ตอนที่ 23 พยายามเข้านะ!
ตอนที่ 23 พยายามเข้านะ!
“ให้ตาย...เหนื่อยเป็นบ้า”
เฮคเตอร์ถอนใจพร้อมบ่นออกมาอย่างหมดแรงเมื่อเอนหลังลงบนเตียงนุ่มของโรงแรม เขา ชาเกล และฟอแกนด์กำลังพักช่วงจากภารกิจสืบค้นข้อมูลอยู่ที่นิวยอร์ก จากประวัติเบื้องต้นของนาตาเลีย คอลลินด์ หญิงสาวผู้มีพลังวิญญาณนอกระบบซึ่งสามารถสร้างโคลนได้นั้นทำอาชีพเป็นนางแบบอยู่ที่นี่ ทั้งสามจึงต้องมาตามสืบว่าเธอมีความเกี่ยวพันยังไงแบบไหนเป็นพิเศษกับใครหรือไม่ที่พอจะเชื่อมโยงไปหาเจ้าคนร้ายผมสีทองนั้นได้
ขั้นแรกพวกเขาเข้าไปพบกับเจ้าของเอเจนซีที่นาตาเลียสังกัด แสดงบัตรประจำตัวของหน่วยสืบราชการลับสากลซึ่งเป็นสังกัดที่ถูกต้องตามมุมมองโลกมนุษย์จริงๆ ของหน่วย K-Zero เมื่ออ้างว่านาตาเลียมีส่วนพัวพันกับองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติ ทางเอเจนซีก็ปฏิเสธความสัมพันธ์กับหญิงสาวและนำจดหมายลาออกมาเมื่อหนึ่งเดือนก่อนที่นาตาเลียได้ยื่นไว้มาให้ดูในทันที
จนท้าย...ทั้งสามก็ได้เพียงรายชื่อของเพื่อนสนิทและนางแบบในสังกัดทั้งหมดเพื่อตรวจสอบ ทางเอเจนซีที่ให้ความร่วมมืออย่างดีนั้นคงเพราะจะถูกนำไปเกี่ยวข้อง และคงสงสัยย่างแท้จริงว่าอยู่ดีๆ นางแบบที่กำลังจะเป็นดาวรุ่งทำไมถึงได้ลาออกกลางคันแล้วหายตัวไปดื้อๆ
ทั้งสามกระจายรายชื่อแยกย้ายกันไปหาข้อมูลกันทีละคน แม้ดูเหมือนจะไม่ได้เรื่องอะไรมากนัก แต่นั่นก็เป็นที่มาของการที่พวกเขาต้องเปิดโรงแรมห้องพักไว้แบบนี้
“เพื่อนเธอแต่ละคนดูระวังตัวมากเกินไปจนน่าสงสัย ไม่รู้ว่ากลัวตัวเองโดนล้วงความลับอะไร หรือเพราะไม่รู้อะไรเลยจริงๆ กันแน่นะครับ” ชาเกลที่หย่อนตัวลงบนโซฟาหันไปคุยกับหัวหน้าหน่วยที่กำลังเปิดตู้เย็นหาเครื่องดื่มเย็นๆ
“นั่นสินะ แต่ยังดีที่น่าจะได้เรื่องได้ราวสักคน ตอนนี้ที่นี่กี่โมงแล้วนะ คุณแอนเดรียจะมากี่โมงเฮคเตอร์”
เฮคเตอร์ดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วคำนวณกลับอย่างคล่องแคล่ว
“เที่ยงคืนแล้ว เธอบอกเสร็จธุระประมาณตีหนึ่งแล้วจะติดต่อมา”
“โอเค นายจัดการคนเดียวเลยนะ ต่อให้ต้องทำอะไรก็ต้องให้เธอบอกข้อมูลที่มีประโยชน์ให้ได้”
“เดี๋ยวสิ หัวหน้าทำไมต้องเป็นผมคนเดียวล่ะ”
