บทที่ 23 : เริ่มการผจญภัยที่แท้จริง
บทที่ 23 : เริ่มการผจญภัยที่แท้จริง
“ซีโรเซีย” กิลเลนรีบหลบทางให้เธอเข้ามาในห้อง เจ้าหมาเมื่อเห็นหญิงสาวเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นกระดิกหางใส่ ซีโรเซียอดไม่ได้ที่จะลูบหัวมัน กิลเลนยื่นเก้าอี้ให้เธอ แต่ซีโรเซียปฏิเสธเพราะเธอกะจะเข้ามาคุยแค่ครู่เดียวเท่านั้น
“ทำไมไม่ไปงานเลี้ยงล่ะ สนุกมากเลยนะ ฉันคิดว่าเธอจะไป” กิลเลนเอ่ยถามในขณะที่เก็บเก้าอี้เหล็กของตนเข้ากับโต๊ะที่มีของกระจัดกระจายอยู่ ซีโรเซียเดินไปที่โต๊ะนั้น ลอบมองของอิเล็กทรอนิกส์และของใช้บางอย่างที่ถูกรื้อมาวางเอาไว้
“นายจะลงจากยานจริงเหรอ”
“อืม” กิลเลนตอบ ซีโรเซียทำหน้าหม่นหมอง เธอละสายตามาจากของเหล่านั้นแหละมองไปที่ผนังห้องข้ามไหล่กิลเลนออกไป หญิงสาวพูดอึกอัก
“คะ...คือ”
“?” กิลเลนรอฟังซีโรเซียว่าเธอจะพูดอะไร แต่สาวผมทวินเทลก็ยังคงอิดออด เธอยังคงเม้มปาก ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ยอมบอกความในใจออกมา จนกิลเลนต้องเดินเข้าไปใกล้ เขาเลิกคิ้วและจ้องไปยังดวงตาของเธอ ซีโรเซียรีบถอยห่างและโบกมือทั้งสองไปมา
“เปล่า...เนวิลชื่นชมนายมาก เขามักจะพูดถึงนาย ถ้าเขายังอยู่เขาคงรู้สึกแย่ที่จะปล่อยนายไปตามลำพัง” ซีโรเซียหันหน้าไปทางอื่น กิลเลนยิ้มให้ เขาหันกลับไปนั่งลงที่เตียงโดยไม่พูดอะไร
จนในที่สุดซีโรเซียก็ยอมพูดเสียงแผ่วเมื่อไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ “ฉันเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน...”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างก็ไปกับบากะอินุด้วย” กิลเลนชะงักก่อนจะยิ้มกว้าง ที่เขาได้ยินแบบนั้นก็แสดงว่าเธออาจจะโกรธเขาน้อยลงบ้างแล้ว เขาลูบหัวเจ้าหมาโง่เมื่อมันตะกายจะเกาะขาของเขาเพราะได้ยินชื่อของตนเอง
“แต่ว่า...”
“ถึงอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เธอก็รู้” กิลเลนพูดดักคอ ซึ่งดูเหมือนซีโรเซียเองก็เข้าใจเรื่องการต่อสู้ในภารกิจที่ผ่านมา บีตาทีมสามารถทำมันสำเร็จได้โดยไม่มีเขา... จะพูดให้ถูกก็คือ ไม่จำเป็นต้องมีพวกกิลเลน บากะอินุ และเธอต่างหาก
ซีโรเซียลอบกำมือของตัวเองแน่น เธอรวบรวมความกล้าสูดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะพูดประโยคถัดมา
“ขอเวลาได้ไหม เรื่องการซิงโคร”
กิลเลนละมือจากบากะอินุมามองเธอ แน่นอนไม่ว่าเธอจะเกลียดหรือไม่ให้อภัยเขาอย่างไร สิ่งที่ได้กลับมาจากชายคนนี้ก็คือรอยยิ้มและคำพูดที่ไม่เคยทำร้ายจิตใจเธอเลยทุกครั้ง “ไม่เป็นไรซีโรเซีย อย่าฝืนตัวเองเลย ฉันตัดสินใจแล้ว”
“...” หญิงสาวนิ่งเงียบ อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เลือกที่จะเก็บงำมันไว้ในหัวใจ แม้จะไม่อยากให้เขาจากไปเพียงใด แต่ดูเหมือนกิลเลนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว และมันก็ยากที่จะเปลี่ยนความคิดของเขาได้ ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คงเป็นคำมั่นสัญญาที่เขาให้กับเธอไว้ในวันนั้น ชายหนุ่มยังคงจำมันได้และรักษามันอย่างดีเสมอ
