ตอนที่แล้วบทที่ 22 : ความหมายของนักผจญภัย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 24 : จบการสอบรอบแรก

บทที่ 23 : การสอบรอบที่หนึ่ง


บทที่ 23 : การสอบรอบที่หนึ่ง

คงยากจะเชื่อหากจะบอกว่าผู้เข้ารับการทดสอบเป็นนักผจญภัยสังกัดสมาคมเทรียลนั้นบัดนี้ถอนตัวออกไปกว่าครึ่งทั้งที่ยังไม่ทันได้เริ่มการทดสอบจริงจังใดๆ เลย เพียงแค่ได้ฟังเรื่องเล่าและประสบการณ์ของเหล่าอดีตนักผจญภัยเท่านั้น ต่างคนก็ต่างหมดกำลังใจไม่อยากสอบขึ้นมาเสียเฉยๆ

แม้แต่ผู้ที่รับผิดชอบการสอบอย่างหัวหน้านักวิเคราะห์เองก็ยังไม่คาดคิดว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ เพราะเธอก็ทำแบบนี้มาทุกปี เพียงแต่ปีนี้ดันมีหนุ่มสาวรุ่นใหม่มาเข้ารับการทดสอบมากกว่าปีที่ผ่านมาๆ อีกทั้งเรื่องที่เล่าในปีนี้ก็ค่อนข้างเข้มข้น ถึงเนื้อถึงหนังมากกว่าปกติด้วยส่วนหนึ่ง จึงทำให้สุดท้ายแล้วหลงเหลือผู้ที่ยืนอยู่เพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น

“ละ เหลือกันแค่นี้เองหรอเนี่ย... เอาเถอะมาเริ่มการทดสอบกันดีกว่า” หัวหน้านักวิเคราะห์ร่างเล็กตัดบท พร้อมกับกระโดดลงจากเก้าอี้ เรียกให้คนที่มีหน้าที่เริ่มทำการเตรียมสนามทรายสำหรับการทดสอบรอบแรก

สำหรับการเข้าทดสอบเพื่อเป็นนักผจญภัยนั้นเป็นอันรู้กันทั่วไปว่ามักจะถูกแบ่งเป็นสองรอบ คือการทดสอบความสามารถและทักษะพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อใช้เป็นข้อมูลเบื่องต้นสำหรับแบ่งสายการทำงานและจัดสรรภารกิจบังคับให้ตรงตามความถนัด

ด้วยว่านักผจญภัยอาชีพที่มีสังกัดท้องถิ่นนั้นถึงจะมีอิสระในการเลือกทำภารกิจเปิดกว้างบนกระดานภารกิจก็จริง แต่ก็ยังมีงานหลักคือภารกิจบังคับโดยตรงจากสมาคมด้วย ซึ่งข้อมูลในการสอบนี้จะถูกนำไปใช้วิเคราะห์รวมกับประวัติการทำภารกิจที่ผ่านมา เพื่อใช้ประเมินหาความถนัด จะได้มอบหมายภารกิจได้อย่างเหมาะสม

ส่วนในการทดสอบรอบที่สองจะเป็นการทดสอบทักษะในการต่อสู้และการป้องกันตนเอง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสมาคมว่าจะจัดการอย่างไร

ส่วนใหญ่มักจะให้เป็นการประลองระหว่างผู้เข้าทดสอบด้วยกันเอง หรือบางครั้งบางกรณีก็ให้ต่อสู้กับนักผจญภัยอาชีพที่มีประสบการณ์อยู่แล้วเพื่อลดความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุระหว่างประลอง และในบางพื้นที่ที่มีปัญหาเรื่องอสูรมากๆ มีอสุรชุกชุมก็อาจจะมีการจับอสูรระดับต่ำๆ มาให้ทำการต่อสู้เลยก็มี

