ตอนที่ 23 บุรุษศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 23 บุรุษศักดิ์สิทธิ์
ซุนจ้าวหานนั้นถูกขนานนามเป็นบุรุษศักดิ์สิทธิ์
อีกทั้งความสามารถที่เก่งที่สุดก็คือดวงตาหยั่งรู้ เขาสามารถมองเห็นนิมิตถึงอนาคต ปัจจุบัน และอดีตของทุกสรรพสิ่งดุจดังดวงตาของเทพเจ้า ทว่าการมองลึกจนไปถึงแก่นวิญญาณ นั่นเป็นเรื่องที่ง่ายดายที่สุดสำหรับซุนจ้าวหาน มันง่ายยิ่งกว่าวิชาอะไรทั้งหมดเพราะเป็นสิ่งที่ติดตัวเขามาตั้งแต่กำเนิด
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่เขารู้ถึงที่มาของดวงจิตที่แท้จริงของชายคนนั้นทันทีที่พบหน้า
และตอนนี้ ในวินาทีนี้ ดวงตาหยั่งรู้ก็ทำให้ตนได้เห็นเสวี่ยหงเยว่ทำสีหน้าปั้นอยากสุดจะบรรยายออกมา เพียงเพราะโดนเปิดโปงความลับที่ปกปิดมาตลอดยี่สิบสามปี..
ความลับที่ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่าย ไม่ได้เป็นจิตวิญญาณของโลกใบนี้
“เจ้าทำหน้าตกใจนะ” ซุนจ้าวหานเอ่ยอย่างไม่ยี่หร่ะ พูดด้วยเสียงปกติ คล้ายกับเห็นเพื่อนปกปิดว่าตัวเองขโมยขนมไปซ่อนมากว่าเป็นเรื่องใหญ่ชวนคอขาด
“ดวงตาของข้าทำให้ข้ารู้มานานแล้ว หงเยว่ รู้ตั้งแต่ข้าเห็นหน้าเจ้าครั้งแรกแล้ว” ชายหนุ่มวัยสิบเก้าชี้ไปที่ดวงตาสีฟ้าใสของตน เขายิ้มให้บางๆ
และการกระทำนั้นทำให้เสวี่ยหงเยว่ดูอึกอัก อึดอัดใจจนไม่รู้จะเริ่มต้นด้วยการพูดอะไรก่อน ต่อให้นิยายแนว Isekai หลุดไปต่างโลกจะมีพล็อตตัวเอกโดนตัวละครอื่นล่วงรู้ความลับสักคนสองคนเป็นเรื่องปกติ แต่ในหนังสือเรื่องย่อเล่มนั้นมันไม่ได้ระบุถึงพื้นฐานคาร์แร็คเตอร์ของซุนจ้าวหานไปมากกว่าการเป็นนักบวชผู้ถือครองพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งสกุลซุน
แต่ไม่คิดว่าจะศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้
เสวี่ยหงเยว่กระแอมเล็กน้อย ในเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทางปกติ เขาเองก็ไม่ควรกระโตกกระตาก ต่อให้รู้เช่นเห็นชาตินิสัยจริงมามากแค่ไหน แต่ในเวลาแบบนี้จะกรีดร้องไปก็ใช่ที่ เขาไม่ใช่ตัวร้ายในการ์ตูนเรื่องหมัดเทพเจ้าดาวเหนือที่จะร้องคำว่า ‘อะไรนะ!?’ แล้วตายไปอย่างโง่ๆ
ใช่แล้วต้องสงบเข้าไว้
...