“ก็แกเป็นคนนัดเธอได้ แถมยังพูดอังกฤษคล่องสุด ลองนึกภาพว่าแกเป็นผู้หญิงแล้วเปิดในเจอผู้ชายแปลกหน้าสามคนในโรงแรมใครมันจะกล้าเข้ามา อยู่คนเดียวนั่นแหละดีแล้ว อ่านจากประวัติดูเธอจะติดเหล้าพอประมาณ ไม่รู้จะทำอะไรก็ชวนดื่มหลอกถามไปเรื่อยๆ นั่นแหละ ฉันกับชาเกลจะไปรอฟังจากเครื่องดักฟังอีกห้อง”
“ไม่ใช่ต้องหลอกล่อด้วยหน้าหล่อของเจ้าชามันเหรอ ไม่ก็สกิลจีบสาวของลุงต่างหาก”
“แกนั่นแหละเฮคเตอร์ อย่าเรื่องมาก”
เฮคเตอร์ถอนใจ สงสัยงานนี้คงจะต้องจัดการต่ออีกยาว ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ในตอนแรกเขาจะโทรหาโซอี... แต่ก็เปลี่ยนใจโทรหาเคนเซย์แทน
ออฟฟิศหน่วย K-Zero ในเวลาเที่ยงวัน เคนเซย์ที่เพิ่งสอบเสร็จก็แวะเข้ามาที่ออฟฟิศเพราะวันนี้แทบไม่มีใครอยู่เลย ก่อนจะได้รับโทรศัพท์จากเฮคเตอร์พอดี
“หัวหน้า พี่เฮคเตอร์กับพี่ชาเกลติดภารกิจอยู่ที่นิวยอร์กครับไม่รู้จะได้กลับเมื่อไหร่ เย็นนี้ก็เลยฝากให้ผมรับคุณโซอีกับธาวินไปอยู่ที่บ้านก่อน กลับมาเมื่อไหร่คงมารับกลับไปเอง”
เคนเซย์บอกกับโซอีและธาวินที่นั่งอ่านหนังสืออยู่คนละมุมโซฟา งานใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาของท่านรองเอ็ดเวิร์ดดูเหมือนจะเป็นการสอนหนังสือให้เด็กๆ ไปแล้ว
“จริงเหรอ ดีจัง ฝากโทรบอกคุณแม่ของเธอด้วยได้มั้ยว่า ตอนเย็นฉันอาจจะได้ไปเรียนทำขนมด้วย”
เคนเซย์มองโซอีอย่างงุนงงว่าพี่สาวตัวเล็กคนนี้กับแม่ของเขาไปสนิทกันขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร
“อ่า ผมจะบอกให้นะครับ แต่ไม่แน่ใจเท่าไหร่นะครับว่าตอนนี้ท่านแม่จะว่างทำแบบนั้นรึเปล่าถ้าไม่ได้นัดกันล่วงหน้า พอดี...เอ่อ ตอนนี้บ้านผมมีอะไรต้องเตรียมการอย่างเร่งด่วน”
“หืม...เกิดอะไรขึ้น มีอะไรรึเปล่าเคนเซย์” เอ็ดเวิร์ดที่อยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเองหันหน้ามาถามในทันที
“ก็...เอ่อ แบบว่า...อาทิตย์หน้าผมจะแต่งงาน”
“หา!” ธาวินร้องเสียงหลงดังลั่น ในขณะที่โซอีเกือบสำลักกาแฟ คงมีแต่เอ็ดเวิร์ดที่ดูไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก
“คุณเฟย์นะยินยอมเองเหรอ”
“ครับ ก็มีเงื่อนไขอะไรๆ กันนิดหน่อยแหละ งานก็จัดเล็กๆ แบบกันเองภายในครับ คงเชิญแต่พวกกองปราบวิญญาณไปนั่นแหละ ยังไงสถานะทางสังคมพวกเราก็ยังไม่พร้อมสักเท่าไหร่”