กิลเลนยิ้มเศร้า เงยหน้ามามองเธอซึ่งอาจจะเป็นการสบตากันครั้งสุดท้ายของทั้งสอง
“เหมือนที่สาบานไว้กับเธอไง ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ซิงโครกับเธอ”
หลังจากใช้เวลาไปกับการเตรียมตัวหลายชั่วโมง ในที่สุดกิลเลนก็พร้อมสำหรับการผจญภัยครั้งใหม่ เขานำของติดตัวไปมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เริ่มจากพลาสมาสเปียร์ที่เป็นอาวุธคู่กาย กระเป๋าเก็บของขนาดใหญ่ที่มีที่เหลือเฟือ เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน เสบียงอาหารทั้งของตัวเองและบากะอินุ ชุดมีดและอุปกรณ์สำหรับนักเดินทาง รวมไปถึงข้าวของส่วนตัวอีกเล็กน้อย
ไม่ใช่แค่เพียงกิลเลน แม้แต่บากะอินุก็ได้ชุดใหม่เช่นกัน กิลเลนใช้เครดิตที่เหลือเกือบทั้งหมดในการติดตั้งอาวุธใหม่ที่เบาลงแต่ได้ประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้ทั้งบากะอินุและอินุจิโยะสามารถต่อกรกับแวนเดียร์ได้ดีขึ้น
“ยอดไปเลยเจ้าค่ะ ปืนพลาสมาบีมที่ติดตั้งแทนปืนอากาศมีพลังทำลายสูงพอ ๆ กับพลาสมาสเปียร์เลยเจ้าค่ะ” อินุจิโยะมองปืนใหม่ที่ติดตั้งบนชุดของบากะอินุด้วยดวงตาเป็นประกาย “แบบนี้แค่อินุจิโยะกับบากะอินุก็ล้มแมสไทป์ตามลำพังได้สบายเลย”
“ต่อไปเราจะต้องหาอาหารกันเองแล้ว คงต้องฝากให้เธอช่วยดูแลบากะอินุด้วยนะ” กิลเลนฝากฝังให้อินุจิโยะช่วย ต่อไปนี้เขาไม่แน่ใจว่าจะดูแลมันได้ดีแค่ไหน การตัดสินใจสร้างปัญญาประดิษฐ์อย่างเธอขึ้นมาถือว่าเป็นโชคของเขาแล้ว
“รับทราบเจ้าค่ะ!/โฮ่ง!” อินุจิโยะทำท่าตะเบ๊ะในขณะที่บากะอินุก็เห่ารับด้วยพอดี
ข้าวของมากมายที่กิลเลนนำติดตัวมาด้วยก็เทียบไม่ได้กับของขวัญสุดพิเศษที่เขาได้รับมา มันคือรถจักรยานยนต์แบบไร้ล้อที่เรียกกันว่า “โฮเวอร์ไบค์” รถที่แม้แต่คนที่มีเครดิตสะสมไว้มากอย่างกิลเลนก็ไม่มีปัญญาจะซื้อได้โดยลำพัง รถคันนี้คือสิ่งที่หลาย ๆ คนช่วยกันลงขันซื้อให้กับเขา
“คุณแมดเดอลีนช่วยออกส่วนนึง บีตาทีมของเราและคนอื่น ๆ ก็ช่วยสมทบทุนออกส่วนที่เหลือ” แมรีอธิบายตอนที่เธอพากิลเลนไปดูรถที่จอดรอเขาอยู่ข้างล่างดิกนิตี
“ก็อยากจะซื้อวอร์เบิร์ดให้อยู่หรอกนะ แต่ไอ้นั่นนี่รวมเครดิตจากทุกคนบนยานก็คงไม่พอ” พอลว่าบ้าง เขาเป็นคนนึงที่เสียดายที่สุดที่กิลเลนต้องลงจากยานไป นอกจากเบรนตันแล้วก็มีกิลเลนนี่แหละที่เขารู้สึกคุยถูกคอที่สุด
“พีโอเนียกับซีโรเซียก็ช่วยออกนะ ถึงสองคนนั้นจะมีเงินเก็บไม่เท่าไหร่ก็เถอะ นายก็รู้ว่าคาตาลิสต์ส่วนใหญ่ยกเครดิตทั้งหมดให้ผู้ถูกเลือก” แมรีพูดจ้อไม่หยุดขณะที่เธอลูบเจ้ายานพาหนะราคาแพงนั้นไปมา
กิลเลนพยักหน้าเข้าใจ “ฝากขอบคุณทั้งคู่ด้วยนะ”
หลังจากร่ำลาทุกคนที่มาส่งเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว กิลเลนก็ขอบคุณแมดเดอลีนอีกครั้งสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา จากนั้นเขาก็เรียกบากะอินุให้ขึ้นไปนั่งบนที่นั่งพิเศษข้างคนขับ แล้วหนึ่งคน หนึ่งสุนัขและอีกหนึ่งหญิงสาวที่ไม่มีผู้อื่นมองเห็น ก็ออกเดินทางไปด้วยกัน…
กิลเลนมองดูทิวทัศน์โดยรอบแล้วก็รู้สึกสลดใจ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนถ้าไม่ใช่แผ่นดินแห้งแล้งสุดลูกหูลูกตา ก็จะเป็นฉากสีดำที่เกิดจากพืชและสัตว์ที่ติดเชื้อแวนเดียร์จนกลายเป็นสีเดียวกัน ยิ่งมองชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ
‘...นี่คือโลกของเราจริง ๆ น่ะเหรอ…’
เขาถามตัวเองแบบนั้นหลายครั้งตลอดเวลาหลายเดือนที่ได้มาอยู่ที่นี่ สำหรับกิลเลนแล้วโลกนี้คือแห่งฝันร้ายที่หลุดมาจากไลท์โนเวลแนวโลกที่ล่มสลาย
“นี่ถ้าเรากลับไปเตือนคนในยุคก่อนหน้านี้เรื่องการโจมตีของแวนเดียร์ได้ล่ะก็ เรื่องแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้นะ”
กิลเลนฉุกใจขึ้นมา
...เดี๋ยวสิ ทำไมไม่เคยคิดมาก่อนนะ ถ้าดิกนิตีสามารถดึงคนมาจากอดีตได้แถมยังให้ความทรงจำอนาคตกลับไปได้ด้วย ทำไมพวกเขาไม่คิดที่จะป้องกันเรื่องแวนเดียร์ก่อนที่พวกมันจะบุกโลกของเรา…
...ถ้าจะบอกว่าไม่อยากให้ประวัติศาสตร์โดนบิดเบือน ก็ไม่ควรจะให้รางวัลด้วยการเห็นอนาคตสิ…
“ก็บอกแล้วว่านายน่ะเข้าใจผิด” อคาลาที่ซ้อนท้ายอยู่โพล่งออกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ดูเหมือนว่ากิลเลนจะเผลอสื่อสารทางจิตกับเธอโดยไม่รู้ตัว กิลเลนหันกลับไปคุยกับเธอเพียงครู่ก่อนจะไปหันไปสนใจทางข้างหน้าต่อ
“ก็แล้วมันอะไรเล่า เธอก็เล่ามาสักทีสิ”
“เรื่องบางเรื่อง นายต้องเห็นกับตา ได้ยินกับหู สัมผัสด้วยตัวเอง ถึงจะเข้าใจ” ผมของอคาลาปลิวไปตามสายลม บากะอินุเองก็ดูจะตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้ มันผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายครั้ง
“ถ้าเธอไม่ชอบพูดอะไรเป็นปริศนายาก ๆ แบบนี้ ก็จะน่ารักกว่านี้แท้ ๆ” กิลเลนหัวเราะร่า
“ช่วยไม่ได้นี่นา เราไม่ได้สดใสน่ารักแบบพีโอเนีย หรือปากอย่างใจอย่างแบบซีโรเซีย… ผู้ชายน่ะชอบแบบนั้นมากกว่าสินะ”
“มะ… ไม่ได้งอนอะไรใช่ไหมเนี่ย”
เธอไม่ได้ตอบแต่สองแขนที่โอบจับกิลเลนอยู่รัดแน่นขึ้น “งี่เง่า…” เธอพึมพำเสียงเบาจนกิลเลนไม่ได้ยิน
การสำรวจในวันแรกไม่คืบหน้านัก เพราะกว่าที่กิลเลนจะออกเดินทางมันก็เข้าช่วงสายแล้ว เขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก ส่วนใหญ่เขาหมดเวลาไปกันการขับวนไปมาเพื่อเติมเต็มรายละเอียดของแผนที่ที่มีความละเอียดกว่าของเดิมที่ดิกนิตีมี