แต่โอ้ยย บอกว่าให้สงบๆ แต่เอาจริงๆ ตูนี่ฟุ้งซ่านชิบหายเลยโว้ยยยยย
“เจ้าดู...คุมตัวเองไม่อยู่นะ” ซุนจ้าวหานเอ่ย กลั้นยิ้ม หาได้ยากนักที่จะเห็นใครสักคนสับสนจนเปลี่ยนสีหน้าทุกห้าวินาทีเช่นนี้
สุดท้ายเสวี่ยหงเยว่ก็ตั้งสติได้สักที เขามองไปที่ซุนจ้าวหาน สีหน้าและความรู้สึกที่มีนั้นสับสนกันจนกลั่นออกมาเป็นคำพูดอะไรดีๆ ไม่ค่อยได้มากนัก
“หากรู้นานแล้วแล้วทำไมเจ้าถึงได้เพิ่งมาบอกข้า หากเป็นข้า เรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ข้าคงจะทักตั้งแต่วันแรกที่ได้พบหน้ากันแล้ว” เขาถาม
“ใครว่าข้าไม่อยาก...รู้ไหมตอนที่ข้าเห็น ข้าตกใจแค่ไหนกัน?” เขาทำเสียงสูง แล้วเอานิ้วชี้หมุน ๆ ยัน ๆ ลงบนหน้าผากของคนอายุมากกว่า ซึ่งเสวี่ยหงเยว่ไม่ได้ตอบโต้อะไรต่อการกระทำนั้น ความแพนิคมันทำให้เขาปล่อยอีกฝ่ายทำไปโดยไม่เถียง
เมื่อดันหน้าผากจนสาแก่ใจแล้ว ซุนจ้าวหานจึงได้พูดต่อ
“ข้าก็เหมือนกับเจ้านั่นแหละหงเยว่ เจ้าเกิดมาเพื่อภารกิจฉันท์ใด ตัวข้าเอง ก็มีหน้าที่ฉันท์นั้น ในเมื่อเจ้าเริ่มที่จะปฏิบัติหน้าที่ตัวเองแล้ว ข้าเองก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของตัวเองเช่นกัน” เขาตอบ ยกมือขึ้นลูบผมของเสวี่ยหงเยว่อย่างเบามือ ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นดูอ่อนโยน
“เจ้าพูดเรากับว่าตัวข้าคืองานของเจ้า?” เสวี่ยหงเยว่มองมือที่กำลังลูบผมตนเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่ามันดูอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเอ็นดูราวกับผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก
"เจ้ารู้อย่างนั้นหรือว่าโลกแห่งนี้คืออะไร และมีเนื้อหาเป็นเช่นไร" เสวี่ยหงเยว่ถาม ดวงตาเบิกกว้าขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ
“ใช่...และข้าจะต้องรับผิดชอบเจ้า เพราะการช่วยเหลือเจ้าในการดำเนินเนื้อเริื่องของโลกใบนี้ไปจนถึงที่สุด...คือเหตุผลที่ท่านเทพให้ข้าเกิดมา” เขาตอบด้วยรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนและจริงใจให้กับคนตรงหน้า เพราะตนนั้นเกิดมามีหน้าที่เช่นนี้คำว่า ‘เจ้าน่ะติดหนี้ข้านะ’ ที่เขาชอบบอกเกับเสวี่ยหงเยว่จึงไม่ใช่เรื่องเกินความจริงเลยแม้แต่น้อย
เสวี่ยหงเยว่ยังไม่ตอบในทันที
ในทีแรก เสวี่ยหงเยว่คิดว่าซุนจ้าวหานอาจจะเป็นผู้กลับมาเกิดใหม่จากต่างโลกเช่นเดียวกลับเขา หากแต่ยิ่งสนทนาก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่ ซุนจ้าวหานนั้นไม่ได้กล่าวอะไรเกี่ยวกับยมทูต อีกทั้งคำพูดคำจาเองก็ด้วย ไม่ได้พูดถึงเรื่องการเกิดใหม่เลยแม้แต่น้อย เพราะหากเป็นเขา ถ้าได้เจอคนที่มาเกิดใหม่เหมือนกัน คงชวนกันมานั่นเผาพริกเผาเกลือสาปส่งนังคนเขียนไปแล้ว
เสวี่ยหงเยว่กลอกตาการกระทำของอีกฝ่าย จะให้ว่าเข้าใจมันก็เข้าใจ แต่จะให้ไม่เข้าใจ...มันก็ใช่อีก แต่พอเขาได้มองลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าคู่สวยนั้นแล้ว ก็ทำให้เขารู้สึกมั่นใจได้อย่างหนึ่ง ว่าสิ่งที่ซุนจ้าวหานพูดมาทั้งหมดนั้นคือความจริง และเป็นเรื่องจริงอันสำคัญที่เขาควรรับรู้
“ข้าเชื่อเจ้าแล้ว...” เสียงเสวี่ยหงเยว่อ่อนลงมาเล็กน้อย เพราะเขารู้แล้วว่าการที่ซุนจ้าวหานถูกล่วงรู้ความลับของการกลับชาติมาเกิดใหม่ไม่ได้เป็นเส้นเรื่องที่ผิดต่อสัญญาฉบับนั้น ร่างกายเขายังไม่เป็นอะไร ยังไม่ถูกบีบให้ทรมานจนตาย...เขายังไม่ได้ทำผิดกฏอย่างแน่นอน
“แต่ทำไมถึงต้องช่วยข้า…?”