“โหยพี่! พี่อายุมากกว่าผมห้าปีเองนะ จะแต่งงานแล้วเหรอ ตาลุงฟอแกนด์มาได้ยินเข้านี่คงช็อกตาย ฮะฮะฮะ”
“นั่นสินะ...จะว่าไปฉันก็เพิ่งจะเกือบยี่สิบเอง ดูแล้วก็เร็วจริงๆ นั่นแหละ”
เคนเซย์ตอบธาวินกลับ พลางนึกไปว่าผู้ชายสมัยนี้คงไม่มีคิดอยากจะแต่งงานตอนอายุยี่สิบแน่ๆ อ่อ...ยกเว้นเจ้าบ้านั่นที่เพิ่งไปเกิดไว้คนหนึ่งละกัน
“ยินดีด้วยนะเคนเซย์ ขอให้มีความสุขนะ”
“ขอบคุณครับคุณโซอี... ผมไม่แน่ใจว่าพี่เฮคเตอร์เล่ารายละเอียดให้ฟังแค่ไหน คือผมก็ไม่รู้ว่ามันใช่เรื่องน่ายินดีรึเปล่าหรอกนะ”
“ต้องเป็นเรื่องน่ายินดีสิ ถ้าพิธีชำระวิญญาณนั่นใช้ได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต แล้วเธอก็เลือกที่จะใช้มันกับคุณเฟย์นะไปแล้ว นั่นก็แปลว่าเธอรู้ดีว่าคุณเฟย์นะเป็นคนสำคัญถึงขนาดนั้นใช่มั้ยล่ะ แล้วเป็นเรื่องไม่น่ายินดีตรงไหนที่เราจะได้แต่งงานกับคนสำคัญของเราแบบนั้น คุณเฟย์นะเองก็คงจะรู้สึกขอบคุณนายอยู่บ้างนั่นแหละ แต่ให้ตอนนี้ไม่ได้รักแต่เธอก็ไม่ได้เกลียดนายหรอกถึงยอมแต่งงานด้วย ฉันยินดีกับนายด้วยจริงๆ นะ ที่เหลือก็แค่ต้องพิสูจน์ตัวเองแล้ว พยายามเข้านะ”
“นะ...นั่นสินะครับ ที่เหลือก็แค่ต้องพิสูจน์ตัวเองสินะ”
เคนเซย์มองโซอีที่อมยิ้มให้เขาแล้วก็รู้สึกมีแรงฮึดขึ้นมา นั่นสินะ...นี่ไม่ใช่เวลาจะมานั่งคิดอะไรมากแล้ว เคนเซย์ไม่เคยนึกเสียใจทีหลังที่ทำแบบนั้นลงไป ต่อให้ย้อนเวลากลับไปอีกครั้งเขาเองก็คงจะตัดสินใจทำพิธีนั้นเหมือนเดิม
“เฮ้อ...น่าอิจฉาจัง ฉันเองก็อยากจะมีใครแบบนี้บ้างเหมือนกันนะ”
โซอีเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของเฮคเตอร์เพื่อหยิบกระป๋องใส่บัตเตอร์เค้กออกมา ได้เวลาอาหารว่างรายสามชั่วโมงของเธอแล้ว
“พูดอะไรแบบนั้น พี่ก็มีพี่เฮคเตอร์อยู่นี่นา”
ธาวินเอ่ยขึ้น โซอีชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมา
“เขาไม่สนใจเด็กเจ็ดขวบแบบฉันหรอก คงชอบแบบตูมๆ เหมือนคุณหมอคนสวยนั่นมากกว่า”
“หือออ พี่โซอีออกจะน่ารักทำอาหารก็เก่ง ถ้ายังไงมาเป็นแฟนกับผมก็ได้นะ”
โซอีหยิบฝากกล่องพลาสติกฟาดหัวธาวินเบาๆ
“กลับไปเรียนหนังสือก่อนไป๊ เอาไว้โตเป็นหนุ่มกว่านี้อีกสักสิบปีฉันจะลองคิดดูนะ”
“โหย รอผมโตอีกสิบพี่ผมคงต้องเรียกพี่โซอีว่าป้า...”
