือทั้งสองของชุนพลันอ่อนกำลัง ตกลงแนบกายอย่างไร้การต่อต้าน
เขาขยับตัวไม่ไหวอีกต่อไป
...ไม่ไหวแล้ว สงสัยจะได้ตายคราวนี้จริง ๆ
ขณะคิดถอดใจ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในสมองของชุน
—พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับ ชีวิตเป็นสิ่งมีค่านะครับ
แม้จะบาดเจ็บโทรมไปทั้งตัว ชุนก็ยังยิ้มอ่อน ๆ พึมพำว่า…
“…เจ้าหนู”
“สงสัยจะเสียสติไปแล้ว หึ”
เทพบุตรคิกิขมวดคิ้วพร้อมง้างแขนอีกข้างหนึ่งขึ้นมา ปลายนิ้วงอเกร็ง จากนั้นก็ปรากฏลมหมุนเรืองแสงสีเขียวบนฝ่ามือ
เมื่อลมหนาวบาดเฉือนปะทะแก้ม เรือนผมสีดำก็โบกสะบัด
ทว่าตอนนั้น… ชุนก็ยกแขนขวาที่ห้อยตกขึ้นมาอย่างอ่อนแรง
“ทสึจิ…”
เทพบุตรคิกิมองอย่างสงสัย ชุนยังคงพึมพำเหมือนคนพูดคนเดียว
“มิซึ…”
“ฮะฮะฮ่า เปล่าประโยชน์ จะร้องขอภาวนาก่อนตายเหรอไง”
สายลมหมุนเพิ่มความรุนแรงเป็นทวีคูณ
“ฮิ…”
“คามินาริ…”
สิ้นเสียงพึมพำ เทพบุตรคิกิก็เบิกตากว้างประหนึ่งตกใจ
เปลือกตาของชุนสั่นสะท้าน
ปรากฏดาวห้าแฉกขนาดมหึมาส่องประกายปกคลุมผืนฟ้าในทันที เสียงสัตว์คำรามดังก้องจากเบื้องบนจนแก้วหูสะเทือน
กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นเสียงของมังกรธาตุเทพบุตรคิกิก็ช้าไปแล้วหนึ่งจังหวะ
กระแสพลังวูบไหวรุนแรง แสงสลัวคล้ายมังกรสี่ตัวโผล่ออกมาจากวงเวท ทว่าแสงก็สว่างเจิดจ้าขึ้นจนมองไม่เห็นรายละเอียด เห็นเป็นเพียงแสงสีต่าง ๆ เท่านั้น
สีน้ำตาล คือ ปราณมังกรดิน
สีฟ้า คือ ปราณมังกรน้ำ
สีแดง คือ ปราณของมังกรไฟ
และสีทอง คือ ปราณของมังกรสายฟ้า
มังกรทั้งสี่กำลังวนเวียนอยู่ใต้วงเวทมหึมา
“หน็อย!”
เทพบุตรคิกิสบถพลางแหงนมองแสงที่วูบไหวปกคลุมน่านฟ้าอย่างตกตะลึง
จังหวะนั้นชุนก็ใช้แขนปัดมือของเทพบุตรคิกิแล้วดิ่งตัวลงมา ก่อนจะคว้าดาบบนพื้นโดยพลัน
มือหนึ่งยกปลายดาบชี้ขึ้นฟ้า อีกมือหนึ่งชูสี่นิ้วตั้งกลางอก
สองตาของชุนปิดลงพร้อมบริกรรมบทคาถาลำดับต่อไป ผ้าคลุมสีดำเบื้องหลังปลิวไสว ตัวดาวเปล่งแสงทั้งสี่สี
สีน้ำตาล ฟ้า แดง ทอง สลับกัน
ทั้งหมดนี้คือเฮือกพลังสุดท้ายเท่าที่ชุนมี
“หนักแน่นดั่งพสุธา สงบนิ่งดั่งวารี ปัญญาส่องสว่างดั่งอัคคี ความดีลั่นคำรามดั่งสายฟ้าคลั่ง…”
เทพบุตรคิกิทะยานร่างลงมาโดยพลัน จิตสังหารสีเขียวลุกโชติช่วงพัลวัน พายุหมุนมรกตโหมกระหน่ำพัดเศษดินปลิวกระจาย
“ใครจะไปยอมกัน!”