เพราะหากไม่ใช่ผู้มาจากต่างโลกแล้ว ทำไมอีกฝ่ายถึงบอกคำ ๆ นั้นออกมา
“เพราะเจ้าเป็นเพื่อนข้าแล้วก็...” ซุนจ้าวหานอ้าปากขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา
“ช่างเถอะ เจ้าจำแค่เพียงว่ามีอะไรที่ข้าช่วยได้ ข้าก็จะช่วยก็แล้วกัน”
ดวงตาสีฟ้าใสเงยมองยังแท่นผนึกพลังของต่างหูพันธนาการเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินนำเสวี่ยหงเยว่ให้ออกมาจากห้องนี้เสีย แทนที่จะให้พวกเขาทั้งคู่วนอยู่ในบทสนทนาเดิม
“เจ้ารีบไปเถอะ มีนัดหลังจากงานเสร็จไม่ใช่หรือ?” ซุนจ้าวหานว่า
แล้วทั้งคู่ก็ตกอยู่ในความเงียบงั้นไปทั้งอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าที่จะมีใครสักคนยอมแพ้ต่อช่องว่างแห่งความเงียบนี้
และใช่...
คนแพ้ก็คือเสวี่ยหงเยว่นั่นเอง
“ขอบคุณ” เขากล่าวสั้นๆ ระหว่างเอามือจับไปที่ต่างหูที่ตนสวม พลางคิดว่าจะทำเช่นไรต่อไปดี ในเมื่อเขาได้รับต่างหูซึ่งเป็นสมบัติประจำสกุลมาแล้ว เขาควรจะเอามันเก็บไว้ที่ใดดี เสวี่ยหงเยว่ไม่มั่นใจนักว่าคนที่อยู่ในสกุลตนนั้นจะเคยพบเห็นต่างหูข้างนี้มาบ้างไหม
“ผู้ใหญ่ในสกุลที่พอจะเคยเห็นมันน่ะ น่าจะไม่อยู่แล้วกระมัง?” ซุนจ้าวหานว่ายิ้มๆ คล้ายจะตอบคำถามในใจของเสวี่ยหงเยว่ ชายหนุ่มนึกไปพลาง “เรื่องของเสวี่ยเหวินจวิ้นนั้นก็ผ่านมาร่วมสามสิบปีแล้ว ตาแก่พวกนั้นน่าจะปลดระวางเลี้ยงหลานอยู่บ้านแล้วแหละน่า...”
“เรื่องนั้นข้ารู้” แต่เขาก็เลือกที่จะถอดต่างหูออก นำมาเก็บใส่ใว้ในล็อคเกตที่ห้อยคอแทน
“...ทว่านามของเสวี่ยเหวินจวิ้นนั้นนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่งโต ข้าเพิ่งเคยได้ยินจากปากเจ้าเป็นครั้งแรก” เขากล่าวตามตรง ระยะเวลาสามสิบปีนั้น มันก็แค่เจ็ดปีก่อนเขาเกิด จะว่าเสวี่ยเหวินจวิ้นนั้นเป็นท่านปู่ก็ไม่ใช่ ต่อให้ท่านตายก่อนเสวี่ยหงเยว่เกิด แต่เขาจำท่านปู่ได้ดีเพราะมีชื่อระบุในหนังสือสกุลอย่างชัดเจน
เพราะงั้น สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด...