เคนเซย์รีบตรงเข้าไปตะครุบปิดปากธาวินไว้ก่อนที่เจ้าเด็กปากมากนี่จะไม่มีปากได้พูดอีกต่อไป
เสียงโทรศัพท์ประจำสำนักงานบนโต๊ะของชาเกลดังขึ้นช่วยเหลือสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนี้ไว้ หากนับกันโดยตำแหน่งแล้ว ชาเกลก็ทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงานของหน่วยนั่นเอง
เอ็ดเวิร์ดกดโอนสายเข้าเครื่องบนโต๊ะตัวเองก่อนจะรับสาย
ทั้งสองเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะในระหว่างที่ท่านรองกำลังคุย โซอียังถลึงตามองธาวินอย่างเอาเรื่อง ในขณะที่เด็กหนุ่มยังยืนหน้าซีดเพราะมือของเคนเซย์ทั้งทั้งปากทั้งจมูกเขาไว้จนแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว
“ได้ครับ ขอบคุณมากครับ แล้วพบกันครับ”
เอ็ดเวิร์ดวางสายก่อนจะแจ้งข่าวน่าตื่นเต้นข่าวใหม่ที่ทำให้ทุกคนมุ่งความสนใจไปตรงนั้นแทน
“สำนักพระราชวังติดต่อมานัดวันเวลาที่จะเข้าพบเจ้าหญิงเฌอรีนได้แล้ว”
“โห... เราจะได้เข้าวังเหรอครับ” ธาวินรีบเอะอะเปลี่ยนเรื่องในทันที
“ไม่ใช่เธอ...ธาวิน ไปอ่านหนังสือเตรียมตัวซะ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปนายต้องเริ่มไปเรียนการใช้พลังของนักสะกดวิญญาณแล้ว”
ธาวินรับคำอย่างผิดหวังและตื่นเต้นไปพร้อมๆ กัน ก่อนจะออกจากออฟฟิศไปยังห้องสมุดของสถาบัน เพื่ออ่านหนังสือประวัติศาสตร์คาเรมที่เอ็ดเวิร์ดเขียนรายการไว้ให้อ่านหลายเล่ม
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปแจ้งข่าวกับหน่วยอื่นๆ ก่อนนะครับ ยังไงก็คงต้องเชิญไปงานอาทิตย์หน้าด้วย”
พูดจบเคนเซย์ก็เดินออกจากออฟฟิศไปเช่นกัน โซอีได้แต่มองไปรอบตัวแล้วถอนใจ เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน
“ฉันมีเรื่องจะปรึกษานิดหน่อยค่ะ”
จนท้ายหญิงสาวตัวเล็กก็เดินไปหาเอ็ดเวิร์ดพร้อมกับลากเก้าอี้มานั่งคุยกัน
“มีปัญหากับเฮคเตอร์เหรอ”
ท่านรองของหน่วยถามกลับมาราวกับอ่านใจของหญิงสาวได้ในทันที
“เอ่อ...ก็ไม่เชิงค่ะ แต่มีเรื่องสงสัยบางอย่าง คุณเอ็ดก็พอรู้ใช่มั้ยคะ เรื่องที่เขาไม่อยากคบหาใครไม่อยากแต่งงานอะไรแบบนั้น เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ทำไมเขาถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้”
เอ็ดเวิร์ดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบกลับแบบแบ่งรับแบ่งสู้