เพราะจุดประสงค์ของการสอบรอบสองคือเพื่อประเมินความสามารถในการปกป้องตัวเองระหว่างการทำภารกิจ ซึ่งโดยภาพรวมแล้วส่วนใหญ่มักจะเป็นการถูกโจรป่าดักทำร้ายหรือการติดตามจับกุมคนด้วยกันเอง เช่นนั้นทักษะในการต่อสู้แบบคนต่อคนจึงถือเป็นเรื่องจำเป็น ยกเว้นในเขตที่มีอสูรฉุกชุมมากๆ เท่านั้นที่มักจะใช้การประลองกับอสูร เพื่อให้สมเหตุสมผลกับความเสี่ยงที่ต้องเจอในระหว่างปฏิบัติหน้าที่

“ฉันคิดว่าทุกคนคงรู้แล้วว่าการสอบรอบนี้คือการทดสอบทักษะพื้นฐาน เพราะฉะนั้นก่อนอื่นเพื่อให้ง่าย ปีนี้มีคนที่ใช้เวทมนตร์เป็นมั้ยคะ” ระหว่างที่รอให้พวกนักผจญภัยที่อาสามาช่วยงานคัดเลือกจัดเตรียมสนามทรายและขนย้ายอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ นานา เข้ามา นักวิเคราะห์สาวก็เริ่มงานของตัวเองไปก่อน โดยการถามหากลุ่มคนที่ผ่านการฝึกและเรียนรู้วิชาเวทมนตร์มา

ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีขีดความสามารถสูง แต่ก็หาได้ยากมากสำหรับสมาคมท้องถิ่นอย่างเทรียล นานปีดีดักถึงจะมีโผล่มาสักคน ด้วยว่าศาสตร์แห่งเวทมนตร์นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะร่ำเรียนกันผ่านตำราได้ง่ายๆ ต้องมีผู้ฝึกและถ่ายทอดให้ ยกเว้นก็เพียงแค่เผ่าจิ้งจอกเท่านั้นที่มักจะเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการควบคุมเวทมนตร์ง่ายๆ จำพวกการสร้างภาพลวงตาได้ตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งจะพัฒนาฝึกฝนให้เก่งได้มั้ยนั่นเป็นอีกเรื่อง และจากที่นักวิเคราะห์สาวมองด้วยสายตา ดูเหมือนปีนี้ก็ไม่ต่างจากปีอื่นๆ เพราะไม่มีใครใช้เวทมนตร์ได้เลยแม้แต่คนเดียว

พอรู้แบบนั้นก็เธอยักไหล่ แล้วหันไปมองสนามทรายด้านหลังซึ่งตอนนี้จัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เรียบร้อยหมดแล้ว โดยมันถูกจัดเป็นสามฐานใหญ่ๆ แยกกันไปตามการทดสอบ โดยส่วนแรกเป็นทางวิ่งรอบสนามระยะสี่ร้อยเมตรโดยประมาณ แต่มีสิ่งกีดขวางเป็นอุปสรรคและกับดักหลากหลายรูปแบบนับไม่ถ้วนไปตลอดจนสุดทางซึ่งมีธงแดงปักเอาไว้

“ด่านที่หนึ่งของการสอบรอบแรก ไม่ได้ยากอะไรค่ะ แค่ต้องวิ่งผ่านเส้นทางอุปสรรคพวกนี้ไปให้ถึงธงแดงเท่านั้นเอง” ไอน์เริ่มทำการอธิบายการทดสอบในฐานที่หนึ่ง ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่ได้ยากเย็นนัก เพราะอุปสรรคที่ว่าก็ไม่ได้ดูจะผ่านไปได้ยากอะไร เพียงแต่อาจจะต้องใช้แรงกายเพื่อปีนป่ายและกระโดดห้อยโหน จะลำบากหน่อยก็เพียงแค่พวกกับดักล่าหมีแบบกลไกงับที่วางอยู่ตามทาง หากเผลอไม่ระวัง นอกจากอาจจะถูกปรับตกแล้วคงจะต้องกลับบ้านไปพร้อมกับเฝือกดามกระดูกด้วย