“เขาเป็นท่านลุงของข้า...งั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นซุนจ้าวหานก็ยิ้มให้กับเสวี่ยหงเยว่ เขาก้าวเดินไปเรื่อยๆ คล้ายจะนึกทบทวนอะไรบางอย่างกับตัวเอง
“อย่างที่ข้าบอกไง หงเยว่ เขาเป็นคนที่ทำให้สกุลเสวี่ยเสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่แปลกนักหรอกที่จะไม่มีใครอยากกล่าวถึงหรือลบออกจากประวัติสกุล กว่าบิดาของเจ้าจะดึงชื่อเสียงเสวี่ยให้ดีขึ้นมาได้ขนาดนี้เนี่ย ขาบัลลังก์เกือบโดนสกุลรองเลื่อยมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร” พูดไปพลางหัวเราะไปด้วย เขาพูดราวกับเป็นเรื่องขัน
“ข้าว่าบางที เจ้าลองไปถามซิ่นหลิงดู ข้าว่าเขาน่าจะมีคำตอบให้กับเจ้า” เขาตอบด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะมองเสวี่ยหงเยว่
เสวี่ยหงเยว่ครุ่นคิดเล็กน้อย นึกตามอีกฝ่ายไปด้วย เขานึกคาใจเกี่ยวกับเสวี่ยเหวินจวิ้นเพราะมันไม่มีบอกกล่าวในหนังสือเรื่องย่อเลยแม้แต่น้อย ทว่าเรื่องราวของของท่านลุงปริศนาคนนี้นั้นมันช่างคุ้นเคย
...ไม่ใช่เพราะชื่อนั้นเป็นชื่อที่คุ้นเคย เขาเพิ่งจะรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีญาติชื่อนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องราวของเสวี่ยเหวินจวิ้นนั้นคุ้นเคยก็เพราะ...
มันคล้ายกับตัวของเสวี่ยหงเยว่ต้นฉบับราวกับว่าเคาะพิมพ์เดียวกันมาเลย...
“คล้ายกับว่าสิ่งที่ข้ากำลังทำในตอนนี้ คือการเดินตามรอยเสวี่ยเหวินจวิ้นเลยนะ” เสวี่ยหงเยว่หรี่ตาลง เขาใช้มือของตัวเองลูบสร้อยบนคอไปด้วย เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมอัญมณีนี้จึงทำให้เสวี่ยหงเยว่ต้นฉบับคุ้มคลั่งจนเป็นบ้าได้ขนาดนั้น...
...เพราะมันเคยทำให้ประมุขเสวี่ยเสียสติมาแล้วคนหนึ่งยังไงล่ะ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นซุนจ้าวหานถึงกับชะงักไป เขาจับจ้องเสวี่ยหงเยว่ สีหน้าของเขา รวมถึงแววตาดูเปลี่ยนไป มันไหววูบราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้เขาต้องเม้มปากเพื่อกลั้นมันเอาไว้
“เพราะเป็นเช่นนี้ไง ข้าจึงได้มาช่วย” เขาตอบเพียงแค่นั้น แล้วก็ยิ้มให้ด้วยสีหน้าที่กลับไปเป็นดังเดิม
“ข้าจะไม่ยอมให้ท่านต้องโดนพลังของมันครอบงำ ไม่มีทาง”
ครู่หนึ่งที่สีหน้าของซุนจ้าวหานดูจริงจังขึ้นมา มันมากเสียจนเสวี่ยหงเยว่ต้องเลิกคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก เพราะเขารับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าเพื่อนของเขาคนนี้นั้นเป็นห่วงเขาด้วยใจจริง
“ขอบคุณนะ” พูดจบก็ลูบเส้นผมของคนตรงหน้าอย่างเบามือ เสวี่ยหงเยว่รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นวันนี้ทำตัวน่าเอ็นดูขึ้นมาจากปกติเล็กน้อยพวกเขาทั้งสองเดินไปเรื่อยจนใกล้ถึงประตูทางออก
เสวี่ยหงเยว่ชะงักไปเล็กน้อย คล้ายเขาจะนึกอะไรบางอย่างออกเมื่อเห็นซุนจ้าวหานพูดถึงหลานซิ่นหลิง
“ฝากดูแลอาจารย์ด้วยล่ะ” เสวี่ยหงเยว่ว่า เขายิ้มออกมาบางๆ ส่วนซุนจ้าวหานก็หลุดหัวเราะออกมาพลางบอกว่ารู้แล้ว
พวกเขาทั้งสองสูดลมหายใจเล็กน้อยหันมายิ้มให้กันและกัน เพราะเมื่อถึงหน้าประตูทางออก เมื่อพ้นจากบานประตูนั้นไปแล้ว ก็หมดเวลาที่จะได้แสดงออกซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง
พวกเขาก็ต้องกลับไปสู่บทบาทที่ต้องแสดงออกให้สังคมรับรู้อีกครั้ง
ดวงจันทร์เคลื่อนตัวขึ้นสูง สายลมเย็นๆ พัดผ่าน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปบนฟ้าก็เห็นโคมใหญ่วาดลวดลายสัญลักณ์ดอกปี่อั้นแห่งเสวี่ย บ่งบอกได้ว่าพิธีกรรมทุกสิ่งทุกอย่างนั้นดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น แม้ว่าในคืนนี้จะไร้ซึ่งโคมนับพันลอยบนฟ้าอย่างเช่นทุกทีก็ตาม
ต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น การลอยโคมครั้งนี้เพื่อรักษาประเพณีดั้งเดิม
ไม่มีงานเทศกาลที่ครึกครื้น ไร้ซึ่งไฟ ไร้ซึ่งดนตรี กลับไปสู่จุดเริ่มต้นของธรรมเนียมที่เคยเป็น พิธีการยังคงอยู่ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างเช่นปกติ แต่กระนั้น ก็ไม่มีอะไรเลยที่จะใกล้เคียงกับคำว่าปกติ...