“เขาน่าจะเป็นแบบนั้นตั้งแต่เริ่มเข้ามาในหน่วยแล้ว เฮคเตอร์ปะทุพลังตอนอายุสิบห้า ฝึกใช้พลังเรียนรู้อะไรต่างๆ อยู่ช่วงหนึ่งแล้วก็เข้ามาทำงานที่นี่ ชีวิตก่อนหน้านั้นเขาเองก็คงจะเจอมาหนักพอดูนั่นแหละ จนแม้แต่เจ้าตัวยังไม่เคยพูดถึงมันอีกเลยสักครั้ง จะว่าไปเขาเองก็คล้ายๆ ธาวิน เหมือนได้เจอโลกใบหใม่จนไม่คิดจะกลับบ้านอีกเลย แต่ก็ไมได้สดใสพูดมากเหมือนเจ้าเด็กจากไทยนี่หรอกนะ นานเป็นปีอยู่เหมือนกันกว่าเขาจะกลายมาเป็นแบบที่เห็นนี้ได้”
“คุณเอ็ดก็ไม่รู้เบื้องหลังของเขาก่อนมาที่นี่เหรอคะ”
“จะว่ายังไงดี... เรื่องบางเรื่องก็ควรให้เจ้าตัวเป็นคนพูดเองมากกว่าน่ะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
โซอีเพียงรับคำแล้วลอบถอนใจ เมื่อสุดท้ายก็ไม่ได้รู้อะไรมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่คิดจะลองไปเรียนการใช้พลังนักสะกดวิญญาณดูจริงๆ เหรอครับ คิดว่าฆ่าเวลาไปพลางๆ ก็ได้ ถึวเลาคับขันมันอาจจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมาได้นะ ผมรู้สึกว่าคุณคงไม่ห่วงตัวเองเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยถ้าลองคิดว่าเผื่อมันจะช่วยคนสำคัญของเราได้บ้างในเวลาฉุกเฉินล่ะ แบบนั้นอาจจะดีกว่ารึเปล่า”
“ฉัน...” โซอีอ้ำอึ้ง เหมือนเธอโดนอ่านจนรู้หมดว่าที่เดินมาถามเกี่ยวกับเฮคเตอร์นี้เพราะกำลังมีเรื่องอะไรแน่ๆ
“รู้มั้ยว่าอะไรในตัวของคุณกับเฮคเตอร์ที่เหมือนกันที่สุด”
โซอีนึกไม่ถึงทีเดียวว่าจะถูกถามแบบนี้ แน่นอนว่าเธอไม่เคยคิดอะไรพวกนี้มาก่อนเลยอยู่แล้ว
“เอ่อ...ไม่รู้สิคะ”
“คุณกับเฮคเตอร์น่ะชอบคิดว่าตัวเองไม่มีค่าพอกับใครทั้งนั้น นั่นแหละที่เหมือนกันที่สุด ผมว่านั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากคบหาใคร มีความสัมพันธ์กันแบบผู้หญิงผู้ชายก็ได้ เพราะคิดอยู่ตลอดว่าตัวเองไม่มีค่าพอให้ใครมารักนั่นแหละ”
ฟังแล้วโซอีทำได้เพียงนิ่งงัน ซอกหนึ่งส่วนใดในหัวใจเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างผิดปกติ
ที่ผ่านมาเธอเอาแต่ใจตัวเองไปหรือเปล่านะ
เพราะกลัวว่าตัวเองจะต้องเจ็บปวดถึงได้ไปบีบคั้นคนอื่นแทนหรือเปล่า
เฮคเตอร์ผิดงั้นเหรอที่ใจดีกับเธอแบบนั้น
ก็แค่ทุกอย่างมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เธอหวังไว้ เธอก็เลยหาทางเอาตัวรอดออกมาก่อนโดยที่ไม่ได้สนใจว่าเขาจะคิดหรือจะรู้สึกยังไงมากกว่าสินะ
โซอีได้แต่คิดย้ำทบทวนถามตัวเองไปมา หรือว่าแท้ที่จริงแล้วเธอก็แค่ต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองเหมือนกัน...