“แผนที่เดิมของดิกนิตีไม่ค่อยมีอะไรเลย ส่วนใหญ่จะมีบอกแค่แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ พื้นที่อาคารสำคัญซึ่งส่วนใหญ่ก็โดนแวนเดียร์ยึดไปหมดแล้ว แต่ภูมิประเทศกลับไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ แถมยังไม่ค่อยมีชื่อสถานที่ด้วย” อคาลาอธิบายขณะที่กิลเลนแวะพักแถวลำธารแห่งหนึ่ง คำพูดของเธอทำให้กิลเลนยิ่งสงสัย
‘...จริงด้วย พวกนั้นไม่เคยบอกตำแหน่งด้วยชื่อของประเทศเลย รึว่าในช่วงหนึ่งพันปีที่ผ่านมาประเทศล่มสลายไปหมดก่อนหน้านั้นนะ…’
“ไม่สิ! ตอนนั้นคุณแมดเดอลีนเคยให้ดูข่าวการโจมตีจากหลาย ๆ ประเทศนี่นา” กิลเลนเงยหน้าขึ้นมาจากลำธารแล้วอุทานอยู่เพียงลำพัง
“บ่นอะไรอยู่คนเดียวน่ะ” อคาลายื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำให้กิลเลนเกือบหงายหลังด้วยความตกใจ เธอทำแบบนี้บ่อย แต่กิลเลนก็ไม่เคยรู้สึกชินเลย
“ก็เรื่องทั่วไปน่ะ” กิลเลนตอบส่ง ๆ ไปเพราะรู้ว่าถึงอคาลาจะรู้ที่มาที่ไปแต่เธอก็ไม่คิดจะบอกเขา อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้
“ว่าแต่นายจะสำรวจแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เหรอ” เธอเปลี่ยนเรื่อง หญิงสาวมองทิวทัศน์โดยรอบที่เริ่มมืดลงด้วยสายตาที่แฝงความเศร้า
“ไม่หรอก คือแบบนี้นะ...”
ในห้องทำงานของแมดเดอลีน ช่วงเย็นของเมื่อวานนี้ กิลเลนเข้าไปพบกับแมดเดอลีนอีกครั้งก่อนจะเริ่มออกเดินทาง แมดเดอลีนยินดีที่จะให้คำปรึกษาและแนวทางในการสำรวจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่เขาจะลงจากยานไป
“นอกจากหาทรัพยากรหรือข้อมูลทั่วไปแล้ว นายเองก็ควรจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือต้องมีภารกิจของตัวเอง” แมดเดอลีนกล่าว
“ภารกิจ” กิลเลนทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่เหมือนกับภารกิจที่ได้รับจากที่นี่หรอกนะ ไม่มีเครดิต ไม่มีใครมามอบรางวัลให้ แต่สิ่งที่ได้นายมาจากการลงทุนลงแรงบางทีอาจจะมีค่ายิ่งกว่าก็ได้ ตัวอย่างเช่น… อาวุธใหม่ อุปกรณ์ใหม่ ๆ”
แมดเดอลีนรู้ว่ากิลเลนกำลังงงเธอจึงอธิบายต่อ “นายรู้ใช่ไหมนอกจากดิกนิตีแล้ว ฐานทัพเคลื่อนที่แบบนี้ก็ยังมีอีกหลายที่เพรสทีจเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“ครับ แต่ก็ได้ยินมาว่า ปัจจุบันที่ยังเหลือรอดอยู่ก็มีแค่ที่นี่เท่านั้น” กิลเลนพยักหน้ารับ
“ถ้าพูดให้ถูกก็คือเราขาดการติดต่อกับยานอื่น ๆ ทั้งหมด อย่างเพรสทีจที่เราเพิ่งเจอไป ดูแล้วก็น่าจะถูกแวนเดียร์เล่นงานก่อนหน้านั้นแค่ไม่กี่เดือน”
“นั่นก็คืออาจจะยังมียานหรือซากยานที่มีทรัพยากรที่ยานลำนี้ไม่มีก็ได้สินะครับ”
“ใช่แล้ว… อย่างเซเลบริตีที่หายสาบสูญไปทางทิศตะวันตก เองก็มีเทคโนโลยีอาวุธที่ล้ำหน้ากว่ายานลำนี้ซะอีก ถ้านายหามันพบบางทีอาจจะได้อาวุธใหม่ก็ได้นะ” แมดเดอลีนยิ้มกว้าง มือประสานรองใต้คางมองกิลเลนที่เริ่มสนใจในการสำรวจโลกขึ้นเรื่อย ๆ
“แสดงว่าอาจจะมีอาวุธร้ายแรงที่เอามาอัพเกรดให้ดิกนิตีได้ หรือบางทีอาจจะมีพาหนะที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าวอร์เบิร์ด”
“นั่นก็ใช่ แต่ไม่ได้มีแค่นั้นหรอกนะ ฉันเคยได้ยินมาว่าที่นั่นมีอาวุธชนิดพิเศษที่ผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่งของเซเลบริตีเท่านั้นจะได้ครอบครอง”
กิลเลนตาเบิกโพลงด้วยความสนใจ “คุณคงไม่ได้กำลังจะบอกนะครับว่ามันคือหอก”
แมดเดอลีนยักไหล่ เธอพิงหลังกับเก้าอี้หนังและหมุนมันไปมา “แค่ข่าวลือเท่านั้นแหละ แต่ฉันเคยได้ยินมาว่าอดีตอันดับหนึ่งของที่นั่นใช้อาวุธที่ชื่อกังเนียร์”
ชื่อนี้กิลเลนคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะเขาเคยผ่านตามาจากไลท์โนเวลหลายเรื่อง มันคือชื่อของหอกที่เทพเจ้าโอดีนจากตำนานเทพนอร์สใช้ “หอกที่ไม่มีวันพลาดเป้า”
“ย้ำอีกครั้งว่ามันเป็นแค่ข่าวลือ หอกที่ว่าจะมีจริงหรือไม่ มีแล้วมันจะร้ายกาจจริงหรือแค่ราคาคุย เรื่องนี้ถ้านายหามันพบนายก็จะพิสูจน์ได้เอง” เธอกล่าวย้ำกับกิลเลน ส่วนตัวเธอเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพราะไม่เคยพบมันด้วยตัวเองมาก่อนเลย
กิลเลนครุ่นคิด ไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่าอาวุธที่ว่ามีจริงรึไม่ และเขาจะหาเซเลบริตีที่แม้แต่ดิกนิตีก็ยังหาไม่พบได้รึเปล่า แต่พอลองฟังดูเขาก็รู้สึกบางอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว
‘...น่าสนุกดีแฮะ ลองแวะไปหาดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายนี่นา…’
“สรุปว่าอยากจะไปตะวันตกสินะ” อคาลาหลังจากฟังเรื่องเล่าของกิลเลนก็สรุปออกมาสั้น ๆ เธอมองกิลเลนที่ลุกขึ้นหลังจากนั่งพักมาได้เพียงครู่
“ใช่แล้วล่ะ ถึงจะไม่มีอะไรการันตีว่าจะเจอเซเลบริตีที่นั่นก็เถอะ” กิลเลนรู้ว่าอคาลาไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนไปตายเอาดาบหน้าแบบนี้ แต่นี่คือเรื่องที่เขารู้สึกว่าน่าสนุกและอยากจะลองทำจริง ๆ ครั้งแรกตั้งแต่มาที่นี่ ชายหนุ่มเดินนำหน้ากลับไปที่พาหนะของตน
“ไปทางตะวันออกกันเถอะ” อคาลาพูดขึ้นมาแล้วเดินมายืนข้าง ๆ เขา ชายหนุ่มแทบจะเซถลาเมื่อได้ยินที่เธอบอก
“เดี๋ยวสิเว้ยเฮ่ย นี่เธอฟังฉันพูดบ้างรึเปล่าเนี่ย” กิลเลนเกาหัวก่อนจะหันกลับมามองอคาลาที่ยืนห่างเขาเพียงคืบ
“ฟังสิ นายอยากจะไปตะวันตก แต่เราจะไปทางตะวันออกแทน” เธอชี้นิ้วหนึ่งไปอีกทาง แต่ก็เปลี่ยนทิศเป็นทางที่เธอต้องการไปอย่างหน้าตาเฉย ดวงตาคู่สวยจ้องมองกิลเลนอย่างไม่รู้สึกรู้สา
กิลเลนได้ฟังแล้วก็อยากเอาหัวโขกพื้นตายให้มันรู้แล้วรู้รอด อคาลามีแผนอะไรสักอย่างแน่นอน แต่เธอดันไม่อธิบายให้เขาเข้าใจ สุดท้ายกิลเลนก็ถามออกไปโดยไม่ได้คาดหวังนัก “ตะวันออกมีอะไร”
“นายต้องเรียนรู้ที่จะอาศัยบนโลกนี้ก่อน” เธออธิบายแบบที่ไม่ได้ช่วยให้กระจ่างขึ้นแม้แต่นิด