ทว่าตอนนั้นเองที่พวกนักผจญภัยช่วยกันหามกระสอบผ้าสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งบรรจุทรายไว้จนแน่นเอามากองรวมกันตรงหน้าผู้เข้ารับการทดสอบ จำนวนกระสอบเท่ากับจำนวนคน และพ่วงด้วยถุงพิเศษขนาดเล็กกว่าสำหรับให้หัวหน้านักวิเคราะห์ใช้เป็นตัวอย่างเพื่ออธิบาย

“แต่... นักผจญภัย หลายครั้งก็มีภาระที่ต้องแบกเอาไว้บนหลัง เพราะฉะนั้นฉันไม่ปล่อยให้พวกคุณเดินตัวปลิวแน่นอนค่ะ เพราะนี่คือการสอบ” ไอน์กล่าวพร้อมกับเดินมาหยิบถุงทรายของตัวเองที่ใช้ผ้าแบบเดียวกันเพียงแต่ถุงเล็กและเบากว่าหลายเท่าขึ้นมาถือไว้ในมือ

“ตรงหน้าของทุกคนคือกระสอบผ้าบรรจุทรายหนักห้าสิบกิโลกรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักเฉลี่ยของมนุษย์... ฉันอยากให้พวกคุณจินตนาการว่ากระสอบทรายเหล่านี้คือผู้ประสบภัยที่บาดเจ็บช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คุณต้องพาเขาไปหาที่ปลอดภัยซึ่งห่างออกไปสี่ร้อยเมตรบริเวณธงแดง และต้องไปถึงโดยที่ผู้บาดเจ็บยังมีชีวิต”

ไอน์อธิบายเพิ่มเติม ก่อนจะใช้มือดึงเส้นด้ายสีแดงที่ผูกเย็บถุงผ้าสีขาวในมือของตัวออก ก่อนที่ฉับพลันทรายในถุงจะเริ่มไหลออกมาผ่านรูรั่วเล็กๆ สี่รูรอบถุงผ้า ซึ่งแต่เดิมมันถูกเย็บเอาไว้โดยเส้นด้ายที่ว่านั่น

พอเหล่าผู้เข้าสอบเห็นดังนั้นก็รีบหันไปสำรวจกระสอบทรายของตัวเอง แล้วพบว่าก็มีด้ายสีแดงเย็บรูรั่วจำนวนสี่รูเช่นกัน และที่ปลายเส้นด้านนั้นยังแผลมออกมาให้ดึงง่าย บ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขาจะต้องดึงมันออกก่อนจะเริ่มวิ่ง

“ถ้าหากทรายในกระสอบเหลือน้อยกว่าสี่สิบกิโลให้ถือว่าผู้บาดเจ็บคนนั้นเสียชีวิตทันที และพวกคุณมีเวลาในการพาคนเจ็บไปให้ถึงธงแดงเพียงแค่สองนาทีเท่านั้น ถ้าหากไปถึงช้าเกินกว่านี้ ต่อให้ทรายในกระสอบเหลือมากกว่าสี่สิบกิโลก็ให้ถือว่าผู้บาดเจ็บเสียชีวิตแล้วเช่นกันค่ะ”

ไอน์เพิ่มเงื่อนไขเข้าไปอีก ก่อนจะแกล้งเผลอทำถุงทรายในมือของตัวเองหล่นลงพื้น ในระยะความสูงระดับสายตาของชาวช่าง หรือก็คือระยะเพียงแค่สองศอกนิดๆ จากพื้นเท่านั้น ทว่ามันก็เพียงพอจะทำให้ถุงทรายแตก เป็นการบ่งบอกเป็นนัยว่ากระสอบทรายของทุกคนคนนั้นบอบบาง อย่าได้เผลอทำมันหล่นหรือไปเกี่ยวกับอะไรเข้าอย่างเด็ดขาด เพราะอาจถูกปรับตกได้ทันที