จังหวะที่เทพบุตรคิกิพุ่งเข้ามาพร้อมพายุหมุนที่ปกคลุมร่างนั้น ชุนก็เปล่งบทสุดท้ายของคาถาพร้อมลืมตา
“คลื่นมังกรสี่ธาตุ คำราม!”
เสียงมังกรคลั่งสะท้านไปทั่วหล้า มังกรสี่ธาตุซึ่งลอยวนเวียนปกคลุมน่านฟ้าพุ่งดิ่งพสุธาเป็นแนวตรง
ขณะที่พายุมรกตโหมกระหน่ำเข้ามาเบื้องหน้า มังกรทั้งสี่ก็รวมตัวกันหมุนเป็นเกรียวพุ่งปะทะร่างของเทพบุตรคิกิจากด้านบน
“แก… อ๊าก..”
เสียงกรีดร้องถูกเสียงมังกรคำรามกลบ ร่างสูงกำยำของเทพบุตรถูกแสงรูปมังกรยักษ์กลืนกินจนแหลกสลาย
สิ้นสุดการทำลายเหล่ามังกรก็พุ่งหายเข้าไปในจุดแสงเล็กๆ ซึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้า ราวกับโดนโพรงมิติที่เปล่งแสงสว่างออกมาดูดเข้าไป
“จงไปสู่สุคติ…”
เสียงเขาแผ่วเบาเหลือเกิน
สติเริ่มหลุดลอย
ร่างของชุนเอียงวูบ กระแทกผืนดินพร้อมกับดาบ วงเวทบนน่านฟ้าพลอยหายเลือนไป
จู่ ๆ ดาบกระดูกเทพพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นมา
คาถาที่ชุนร่ายออกมาเมื่อครู่ คือ ‘คลื่นมังกรธาตุคำราม’ ซึ่งเป็นพลังเวทที่ใช้เรียกปราณมังกรจากต่างมิติ มีพลังในการทำลายล้างไปถึงจิตวิญญาณของศัตรู แม้ว่าร่างนั้นจะไม่ได้อยู่กับดวงจิตก็ตาม
…
สิบปีที่แล้ว ในวันสอบวิชา ‘คลื่นมังกรธาตุคำราม’ โมโมะผู้เป็นอาจารย์พึมพำออกมาว่า
...น่าแปลกจริง ๆ ตัวเล็กแค่นี้แต่สามารถใช้ได้ได้ถึงสี่ธาตุ
เมื่อมองอย่างสงสัย ผู้เป็นอาจารย์ก็พูดต่อช้า ๆ
อีกหน่อยอาจจะใช้ได้เยอะกว่านี้
แต่… ไม่หรอกมั้ง แบบนั้นก็เกินมนุษย์แล้วล่ะ
จากนั้นชุนก็เชื่อมาเสมอว่า…
ตนสามารถใช้พลังเวทได้เท่านั้นจริง ๆ
…
ลินจิถึงขีดจำกัดแล้ว
เขาใช้พลังจนหมด แม้แต่เขตอาคมก็ไม่สามารถสร้างได้
อึดอัดเหลือเกิน ร่างถูกรัดจนกระดูกแทบแตก
ความเจ็บปวดเกินบรรยายอาละวาดบ้าคลั่งราวกับหัวเราะเยาะเย้ย ตัวของเขาแข็งทื่อจนแทบไม่ขยับ ในสภาพนี้ลินจิคงจะหมดหนทางสู้แล้วจริง ๆ
ขณะสติเริ่มหลุดลอย เปลือกตาก็ค่อย ๆ ปิดลง จู่ ๆ แสงสีเขียวกลางอกของอุรามิซึ่งเป็น ‘ดวงจิตของเทพบุตรคิกิ’ ก็พลันส่องสว่างขึ้นมา
ภายในแสงสีเขียวมีจุดแสงเล็ก ๆ อีกหลากสีส่องสว่างทับซ้อนกัน
“อะ…อะไร”
อุรามิหยุดชะงักไปชั่วครู่ เบือนสายตาจากลินจิและเพกัสที่ถูกรัดด้วยแขนมาร แล้วก้มมองแสงสว่างที่พลันสว่างขึ้นมาอย่างสงสัย
ลินจิลืมตาช้า ๆ
จุดแสงหลากสีที่ส่องสว่างขึ้นมาจากกลางอกของอุรามิ สะท้อนในดวงตาของลินจิวับวาบ
เสียงของบางสิ่งคล้ายกับเสียงคำรามดังออกมาจากดวงจิตสีเขียว กระแสพลังวูบไหวรุนแรง
พริบตานั้นแสงลักษณะคล้ายมังกรขนาดใหญ่ก็พุ่งออกจากดวงจิตของเทพบุตรคิกิที่อุรามิกลืนเข้าไป
“ทะ… ทำไม…กัน!”