เคนเซย์เดินออกไปแจ้งข่าวพร้อมกับเชิญปากเปล่าอย่างเป็นกันเองกับบรรดานักปราบวิญญาณของหน่วยต่างๆ ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ทุกคนล้วนยินดีและตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าเจ้ารุ่นน้องที่เด็กที่สุดคนนี้ข้ามหน้าข้ามตาตัวเองไปเสียแล้ว
ก่อนออกจากออฟฟิศของหน่วย K-1 เคนเซย์ก็สวนกับยูทากะที่ใส่ชุดนักศึกษาของสถาบันกองปราบปรามเช่นกัน
“สอบเสร็จแล้วเหรอครับรุ่นพี่”
เคนเซย์ทักทายขึ้นก่อนอย่างอารมณ์ดี
“อื้อ เธอก็เหมือนกันสินะ ว่าแต่มาทำอะไรที่นี่ล่ะ วันนี้ไม่มีงานที่หน่วยเหรอ”
“ก็มีแหละฮะ เดี๋ยวคงต้องกลับไปช่วยเอ็ดจังเหมือนกัน แต่ตอนนี้เวลาพักเที่ยงนี่นา ขออู้อีกแป๊ปนึง ฮะฮะฮะ”
“จริงด้วยสินะ งั้นกินอะไรรึยังไปที่โรงอาหารกันมั้ย เพิ่งสอบเสร็จก็มาที่นี่เลยฉันก็ยังไมได้กินอะไรเหมือนกัน”
“อ่า จริงด้วย เลี้ยงข้าวฉลองให้ผมด้วยละกัน”
“ฉลองอะไรเหรอ”
“ผมจะแต่งงานอาทิตย์หน้าน่ะ จัดแค่งานเล็กๆ แบบคนกันเอง รุ่นพี่ต้องไปให้ได้นะครับ อ้อ รบกวนเก็บเป็นความลับกับคนในสถาบันด้วยนะครับ ความแตกมานี่เป็นเรื่องแน่ๆ”
ยูทากะนิ่งอึ้งไปแล้วเมื่อได้ฟัง... หลังจากคำว่าแต่งงานหญิงสาวสวมแว่นผู้น่ารักก็ไม่ได้ยินอะไรต่อจากนั้นอีกเลย
“พี่ฮะ... โมฉิโมชชช!”
จนกระทั่งเคนเซย์เอามือโบกตรงหน้าของเธอไปมา แล้วเรียกเสียงดังขึ้นด้วยการกล่าวทักทายในโทรศัพท์แบบของชาวญี่ปุ่น
“อะ...เอ่อ ยินดีด้วยนะ ในที่สุดนายก็สมหวังแล้วล่ะสิ”
แม้จะพูดได้ไม่เต็มเสียงตัวเองนัก แต่ยูทากะก็เค้นคำอวยพรนั้นออกจากปากตัวเองจนได้
“ขอบคุณ แต่มันก็คงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ทิมก็เพิ่งจากไป คงอีกนานกว่าอะไรๆ จะเปลี่ยนแปลงได้ หรือผมจะทำให้เปลี่ยนได้รึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย”
“ไม่หรอก...ฉันยังเชื่อเสมอนะ ว่าถ้าเราพยายามจริงๆ... พยายามทุ่มเทพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราจริงใจและมั่นคงกับเขาจริง ฉันเชื่อว่าสักวันเขาจะต้องมองเห็นตัวตนของเราแน่ๆ ฉันเองก็กำลังพยายามเหมือนกัน ถึงจะไม่มีหวังเลยฉันก็แค่อยากลองดูนั่นแหละ ความพยายามไม่เคยทำให้ใครตายหรอกว่ามั้ย แต่เราคงจะตายเปล่าๆ ถ้าเกิดมาแล้วไม่ลองพยายามทำอะไรสักอย่างแบบสุดชีวิตดูสักครั้งเลย”
“พี่พูดถูก!”
ยูทากะสะดุ้งเมื่อเคนเซย์ตะปบสองมือไว้ที่ไหล่ของเธอ
“มันคงต้องทุ่มเทแบบนั้นแหละฮะ พี่เองก็พยายามเข้านะ ป่ะ ผมเลี้ยงข้าวเที่ยงฉลองเพื่อความพยายามของพวกเรา”