“อ้อจริงสิ ในระหว่างทางจะมีถุงทรายหนักสิบกิโลซ่อนอยู่หนึ่งถุงถ้าเจอขอให้นำไปยังธงแดงด้วยค่ะ แต่ถ้าหากไม่มีใครหาเจอฉันขอปรับตกทุกคน ให้สอบใหม่หมดนะคะ” เธอว่าพร้อมกับยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นใบหน้าเหยเกเคร่งเครียดของเหล่าผู้ที่มาเข้าทดสอบ

ด้วยการสอบนี้เธอเป็นคนคิดขึ้นมาเองและประเมินแล้วว่ามันค่อนข้างยากพอสมควรเลยทีเดียวสำหรับนักผจญภัยฝึกหัด เพราะไม่เพียงต้องแบกถุงทรายหนักๆ วิ่งผ่านสิ่งกีดขวางเท่านั้น แต่ยังมีสภาวะกดดันมากมายรุมเร้าทั้งเรื่องเวลาไปจนถึงเรื่องรูรั่วในกระสอบ รวมทั้งปัจจัยซึ่งส่งผลต่อส่วนรวมอย่างถุงทรายที่ซ่อนอยู่ด้วย ลำพังการสอบนี้แค่อย่างเดียวก็เพียงพอจะใช้เก็บข้อมูลได้หลากหลายด้านแล้ว

“ฉันจะเริ่มจับเวลาสองนาทีแล้วนะคะ ขอให้ทุกคนดึงเส้นด้ายสีแดงออกจากกระสอบของตัวเองด้วยค่ะ” ไอน์พูดพร้อมกับหยิบนาฬิกาเทียนขนาดสองนาทีขึ้นมา พลางชำเลืองสายตามองกวาดไปยังเหล่าผู้เข้าทดสอบโดยเฉาะหุ่นฮอรัสที่ตอนนี้ดึงเส้นด้ายออก ปล่อยทรายให้ไหลจากถุงช้าๆ ไม่รอใคร

พอเห็นแบบนั้นนักวิเคราะห์สาวก็ตีความเอาว่าทุกคนพร้อมแล้วจึงจุดเทียนเป็นสัญญาณเริ่มการสอบ

และในฉับพลันคนแรกที่เริ่มเคลื่อนไหวก็เป็นไปตามคาด เมื่อฮอรัสทะยานตัวเองออกไปพร้อมกับอุ้มกระสอบทราบเอาไว้ในอ้อมแขน ถึงการเคลื่อนไหวของเขาจะรุนแรงรวดเร็วปานสายอสนีบาต ตามองตามแทบไม่ทัน กระนั้นปริมาณทรายที่ไหลออกจากกระสอบก็แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย และเหนืออื่นใดเขาไม่ได้มุ่งหน้าตรงไปยังธงแดงหากแต่เป็นกอหอกหนามด้านข้างทางวิ่งหนึ่งในอุปสรรคของเส้นทางต่างหาก

ท่ามกลางความเงียบงันที่เข้ามาปกคลุมบรรยากาศจากความตื่นตะลึงของผู้คนทั่วสนามทรายทั้งผู้เข้าทดสอบไปจนถึงเหล่าผู้ชมบนอัฒจันทร์ แม้แต่นักผจญภัยที่คุมสอบหลายๆ คนเองก็ยังถึงกับอ้าปากค้างหุบไม่ลง เมื่อได้ประจักษ์แก่สายตาตัวเองถึงความเร็วระดับปีศาจที่ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยพบพานมาก่อน

แน่นอนทุกคนต่างก็รู้ว่าความสามารถทางกายภาพของฮอรัสนั้นเก่งกาจเหนือชั้นเพียงใดผ่านเรื่องเล่า แต่ใครจะไปคิดว่าสิ่งที่เล่ามาราวกับแต่งให้เกินจริงนั้น ที่แท้แล้วอาจเทียบไม่ได้แม้เพียงครึ่งหนึ่งของความจริงที่พวกเขาได้เห็นต่อหน้าในวันนี้