หลานซิ่นหลิงเดินอย่างสงบเงียบในตามทางเดิน ดวงตาสีดำขลับทอดมองถึงทุกๆ สิ่งที่ผ่านให้เห็นแก่สายตา ศาลาทั่วทั้งเมือยังยามนี้นั้นเต็มไปด้วยการจัดพิธีศพ สภาพเมืองตอนนี้เองก็เสียหายจากการต่อสู้ การบุกรุกของสาหร่ายหัวผีนั้นสร้างผลกระทบให้กับประชาชนในเมืองท่าแห่งนี้นัก
ยิ่งคิดก็รู้สึกน่าใจหายไม่ใช่น้อย
ดวงตาสีดำขลับก้มลงมองมือของตัวเอง เหตุการณ์เมื่อคืนนั้นพาให้เขานึกถึงเรื่องสมัยก่อน ตอนยังเด็กกว่านี้มากนัก ยังมีเรี่ยวมีแรงมากพอที่เที่ยวท่องไปทั่วเขาเสวี่ยเพื่อช่วยเหลือเหล่าคนคู่ไปกับสหายสนิททั้งสอง...
แล้วรอยยิ้มบางก็ปรากฏบนใบหน้าเขา
ไม่ได้ออกแรงเช่นนั้นมานานแค่ไหนแล้วนะ...เขาคิดเช่นนั้น
แต่ทว่าเขากลับต้องชะงักไป เมื่อความรู้สึกบางอย่างที่แสนทรมานเข้ามาแทรก หลายสิ่งหลายอย่างกำลังตีขึ้นมาจนถึงด้านบนและกำลังจะทะลักออก หลานซิ่นหลิงเม้มปาก สะกดกลั้นอาการของตัวเอง
เขาหนีซึ่งทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในเมือง เขาต้องการหลบลี้ผู้คนออกมายังที่สงบ เร่งฝีเท้าให้เร็ว ให้ไว ไวขึ้นเรื่อย ๆ ท่าทางรีบเร่งคล้ายกับว่านี้มีเรื่องร้อนรนสำคัญเป็นนักหนา เมื่อถึงสถานที่ไกลตา ร่างของเขาก็แทบล้ม เซพิงกับต้นไม้ต่างที่ประครองทันที
ลมหายใจหนัก ๆ หอบออกมา สีหน้าและท่าทางของเขาในตอนนี้นั้นช่างทรมานราวกับบางสิ่งบางอย่างในตัวกำลังพังทลาย เลือดสดไหลทะลักออกจากปาก และไหลออกมาเรื่อยอย่างห้ามไม่อยู่ เขาทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ ไม่เหลือซึ่งภาพลักษณ์ของอาจารย์ผู้สง่างามดังที่เคยเป็นมาตลอด
หลานซิ่นหลิงใช้หลังมือเช็ดปาก ดวงตาเริ่มพร่ามัว พิงกับต้นไม้เอาไว้ ในตอนนี้เขาต้องการพักผ่อน เพียงแค่พักผ่อนให้ตัวเองฟื้นพลังมากพอที่จะกลับไปเป็นปกติอีกครั้ง
เขารู้ดีว่าร่างกายของตัวเองในตอนนี้เป็นเช่นไร หากแต่ในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของเขา และเขาเองก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าเวลานั้นที่ว่าจะถึงเมื่อไร
เพราะฉะนั้นแล้วในตอนนี้เขาจึงได้แค่อ้อนวอนภาวนาเท่านั้น ใช่...เขาได้แต่ภาวนาในใจ ให้ร่างกายของตัวเองนั้นอดทนไหว...
อดทนให้ไหว...จนกว่าจะ...
จะ...