ปราณมังกรทั้งสี่ของชุนพวยพุ่งทะยานสู่ผืนฟ้าออกมาจากอกอุรามิ กระแสพลังมังกรธาตุทั้งสี่แผ่เป็นวงกว้าง
พื้นและผนังถ้ำทรุดพังทลาย
อุรามิพลันเบิกตา ดวงตานั้นมองไปยังเหล่ามังกรที่พุ่งมาจากอกของตน
กระแสพลังของเหล่ามังกรปัดเป่าแขนมารที่รัดร่างเพกัสและลินจิจนแหลกสลาย
ร่างของทั้งสองดิ่งลงพสุธาทันที
เพกัสก็รีบหมุนตัวกลางอากาศด้วยเรี่ยวแรงที่มี ก่อนจะตั้งหลักพุ่งเข้ารับร่างของลินจิที่กำลังลงมาอย่างทันกาล
ร่างของเทพเจ้าผู้สร้างโลกถูกช่วยไว้ ลินจินอนคร่อมซบหลังของเพกัสลืมตาปรือ
“พะ…เพกัส”
ลินจิพึมพำ
ขณะที่ร่างของอุรามิก็ถูกกลืนด้วยกระแสพลังรูปมังกร เพกัสก็มองไปยังแสงสว่างเหล่านั้นแล้วส่งเสียง
“อะ…อะไรเหรอ”
ลินจิพยายามพยุงตัวนั่งบนหลังม้า เมื่อเงยหน้าก็ปรากฏแสงรูปมังกรสว่างไสวทอประกายในแววตา
ปราณมังกรสี่ธาตุของชุนกำลังเริงระบำทะยานสู่ฟ้า บิดตัวเป็นระลอกพร้อมเกี่ยวประสานเป็นหนึ่งเดียว
เสียงมังกรคำรามดังกึกก้องอีกครั้ง วินาทีนั้นร่างของอุรามิก็แหลกสลายกลายเป็นจุณ
ก่อนที่ภาพและเสียงเบื้องหน้าจะกลับสู่ความสงบ ดวงแสงสีเขียวซึ่งเป็น ‘ดวงจิตของเทพบุตรคิกิ’ ก็แตกเป็นละอองเล็กละอองน้อยส่องแสงระยิบระยับกลางอากาศ
เมื่อสายลมพัดผ่าน ละอองแสงเหล่านั้นก็ปลิวไปกับสายลม
“…”
ลินจิมองอึ้งกิมกี่ ก่อนจะสะดุ้งพร้อมกับสติที่กลับมา
“อ๊ะ! ตายแล้ว คุณชุนจะเป็นยังไงบ้างนะ”
เพกัสดีดขาหน้ายกขึ้นกลางอากาศแล้วร้อง ส่วนลินจิก็รีบโน้นตัวลงกอดคอทันที
“นี่ ๆ จะกลับไปที่เดิมใช่มั้ย”
เสียงน่ารักถามอย่างสงสัย เมื่อดูทางทิศทางที่เพกัสมุ่งหน้าไป ลินจิก็พอจะเดาได้ว่าคงเป็นเส้นทางกลับสู่ ‘สุสานเปี๊ยกโกะ’