ทว่าในความเงียบนั้นกลับมีเสียงถอนหายใจดั่งออกมาอย่างแผ่วเบาจากปากของนักวิเคราะห์สาว ด้วยเธอรู้แล้วว่าตัวเองเผลอทำเรื่องผิดพลาด ไม่น่าเอาหุ่นสงครามตนนี้มาเข้าร่วมการทดสอบเลย

เพราะมันกลายเป็นว่าจุดที่ฮอรัสยืนอยู่นั้นคือที่ซ่อนของถุงทรายซึ่งควรจะเป็นภารกิจร่วม กดดันให้เหล่าผู้เข้าทดสอบต้องแข่งขันและร่วมมือไปพร้อมๆ กัน

แต่ดูเหมือนปัจจัยดังกล่าวจะถูกทำลายลงไปหมดสิ้นแล้ว เพราะมันถูกหาเจอตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรกของการทดสอบ

ฮอรัสกวาดมือทำลายหอกไม้ที่ปักขวางซ่อนเร้นถุงทรายออกจนหมด พร้อมกับเทินกระสอบทรายของตัวเองไว้บนไหล ก่อนจะย่อเข่าลงหยิบถุงทรายดังกล่าวขึ้นมา และหันหน้าไปทางนักวิเคราะห์เพื่อยืนยันภารกิจ แต่ชาวช่างสาวเห็นใบหน้านั้นแล้วกลับรู้สึกเหมือนเขากำลังท้าทายเธอเสียมากกว่า

และเมื่อจัดการเงื่อนไขต่างๆ ในภารกิจเรียบร้อยดีแล้วฮอรัสจึงใช้แขนล๊อกกระสอบทรายบนไหล่และใช้มือถือถุงทรายเล็กไว้มั่น ก่อนที่ฉับพลันจะกระโจนข้ามทุกสิ่งกีดขวางที่เดียวไปจนถึงธงแดง กลายเป็นคนแรกที่ผ่านการทดสอบอย่างสมบูรณ์แบบ

ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่เหนือความหมายของทุกคนมากนัก ยกเว้นก็แต่เรื่องที่เขาทำลายแผนต่างๆ ที่ไอน์วางเอาไว้จนเละเทะไม่มีชิ้นดี เพราะไม่ใช่แค่หาถุงทรายเจอ แต่ความเร็วของเขาในตอนที่เคลื่อนที่ผ่านไปยังทำให้กลไกกับดักแบบงับ ที่ติดตั้งไว้บนพื้นทำงานขึ้นมาพร้อมกันจนหมด กลายเป็นการช่วยลดระดับความยากของการทดสอบให้แก่คนอื่นๆ

และท่ามกลางความเงียบของบรรยากาศตะลึงงันนั้นเองที่ฮอรัสหันขึ้นไปบนอัฒจันทร์ มองหาเอลีอาซึ่งไม่ได้ตื่นตกใจตามคนอื่นๆ เพราะนางรู้ขีดความสามารถของหุ่นสงครามอยู่แล้ว พอเห็นว่าเขาผ่านการทดสอบแรกได้สบายๆ เช่นนั้นก็ส่งยิ้มพร้อมชูนิ้วโป้งสองข้างส่งไปให้กับหุ่นสงคราม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจความหมายของสัญลักษณ์นิ้วดังกล่าวจึงเอียงคอกลับมา

แล้วพริบตานั้นเองเสียงโห่ร้องตื่นเต้นจึงดังระงมลงจากกลุ่มผู้ชม หลังจากหลุดภวังค์ตะลึงงันตั้งสติได้ ต่างคนต่างตะโกนชื่อสมญาปีศาจแห่งเทรียลกันสนั่นหวั่นไหวไปทั้งสนามทราย ด้วยไม่มีนักท่องเที่ยวจากต่างแดนอย่างพวกเขาคนใดจะคาดคิดว่าการมาดูสอบรอบแรกเพียงเพื่อคร่าเวลาเล่นนั้น จะกลายเป็นโชคดีได้ยลโฉมฝีมือของปีศาจแห่งเทรียลตัวจริงเสียงจริง

