บทที่ 30 หวนคืนสู่มาตุภูมิ
บทที่ 30 หวนคืนสู่มาตุภูมิ
เมื่อสถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติ กลุ่มควันทั้งหมดเริ่มจางหายไป ทุกผู้คนที่อยู่ที่แห่งนี้ก็มองเห็นผู้มาเยือนคนใหม่ บางคนอาจจะยังสับสนและงงงวยว่าชายผู้นี้คือใคร แต่บางคนกลับจดจำใบหน้านั้นได้เพราะเคยเห็นผ่านสายตามาบ้าง บางคนก็จดจำได้จากใบประกาศจับที่ถูกแปะติดอยู่ทั่วสถาบัน
ชายหนุ่มผู้ต้องหาในคดีมารปลอมแปลง สไปค์ มาถึง ณ สนามประลองแห่งนี้แล้ว
“สไปค์!”
เสียงตะโกนของซิลเวอร์ดังขึ้นท่ามกลางความงงงันของผู้ชมจำนวนมาก เมื่อเขาเอ่ยชื่อนั้นออกมา หลายต่อหลายคนต่างก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที
“สไปค์?”
“เจ้ามารที่ปลอมตัวเข้ามาสถาบันน่ะเหรอ”
“ใช่เจ้านั่นจริงด้วย ทีมงานมัวทำอะไรอยู่ ไม่รีบกำจัดมันเดี๋ยวก็ได้อาละวาดจนที่นี่เละเทะหรอก!”
“ใครก็ได้ช่วยด้วย!”
หลายเสียงปะปนกันจนแยกไม่ออกแล้วว่าเป็นเสียงใครบ้าง ซิลเวอร์เอามืออุดหูตัวเองก่อนจะพยายามตะโกนโต้แย้งกับบรรดานักเรียนเหล่านั้น แต่เสียงของเขาเมื่อต้องปะทะกับกลุ่มเสียงของคนจำนวนมาก ไหนเลยจะสู้ไหว
ใบหน้าของฟลอร์เลนมีแววสั่นไหวขึ้นวูบหนึ่ง การปรากฏตัวในสถานการณ์แบบนี้ช่างเหนือความคาดหมายจนเกินไป เธอหันไปมองทางซิลเฟร์และพบว่าชายหนุ่มมีสีหน้ากังวลไม่ต่างไปจากเธอ
สไปค์ซึ่งมีสถานะเป็นเหมือนกับนักโทษหลบหนีของสถาบัน เมื่อปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางจุดที่เป็นเหมือนเป้าสายตามวลชนแบบนี้ ไหนเลยจะไม่ถูกนักเรียนทั้งหมดรวมหัวกันขับไล่
“เสียงดังโหวกเหวกดีจัง” แต่เขากลับเอ่ยคำสั้น ๆ ออกมาเพียงประโยคเดียว สีหน้าเหมือนไม่ยี่หระต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้
“หึหึ ช่างโง่เขลาที่คิดว่าการปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่จะทำให้ทุกคนเปลี่ยนความคิดทุกอย่างไปจากเจ้าได้” ฟาร์เชนพูดออกมาพร้อมแสดงสีหน้าเย้ยหยันเต็มกำลัง สไปค์จ้องเธอกลับเหมือนคนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
เขาหันกลับมามองทางฟาร์ชูลัน สภาพของเธอตอนนี้ดูไม่สู้ดีเท่าไรนัก สไปค์เอื้อมมือเข้าไปสัมผัสหน้าผากของเธอ พลันนั้นก็มีแสงเรืองรองปรากฏขึ้นมาคลุมร่างของหญิงสาวไว้ เธอรู้สึกเหมือนร่างกายได้รับความอบอุ่น ความเจ็บปวดที่แผ่ไปทั่วร่างคล้ายถูกบางสิ่งหยุดเอาไว้ สไปค์ละสายตาจากเธอก่อนจะหันไปมองทางที่นั่งคนดู เขามองไปทางสหายอีกคนที่ยังคงพยายามต่อล้อต่อเถียงกับนักเรียนหมู่มากจนแทบจะโดนเกลียดไปด้วยอีกคนอยู่แล้ว
ร่างของสไปค์หายไปจากลานประลองในพริบตา ปรากฏตัวอีกทีที่เบื้องหน้าซิลเวอร์ เขาลอยอยู่บนอากาศก่อนจะดึงมือของซิลเวอร์ขึ้นมา แล้วใช้เวลาเพียงเสี้ยววิกลับมาที่ลานประลองอีกครั้ง
“เจ้าช่วยพาฟาร์ชูลันออกไปจากที่นี่ที” สไปค์บอกซิลเวอร์แบบนั้น
“แล้วเจ้าล่ะ” ซิลเวอร์ถามกลับ เขาไม่คิดว่าสไปค์จะอยู่เป็นเป้าสายตามวลชนที่นี่เพื่อต่อสู้กับฟาร์เชน
แต่เขาคิดผิด
“ข้าจะสะสางสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ที่นี่”
สไปค์ตอบกลับสั้น ๆ แววตาจ้องเขม็งไปทางฟาร์เชนไม่กระพริบ
ซิลเวอร์พยักหน้าเหมือนเข้าใจความหมาย เขาแบกร่างฟาร์ชูลันขึ้นก่อนจะวิ่งออกไปจากที่นี่ทันที สถานที่แห่งนี้จึงเหลือเพียงสไปค์กับฟาร์เชนเพียงสองคน ผู้ชมบนโซนคนดูเริ่มตะโกนโวยวายหนักขึ้น การแข่งขันที่มั่วซั่วแบบนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงเมื่อไหร่ ทางคณะกรรมการหรือทีมงานรู้สึกจนใจจนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ได้หันหน้าเข้าไปถามเจ้าตำหนักทั้งสามที่ชมการแข่งขันนี้อยู่
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ สู้ต่อก็ได้ข้าไม่ถือหรอก” บาลล์ เจ้าตำหนักอัสนีกล่าว
“การต่อสู้ยังไม่จบ” ฟลอร์เลน เจ้าตำหนักเมฆาเสริม
“ให้การแข่งขันดำเนินต่อไป ส่งชื่อสไปค์แทนที่ฟาร์ชูลันซะ” ซิลเฟร์ เจ้าตำหนักวายุสั่งการ
ผู้บรรยายสดถึงกับอ้าปากค้าง เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ทั้งที่มันมั่วแบบนี้แต่เจ้าตำหนักทั้งสามกลับออกความเห็นเหมือนกัน คือให้สู้ต่อ...
“เอ่อ...มีการลงมติร่วมกันจากเจ้าตำหนักทั้งสามคน ว่าให้การแข่งขันครั้งนี้ดำเนินต่อไป และสไปค์จะเป็นผู้รับช่วงต่อจากผู้เข้าแข่งขันฟาร์ชูลันครับ!” คำประกาศของผู้บรรยายสดถึงกับทำให้ผู้ชมจำนวนมากส่งเสียงเอะอะดังขึ้นตามมา
“ฮ่า ๆๆ เจ้าได้ยินเสียงนี้มั้ยเจ้าหนู ไม่มีใครเขาอยากเห็นเจ้าเลยสักคน!” ฟาร์เชนหัวเราะลั่น
“มันก็เป็นแบบนี้มานานแล้วนี่ ข้าไม่ถือสาหรอก” สไปค์ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “เสียงพวกนั้นไม่มีความหมายต่อข้า เพราะสิ่งที่เป็นความหมายของข้า มันจะเกิดขึ้นนับจากนี้”
ภาพของฟาร์ชูลันลอยเด่นขึ้นมา ไม่ว่าจะทั้งบาดแผลภายนอก หรืออาการภายในที่ฟาร์ชูลันไม่แสดงออก สไปค์ต่างรับรู้ได้ทั้งนั้นว่าเธอเจ็บปวดและเหนื่อยมามากจนเกินพอแล้ว
หลังจากนี้ข้าจะรับช่วงต่อเอง
“ทั้งคู่เริ่มต่อสู้กันได้!” เสียงของผู้บรรยายสดดังขึ้น หลังจากนั้นฟาร์เชนก็เปล่งอำนาจปราณระดับเจ็ดออกมาทันที รังสีอำมหิตแผ่ขยายออกมาจนพื้นลานประลองถูกไอพิษกัดกร่อนทำลายไปทีละชิ้น ๆ
แต่มันใช้ไม่ได้ผลกับชายหนุ่มตรงหน้า...
ราวกับยืนอยู่ใกล้กันมาแต่แรก สไปค์เพียงยืดเท้าออกมาครึ่งก้าว ร่างกายเขาก็หายไปจากการรับรู้ของอีกฝ่าย ปลายนิ้วมือของเขาสัมผัสกับปลายคางของฟาร์เชน ลูบไล้ราวกับหยอกเย้า ระยะห่างของทั้งคู่ใกล้พอจะกอดกันได้เสียด้วยซ้ำไป
“ปราณไร้ลักษณ์ระดับห้า”
ปราณสีม่วงขยายตัวออกราวกับมีชีวิต พลันนั้นฟาร์เชนก็รู้สึกเหมือนร่างกายของตนถูกบงการเอาไว้จนอยู่หมัด เธอถูกเรี่ยวแรงมหาศาลหมุนควงร่างกายขึ้นไปบนเวหาหลายตลบก่อนจะถูกเหวี่ยงฟาดลงมาอัดกับพื้นอย่างรุนแรง
สีหน้าตื่นตะลึงเผยโฉมออกมา
สไปค์ฟาดเท้าลงที่แผ่นอกของเธอและเหยียบค้างไว้อย่างนั้น
“อะ...อ๊ากกกก”
“ข้าจะไม่ปราณีคนที่บาดเจ็บหรอกนะ” สไปค์กล่าวเช่นนั้น แววตาอำมหิตปรากฏพร้อมจิตสังหารที่พรั่งพรู
หากมองจากทัศนียภาพนอกสนามแข่งขันจะเห็นว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อนักเรียนทั้งหมดเห็นสไปค์หายตัวไป รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นฟาร์เชนโดนกดกับพื้นซะแล้ว
“โว้ว! เจ้าหนุ่มนั่นเก่งชะมัด!” บาลล์พูดอย่างตื่นเต้น ในขณะที่ซิลเฟร์เองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน กายเนื้อของเขาสั่นระเรื่อเหมือนคนกำลังเจอของเล่นชิ้นใหม่
ความแข็งแกร่งที่สไปค์แสดงออกมาเพียงชั่วครู่ทำให้ทุกคนเผลอคิดไปว่าต่อให้ฟาร์เชนไม่บาดเจ็บจากการต่อสู้กับฟาร์ชูลันมาก่อน ก็ยังหมดโอกาสที่จะต่อสู้กับสไปค์ได้อยู่ดี
“ป...ปราณอสรพิษระดับเจ็ด” คลื่นทมิฬสีเทาเข้มกระจายตัวออกมาจากร่างของเธออีกครั้ง
“ปราณไร้ลักษณ์ระดับห้า เคล็ดกายมายา” ร่างของสไปค์ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยอำนาจพลังที่สามารถต้านทานพิษของฟาร์เชนได้ เขาออกแรงเหยียบร่างของเธอจนจมมิดลงไปในพื้น
“ปะ...เป็นไปไม่ได้ ปราณระดับห้าทำไมถึงต้านพลังระดับเจ็ดของข้าได้!”
“เพราะข้าเก่งกว่าเจ้าไง” กล่าวจบ สไปค์ก็เอื้อมมือไปที่ถุงผ้าซึ่งพาดเอาไว้บนบ่า เขาหยิบเอาของบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าใบนั้น มันคือกระจกเงามารที่ส่องประกายเงาวับสะท้อนแสงสว่างจนทำให้รู้สึกแสบตา
พลังปราณไร้ลักษณ์หลั่งไหลเข้าไปที่กระจกใบนั้นทันที แสงสว่างเรืองรองออกมาราวกับมันกำลังส่งเสียงตอบรับผู้ใช้งานมัน และไม่รอช้า สไปค์เอาเท้าออกจากแผ่นอกของฟาร์เชนก่อนจะใช้กระจกเงามารส่องไปที่ร่างกายของเธอ แสงสว่างจากกระจกทาบลงไปบนร่างกายนั้น ฟาร์เชนรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วทั้งร่าง ราวกับกำลังโดนไฟคลอกอยู่ก็มิปาน
สไปค์มองดูภาพในกระจก สิ่งที่สะท้อนให้เห็นในนั้นคือสัตว์ประหลาดที่มีรูปลักษณ์น่าเกลียดเกินบรรยาย
“นี่คือตัวจริงของเจ้าสินะ”
ฟาร์เชนดิ้นทุรนทุรายกลิ้งตัวไปมาจนไม่เหลือสภาพของเจ้าตำหนักผู้ทรงเกียรติอีกต่อไป ร่างกายเธอมีควันร้อนระอุโชยขึ้นมา ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ สไปค์เงยหน้าขึ้นไปมองทางโซนคนดูทุกทิศทาง
“จงดูซะ นี่คือมารตัวจริงที่หลอกพวกเจ้ามาตลอด!”
น้ำเสียงของสไปค์แม้ไม่รู้สึกว่าตะโกน แต่กลับดังก้องเพียงพอให้ทุกคนได้ยินทั้งหมด มันเกิดขึ้นจากพลังปราณที่ช่วยขับอำนาจพลังเสียงออกมา ทุกคนบนโซนคนดูไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มนี่พูดเรื่องอะไรอยู่ แต่พอเห็นร่างกายของฟาร์เชนค่อย ๆ ขยายขนาดใหญ่ขึ้น พวกเขาก็เริ่มวิตกกังวลทันที
ไม่ทันไร...รูปกายของฟาร์เชนก็ไม่เหลือเค้าโครงของความเป็นมนุษย์อีก ผิวกายเนียนนุ่มสีดำกลับกลายสภาพเป็นผิวที่แห้งกรังและแข็งกระด้างเต็มไปด้วยหนามแหลมยื่นออกมาหลายต่อหลายจุด แผ่นอกขยายขนาดพร้อมกับแผ่นหลังที่กว้างขึ้นเช่นกัน นัยน์ตาสีเหลืองพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ รูปหน้ากลายเป็นทรงสามเหลี่ยมและมีเขาแหลมสองข้างยื่นออกมาจากริมหน้าผากทั้งสองข้าง
ร่างใหญ่โตที่ปรากฏแก่สายตาทุกคนทำให้เกิดบรรยากาศเงียบกริบเต็มไปด้วยความสงสัยระคนตกใจ ฟาร์เชนซึ่งไม่อาจควบคุมตัวเองได้ถึงกับเปิดเผยร่างที่แท้จริงของตนออกมา พลันนั้นเธอก็พยายามรวบรวมสมาธิและกำลังเพื่อจะกลับคืนสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง แต่ก็ล้มเหลว
ฟึ่บ!
มีคนสามคนปรากฏตัวขึ้นบนสนามประลอง สามคนดังกล่าวได้แก่เจ้าตำหนักทั้งสามซึ่งมองเห็นสถานการณ์ทั้งหมดจึงได้เร่งรุดลงมาช่วย
“ในนามของเจ้าตำหนักวายุ ขอประกาศแก่ทุกคนว่าเจ้าตำหนักอัคคีฟาร์เชนแท้ที่จริงแล้วคือมารที่ปลอมแปลงตนเข้ามาที่สถาบัน!” น้ำเสียงของซิลเฟร์จริงจังแสดงออกชัดว่าไม่ได้ล้อเล่น
“หา อะไรนะ ท่านฟาร์เชนน่ะเหรอ?”
“ไม่จริงหรอก เป็นไปไม่ได้”
“ขะ...ข้าไม่เชื่อ!”
“แต่ท่านซิลเฟร์พูดออกมาเองเลยนะ!”
หลายเสียงต่างถกเถียงกันไปมา น้ำหนักของตัวตนที่เกี่ยวกับฟาร์เชนช่างยิ่งใหญ่จนเกินกว่าเหล่าสาวกจะยอมรับได้ ในขณะที่คำพูดของซิลเฟร์ก็มีน้ำหนักถ่วงค้ำเอาไว้ไม่แพ้กัน ผู้คนจำนวนมากรู้สึกจนใจและไม่รู้ว่าควรจะเชื่อฝ่ายไหนดี
“ในนามของเจ้าตำหนักอัสนี ขอสั่งการให้เหล่าสาวกแห่งอัสนีทุกคนพร้อมประจำการเตรียมรับศึกเดี๋ยวนี้!”
“สาวกตำหนักเมฆาทุกคนฟังคำข้า” หลังจากบาลล์กล่าวจบ ฟลอร์เลนก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง “ตั้งค่ายกลล้อมเมฆาแบบตั้งรับเดี๋ยวนี้!”
เมื่อมีคำสั่งจากเจ้าตำหนักมา เหล่าสาวกภายในตำหนักต่างก็ขยับกายเคลื่อนที่ตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ทิ้งเรื่องราวชวนสงสัยเกี่ยวกับเจ้าตำหนักอัคคีไว้ทีหลัง และทำตามที่นายของตนสั่งอย่างว่าง่าย การกระทำของเจ้าตำหนักทั้งสองนั้นไม่ได้เกินไปกว่าความคาดหมายของสไปค์ เขาจ้องมองไปทางท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆดำก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาหนึ่งประโยค
“มาแล้ว”
ปรากฏเมฆสีดำเคลื่อนตัวมาด้วยความเร็วคงที่ ทุกสายตาจับจ้องไปทางเมฆสีดำก้อนใหญ่ก้อนนั้น ก่อนจะได้พบว่าแท้จริงแล้วนั่นไม่ใช่ก้อนเมฆ
สีหน้าของทุกคนซีดเผือดขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย...
สิ่งที่ดูเหมือนก้อนเมฆ แท้จริงแล้วคือกลุ่มสิ่งมีชีวิตหน้าตาแปลกประหลาดจับกลุ่มรวมตัวกันบินมาต่างหาก แม้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกมันก็คือกองทัพของเผ่าพันธุ์ที่เป็นปรปักษ์ตลอดกาลของมวลมนุษย์
ทัพมารมาถึงแล้ว...พร้อมกับรังสีความกดดันที่แผ่ซ่านออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งจักรวรรดิ
“ไม่ได้เจอกันนาน หวังว่าจะพึ่งพาได้นะ” ซิลเฟร์หันไปถามสไปค์เหมือนต้องการจะท้าทายอีกฝ่ายด้วยคำพูด
“ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ ต่อให้เป็นเจ้าข้าก็ไม่คิดว่าจะแพ้หรอก”
“ปากดีแบบนี้เอาไว้เจอกันหลังจากเสร็จศึกนี้แล้วกัน”
ซิลเฟร์หายตัวไปจากจุดนั้นทันที เขาปรากฏตัวขึ้นบนเวหา ขวางทางทัพมารเอาไว้เพียงลำพัง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นจนแทบหยุดไม่อยู่
“พลังปราณระดับเจ็ด”
พลังอำนาจแห่งปราณของซิลเฟร์กระจายตัวออกมาจากร่าง ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าเป็นรูปทรงของพยัคฆ์ที่คำรามส่งเสียงออกมา สร้างความตื่นกลัวให้กับมารแถวหน้าหลายต่อหลายตน
“หมัดวายุเฉือนตะวัน”
ปราณหมัดสีแดงเลือดพุ่งออกจากฝ่ามือและขยายขนาดขึ้นจนเทียบได้กับอาคารหนึ่งหลัง ซิลเฟร์ปล่อยปราณหมัดนี้อย่างถี่รัวราวกับลั่นออกจากปากกระบอกปืนกล ฝูงมารหลายตัวเมื่อโดนปราณหมัดนี้โจมตีใส่ก็แตกสลายไปบ้าง ล้มเจ็บไปบ้าง แต่ก็ยังเหลืออีกเป็นจำนวนมากที่ฉลาดพอจะหลบวิถีปราณจำนวนมากนั้นได้
มีบางส่วนอ้อมเข้าด้านหลังซิลเฟร์พร้อมส่งเสียงกู่ร้องเหมือนต้องการจะทำให้ชายหนุ่มกลัวเกรงพวกมันบ้างสักนิดก็ยังดี
“มังกรฟ้าคำรณ”
ยังไม่ทันที่ซิลเฟร์จะจัดการตัวที่อ้อมเข้าด้านหลังมา ก็ปรากฏเส้นปราณรูปทรงมังกรลอยลงมาจากเบื้องบนอีกที มังกรยักษ์พุ่งทะลวงใส่ฝูงมารร่างเล็กจ้อยจนแตกสลายหายไปเป็นฝุ่นละออง
มีชายผู้หนึ่งยืนอยู่เหนือเวหาในทิศที่ห่างไกลออกไป เส้นผมของเขาไหลลู่ไปตามแรงลมที่หนาแน่น ปราณสีทองกระจายออกมาทั่วทั้งร่าง
“บาลล์ ทีหลังอย่ายื่นมือเข้ามาสอดข้าอีก ไม่งั้นข้าจะเล่นงานเจ้าซะ” ซิลเฟร์พูดเสียงแข็ง
“เฮ้ย ๆ ไม่เอาสิ ข้าก็แค่ช่วยนิดหน่อยเอง” บาลล์พูดเหมือนสำนึกผิดทั้งที่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มในเชิงหยอกล้อ
ช่วงเวลาที่ทั้งคู่โต้ตอบคารมกันอยู่นี้ รอบข้างสี่ทิศทางก็ปรากฏกลุ่มทัพมารจำนวนมากรายล้อมเข้ามาหาแล้ว เหล่าสาวกตำหนักเมฆาที่ตั้งค่ายกลเตรียมพร้อมต่างก็กลืนน้ำลายลงหนึ่งอึกพร้อมกัน เมื่อรับรู้ว่าในอีกไม่ช้าตนจะต้องต่อสู้กับพวกมารที่น่าสะพรึงกลัวพวกนี้
“สไปค์”
บนพื้นดิน ฟลอร์เลนเอ่ยคำทักชายหนุ่มที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน
สไปค์มองหน้าเธอด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ในยามนี้เขารู้สึกว่าเธองดงาม ชวนให้ถวิลหาเฉกเช่นเดิมเหมือนที่เคยเป็น แต่ความรู้สึกบางอย่างมันบอกเขาว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควรทำแบบนั้น
“ท่านไม่ต้องปกป้องข้าอีกแล้ว”
ชายหนุ่มตอบกลับไปแบบนั้นทั้งที่หญิงสาวยังไม่เอ่ยคำใดออกมา
แต่มันกลับตรงกับสิ่งที่เธอคิดว่าจะถามไปเสียได้...
“ข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ท่านเชื่อสิ”
“แน่นอน ข้าเชื่อ”
แม้ผ่านมาแค่ไม่นาน แต่ฟลอร์เลนกลับรู้สึกว่าสไปค์เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปอีกขั้น เธอที่ไม่เคยเชื่อมั่นว่าเขาจะดูแลตัวเองได้จนต้องยื่นมือเข้ามาช่วยในบางครั้ง ตอนนี้เริ่มจะเชื่อใจเขาขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้เธอก็วางใจได้เสียที
ข้าคงไม่ต้องปกป้องท่านอีกต่อไปแล้ว
ภายในใจฟลอร์เลนมีคำพูดนี้ลอยขึ้นมา
“พวกเรามัวแต่คุยกันจนยัยฟาร์เชนหนีไปแล้ว ดูสิ” สไปค์ชี้ไปยังจุดที่ฟาร์เชนเคยอยู่ ซึ่งตอนนี้มันเป็นเพียงที่โล่งว่างไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ทั้งนั้น
“ช่างหัวฟาร์เชนเถอะ สตรีผู้นั้นไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น” ฟลอร์เลนแค่นเสียงตอบกลับอย่างเย็นชา
แล้วในทันใดนั้นแววตาที่เรียบเฉยของเธอยามนี้กลับเปลี่ยนไป เมื่อสไปค์จ้องมองไปยังดวงตาคู่นั้นเขากลับรู้สึกเหมือนโดนดึงดูดด้วยมนตร์เสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกลุ่มหลง สีหน้าของเขามีแววหวาดวิตกกังวล เพราะกำลังสับสนว่าตอนนี้ตัวเองคิดอะไรอยู่กันแน่
สัมผัสของฟลอร์เลนที่เขารู้สึก ยามปกติมันคือความสูงล้ำที่คนอย่างเขาไม่อาจฝันถึง ความงดงามของเธอไม่อาจมีหญิงใดในหล้าเทียบเคียงได้ มันเป็นความงดงามที่ชวนให้รู้สึกเคารพยำเกรง หากไปแตะต้องก็กลัวจะบุบสลายขึ้นมา จึงทำได้เพียงจ้องมองเท่านั้น
แต่ในยามนี้กลับไม่เหมือนเดิม ราวกับสตรีเบื้องหน้าเขาคนนี้เปลี่ยนแปลงบรรยากาศของตนได้ตามอำเภอใจ เธอไม่เพียงส่งรอยยิ้มผ่านดวงตาทั้งคู่เท่านั้น แต่กลับยื่นมือเข้ามาสัมผัสผิวแก้มอันบางเบาของชายหนุ่มเบื้องหน้านี้ด้วย สไปค์พลันรู้สึกว่าหากเป็นตัวเธอในตอนนี้ล่ะก็ แม้จะเป็นเขาก็สามารถเอื้อมคว้าถึงได้ไม่ยาก
รอยยิ้มที่เธอแสดงออกมาแทบจะทำให้โลกทั้งใบของเขาหยุดหมุนไปชั่วขณะ
“หากเป็นตอนนี้ล่ะก็...ข้าเชื่อมั่นว่าหลังจากนี้ท่านก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก”
สไปค์เอียงคอสงสัย สีหน้าเหมือนอยากตั้งคำถาม ใบหน้าของฟลอร์เลนในยามนี้กลับปรากฏรอยยิ้มเจือจาง เธอเบนสายตาหันไปมองที่เบื้องบน ซึ่งปรากฏกลุ่มก้อนสิ่งมีชีวิตสีดำจำนวนมากเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า เธอถอนหายใจออกมา
“ข้าคงไม่ต้องอดทนรอคอยช่วงเวลานั้นอีกต่อไปแล้ว”
เมื่อได้เห็นสิ่งนั้น ใบหน้าของฟลอร์เลนก็คล้ายคนเหม่อลอยขึ้นมาชั่วขณะ เธอจ้องสิ่งนั้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงมาจ้องไปที่ใบหน้าของสไปค์อีกครั้ง ทั้งสีหน้าและแววตาของเธอเหมือนเจือปนความเศร้าบางอย่างเอาไว้ และไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
ในตอนนี้สไปค์ไม่ได้เข้าใจความหมายของสิ่งที่เธอพูดออกมาเลยสักนิด
สิ่งที่เขาสามารถทำได้ในขณะนี้ คืออยู่กับเธอ เคียงข้างเธอให้นานที่สุด เพราะลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับเขาอย่างหนักแน่นว่าเธออาจจะต้องหายไปอีก ซึ่งเขาไม่ต้องการเช่นนั้น
เขาอยากให้ช่วงเวลานี้ดำเนินต่อไป...ให้นานที่สุด
ตลอดกาลเลยยิ่งดี