“อะ เอ่อ เวลายังเดินอยู่นะคะทุกคน” ท่ามกลางความวุ่นวายที่กำลังก่อต่อ ผู้ดูแลการสอบอย่างหัวหน้านักวิเคราะห์พูดเตือนสติไปถึงเหล่านักผจญภัยฝึกหัดที่ขาแข็งเป็นหินกันไปหมดแล้วหลังจากได้เห็นความสามารถของหุ่นสงครามกับตาตัวเอง

“ระ รุ่นพี่ เท่สุดย้อด!!!” หนุ่มน้อยนักผจญภัยฝึกหัด คนเดียวกันกับที่เคยเกือบจะต้องถูกจับคู่ให้ต่อสู้กับฮอรัสตะโกนลั่นเสียงหลงอย่างไม่ผิดหวังที่ตั้งใจยกยอให้เป็นแบบอย่างของเขา และเมื่อตั้งสติได้จึงรีบแบกกระสอบทรายขึ้นหลังแล้วมุ่งหน้าเข้าใส่อุปสรรคสิ่งกีดขวางตามทางอย่างไม่ลังเลนำไปเป็นคนแรกในกลุ่มนักผจญภัยฝึกหัด

ฝ่ายฮอรัสที่ได้ยินสมญาปีศาจของตัวเองระพือลั่นในฝูงชนเช่นนั้น ก็หันไปแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบประดุจหิมะ แต่กังวานก้องในโสตประสาทของทุกคน “ผมชื่อว่าฮอรัส”

 

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง ที่อีกด้านหนึ่งของสมาคมนักผจญภัย ในโรงฝึกเก่าดั้งเดิมซึ่งสร้างด้วยกำแพงหินหนาหนึ่งศอกครึ่ง ไอลมหายใจสีขาวแผ่กระจายออกจากริมฝีปากอวบอิ่มของครึ่งเอลฟ์ ทั้งที่อากาศภายในโรงฝึกนั้นควรจะอบอุ่นไม่ใช่หนาวเหน็บ

ดวงตาสีฟ้าจับจ้องไปบนกำแพงหินอีกฟากหนึ่ง ซึ่งบัดนี้มีลูกศรสีน้ำเงินปักจมลึกจนสุดปลาย เผยให้เห็นเพียงปีกท้ายของลูกศรเท่านั้นที่ไม่ได้ฝังจมอยู่ในกำแพง และหากมองดูรอบๆ จุดที่ศรปักอยู่ ก็จะสังเกตเห็นเห็นรอยร้าวขนาดใหญ่กระจายตัวออกไปจากศูนย์กลางบ่งบอกความรุนแรงในยามที่ลูกศรเข้าปะทะกำแพงหิน ทว่าสิ่งที่น่าสนใจแท้จริงคือเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะกระจายไปทั่วบริเวณที่ลูกศรนั้นปักอยู่บ่งบอกอุณหภูมิติดลบถึงขนาดที่ความชื้นในอากาศยังจับแข็ง และต้นตอของมันบัดนี้อยู่ในมือนักผจญภัยสาว พร้อมกับแสงสีขาวที่ระเรื่อออกมาจากอักขระเวทซึ่งสั่นระริกอยู่บนคันธนู

“ข้าไม่เคยสงสัยเลย ...เจ้านี่แหละ ศรเหมันต์ที่แท้จริง” เสียงแหบแห้งดังขึ้นเบาๆ ผ่านริมฝีปากของชาวช่างชราซึ่งบัดนี้กำลังยืนกอดอกเหลือบตามองไปยังสร้อยซึ่งห้อยจี้อัตตะศิลาสีเขียวบนคอของเอเดล เพียงแต่สีเขียวที่เขาเห็นนั้นไม่ใช่เขียวหยกอย่างปกติ หากแต่เป็นเขียวมณีมรกตสีสดงดงาม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด