ตอนที่ 22 การต่อสู้ของทั้งสอง Part 1
ตอนที่ 22 การต่อสู้ของทั้งสอง Part 1
“ฮ่า!”
เทพบุตรคิกิดิ่งลงเหยียบพื้นก่อนจะพุ่งตัวตามชุนไป ผืนดินที่ถูกย่ำเมื่อครู่พลันแตกร้าวออกเป็นเสี่ยง ๆจากนั้นพายุมรกตขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นล้อมรอบร่างเทพบุตรคิกิ ซึ่งมีใบไม้คมกริบปะปนอยู่ภายใน
“หน็อย…!”
ชุนกัดฟันกรอด เขาไม่มีเวลาหลีกหนีแล้ว
เมื่อสองเท้าสัมผัสพื้นก็ลากถอยไถลดินเป็นสองเส้น ก่อนจะหยุดนิ่ง จากนั้นสองมือก็กระชับดาบแล้วหันคมดาบไปด้านหน้า สองตาพลันหลับก่อนที่จะร่ายคาถาเวท
“เวทพายุอัคคี!”
พอชุนลืมตาวงเวทสีแดงก็ปรากฏบนพื้น
พายุเพลิงก่อตัวทะยานสู่ฟ้าสกัดกั้นทิศทางจู่โจมของเทพบุตรคิกิ
ทว่าพายุมรกตก็แหวกทะลวงเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำเบื้องหน้า
ลมหมุนของเทพบุตรคิกิเข้าปะทะร่างของชุนโดยพลัน
“อั่ก…”
พายุมรกตหอบร่างของชุนลอยขึ้นฟ้า เศษใบไม้คมกริบบาดเฉือนร่างจนเสื้อผ้าขาดเห็นเนื้อหนัง ความเจ็บปวดผุดขึ้นทั่วร่างอย่างฉับพลัน ชีพจรกระตุกเฮือกสั่นระบมไม่เป็นจังหวะในทันที
“ฮะฮ่า… อ่อนหัด!”
เทพบุตรคิกิหัวเราะเย้ยหยัน ทะยานตามร่างของชุนไปอย่างรวดเร็ว
เมื่ออยู่ในระยะประชิน มือหนาข้างหนึ่งก็บีบเข้าที่คอของชุนอย่างรุนแรง
“แอ่ก…”
ฝ่ามือกระตุก ปล่อยดาบกระดูกเทพร่วงหล่นปักลงดิน
“หน็อย…”
เลือดซึมออกมาจากในปากของชุน ก่อนที่การมองเห็นจะเริ่มพร่าเลือน
…
น่านฟ้าเปิดไร้หมอกเมฆ สายลมพัดผ่านเย็นสบาย แม้จะปรากฏเปลวเพลิงอยู่ตรงหน้า แต่ก็เป็นเพียงแค่แสงเย็น ๆ เท่านั้น
ลินจิซึ่งอยู่บนหลังของเพกัสสังเกตทิวทัศน์เบื้องล่าง ก่อนจะเอียงคอมองเพกัสตาปริบ ๆ
แม้ปีศาจม้าตนนี้จะคาบลินจิขึ้นหลังแล้วเหาะขึ้นฟ้าราวกับลักพาตัว แต่มันก็ไม่ได้ทำอันตรายลินจิเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ลินจิจึงเฝ้าดูสถานการณ์
“นี่… จะพาไปไหนเหรอ”
มีเพียงเสียงม้าร้องฮี่ ๆ ตอบกลับมา
“พูดไม่ได้สินะ พากลับไปหน่อยไม่ได้เหรอ”
เพกัสร้องฮี่ ๆ เช่นเคย ลินจิจึงถอนหายใจ
เมื่อผ่านภูเขาไปหลายสิบลูกก็พบโพรงถ้ำขนาดใหญ่กลางเขาลูกหนึ่ง จังหวะนั้นเพกัสก็ยกสองขาหน้าหยุดกลางคัน ทำให้ลินจิเกือบจะตกลงจากหลังของเพกัส
“อ๊ะ! อ๊ะ!...”
เขาร้องพร้อมตะเกียกตะกายกอดคอปีศาจม้าไว้อย่างตกใจ
“มีอะไรงั้นหรอ”
สองตาจับจ้องไปยังเพกัสซึ่งมีท่าทีตื่นตระหนก เห็นเช่นนั้นลินจิจึงพยายามใช้มือลูบปลอบประโลมหลายครั้งจนเพกัสพอที่จะสงบนิ่งลงได้
น่าแปลกใจที่เพกัสไม่ยอมเคลื่อนไปไหน มันหยุดมองโพรงถ้ำอยู่นานพักหนึ่ง
ลินจิมองตามเพกัส กะพริบตาสองครั้ง ก่อนที่ไอปีศาจจะลอยหึ่งเข้าจมูก
ขนทั่วกายลุกซู่ ตอนนั้นเองลินจิก็สงสัยว่า
…ในถ้ำนั้นมีอะไรอยู่กันนะ
แม้ความหวาดกลัวจะผุดขึ้นมาในใจของลินจิ แต่เขาก็พึงระลึกว่า ตอนนี้เขาสามารถใช้พลังได้เชี่ยวชาญกว่าเก่า ทั้งกลายร่างเป็นเทพจิ้งจอกสวรรค์ แถมยังมีเขตอาคมเทพเจ้าที่แข็งแกร่ง
ขณะที่คิดว่า บางทีผลึกดวงดาวอาจจะอยู่ในถ้ำ ลินจิก็ทำเสียงน่ารัก
“เพกัส ขอร้องล่ะ ไปทางนั้นที”
ปลายนิ้วชี้ไปยังโพรงมืดกลางภูเขา
จู่ ๆ เพกัสก็ดิ้นพลางร้องฮี่ ๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ สายลมก็พลันโหมกระหน่ำย้อนไปทางปากถ้ำ
เสี้ยววินาทีนั้นร่างของทั้งสองก็ม้วนตลบกลางอากาศไปกับสายลมโดยไม่มีสิ่งใดช่วยประคอง
“อ๊ะ!”
เมื่อร่างม้าและร่างคนถูกลมดูดเข้าไป ปากถ้ำก็ปิดตัวทันที
“โอ๊ย… เจ็บชะมัด”
ลินจิลุกขึ้นพลางลูบก้นที่เกิดจากแรงกระแทกเมื่อครู่ แสงสว่างจากเกือกทั้งสี่และขนไฟของเพกัสช่วยส่องให้มองเห็นภายในถ้ำเป็นวงแคบ
แม้เหตุการณ์จะดูมีเงื่อนงำแต่ลินจิก็เป็นห่วงเพื่อนใหม่ที่เพิ่งพบเจอ
“เจ้าม้า เจ็บตรงไหนมั้ย”
เขาถามพลางใช้ฝ่ามือเรียวเล็กลูบหลังเพกัสเบา ๆ
“ฮี่ ๆ”
เพกัสร้องตอบ
“เจ็บสินะ มานี่สิ เดี๋ยวผมรักษาให้”
แม้ไม่เข้าใจภาษาม้า แต่ลินจิก็ทึกทักไปเองว่าเพกัสคงจะเจ็บ ดังนั้นจึงใช้ทักษะ ‘ฟื้นฟู’ รักษาให้
[‘ฟื้นฟู’ เริ่มทำงาน]
แสงระยิบระยับโปรยปรายทั่วร่างของเพกัสราวกับหมู่ดาว ครู่หนึ่งก็ค่อย ๆ วูบดับลงไป
“เอาล่ะ…”
มือหนึ่งตีหลังเพกัสดังปุ ๆ พอเหลียวมองตรงปากถ้ำ ลินจิก็กะพริบตาปริบ ๆ
“อ๊า… ปากถ้ำปิดไปแล้ว”
ว่าแล้วเขาก็สะดุ้งถอยหนึ่งก้าวแล้วยกมือทาบอก
เมื่อหันมองหน้าเพกัส ลินจิก็ไม่ได้คำตอบ จึงนั่งลงใช้ความคิดอยู่ข้าง ๆ ม้าอสูร
ภายในถ้ำห้อมล้อมด้วยหิน ความหนาวยะเยือกเข้ามาจู่โจมตั้งแต่เมื่อครู่ไม่หยุดหย่อน
แม้เพกัสจะมีเปลวเพลิง แต่ก็ไม่ได้ช่วยส่งความร้อนมาแต่อย่างใด ลินจิจึงนั่งกอดอกตัวสั่น
…มีปีศาจอยู่แถวนี้ ถ้าทำได้ก็ไม่อยากเข้าใกล้มากกว่านี้แล้ว
ขณะที่นั่งอยู่นั้นลินจิก็สังเกตเห็นบางสิ่ง ซึ่งคล้ายมนุษย์กำลังนอนอยู่ไกลออกไปในระยะสายตา
เห็นเช่นนั้นเขาจึงลุกขึ้นมา ก่อนจะก้าวขาไปด้านหน้าสองสามก้าวอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
[‘หยั่งรู้’ เริ่มทำงาน]
[การใช้ทักษะผิดพลาด]
“เอ๊ะ!”
ตอนนั้นลินจิก็คิดว่าคงเป็นเพราะอยู่ห่างเกินไป จึงเดินไปข้างหน้าอีกหน่อย
“ใครน่ะ…”
ไม่มีเสียงตอบกลับ ลินจิจึงรู้ลึกกลัวขึ้นมา ตนเกรงว่าจะเป็นศพคนตายจึงหันมาทางเพกัส
“เพกัส มาด้วยกันหน่อยได้มั้ย เดี๋ยวผมเปิดใช้เขตอาคมป้องกันให้”
เขตอาคมสีทองพลันปรากฏล้อมตัวทั้งสองไว้ ลินจิค่อย ๆ ก้าวขาเข้าไปพลางใช้อีกมือสัมผัสหลังของเพกัส อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่ายังมีใครอีกคนอยู่ข้าง ๆ
อากาศภายในถ้ำเย็นชื้นอึมครึม แม้พื้นไม่เปียกแต่ก็รู้สึกลื่นเท้า ลินจิจึงค่อย ๆ ก้าวไปอย่างระมัดระวัง
“…ยังมีชีวิตอยู่มั้ย”
เขาถามพลางก้าวขาไปเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นอายน่าสะอิดสะเอียนลอยโชยมา
…นี่มัน
…กลิ่นเดียวกับอุรามิ
รู้สึกเช่นนั้นลินจิจึงรีบกระโจนขึ้นไปบนหลังของเพกัสอย่างเก้ ๆ กัง พอทรงตัวได้เขาก็ย่นคิ้วมองข้างหน้า
แม้ร่างปริศนาจะอยู่ห่างออกไป แต่ก็ยังอยู่ในระยะสายตา ลินจิไม่แน่ใจว่านั่นเป็นคนหรือปีศาจกันแน่
แสงสว่างจากไฟของเพกัสก็ส่องไปไม่ถึงตรงจุดนั้น ตนจึงไม่สามารถฟันธงได้
“แอ่ก ๆ”
เสียงผู้ชายที่นอนอยู่ดังจากไกล ๆ
ลินจิหน้าซีดเผือดทันที
“ชะ…ช่วยข้าด้วย”
[‘หยั่งรู้’ เริ่มทำงาน]
[การใช้ทักษะล้มเหลว]
“อ๊ะ!”
ขณะที่สงสัยว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงใช้ทักษะหยั่งรู้ไม่ได้ ชายคนนั้นก็ร้องเสียงแหบแห้งอีกว่า…
“ชะ…ช่วยด้วย”
เพกัสหยุดสี่เท้าอยู่แค่นั้น ไม่ยอมก้าวเข้าไป
ลินจิบังคับม้าไม่เป็นจึงกระโดดลงมาจากหลังของม้าอสูร แล้วหันไปพยักหน้าให้เพกัสหนึ่งครั้ง บอกว่า…
“ไปเป็นเพื่อนหน่อยนะ…”
จังหวะนั้น เพกัสก็สัมผัสได้ถึงภัยอันตรายจากด้านหลังดีดตัวลอยขึ้น แล้วพ่นเพลิงอสูรแผดเผาศัตรูตรงหน้าทันที
“อ๊ะ!”
ทว่า… เมื่อลินจิเหลียวไปมองอย่างตกใจ เขาก็ไม่พบอะไรอยู่ตรงหน้า
เมื่อรู้สึกหวาดผวา ขนทั่วกายก็พลันลุกชัน มือเท้าเย็นลง แขนขาสั่นระริก
จู่ ๆ ร่างของทั้งสองก็กระเด็นไปคนละฟากกระแทกกับผนังถ้ำในพริบตา
ขณะทรุดร่วงลงกับพื้น ลินจิก็งุนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ส่วนเพกัสก็ร้องฮี่ ๆ รีบลุกขึ้นมา
ตอนนั้นก็พบว่าชายปริศนาที่นอนขอความช่วยเหลืออยู่เมื่อครู่ได้หายตัวไปแล้ว
ลินจินิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดปนสงสัย
เมื่อกลอกตาไปด้านข้างจึงเห็นว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่
เพกัสปะทุเพลิงขึ้นมา ไฟที่ห่อหุ้มเกือกทั้งสีข้างลุกโชติช่วงอย่างฉับพลัน
สำหรับเพกัสแล้ว ตนแค่ทำตามคำสั่งของ ‘เทพบุตรคิกิ’ ซึ่งปลดผนึกให้เท่านั้น โดยเทพบุตรคิกิได้ทำตามคำเรียกร้องของอุรามิที่ว่า ‘ให้นำร่างของเทพเจ้าผู้สร้างโลก เพกัส และชุนกลับมาหาเขา จากนั้นอุรามิจึงจะคืนดวงจิตเทพให้’
ลินจิเงยหน้าสูงเพื่อมองหน้า ก่อนจะเบิกตากว้างทันที ปากสั่นลั่นเสียงตะกุกตะกักว่า…
“อุ…อุรามิ!”
“ไง …หึหึ”
อุรามิยกมุมปากให้อย่างวิปริต พลางยื่นมือไปคล้ายจะเข้าลูบหัวของลินจิ
ทว่าตอนนั้นเพกัสก็พ่นเพลิงอสูรใส่ร่างของอุรามิทันที
แต่เขตอาคมสีดำของอุรามิก็ปัดเป่าเพลิงอสูรกระจายออกไปด้านข้าง
ลินจิซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ลืมว่าตนมีเขตอาคมเทพเจ้าคุ้มกัน จึงรีบกระโจนหนีเพราะกลัวลูกหลง
“อ้า!”
“ฮะฮะฮ่า เพกัสเอ๋ย ใจเย็น ๆ”
อุรามิเปิดปากหัวเราะ แม้จะเป็นปีศาจแต่ฟันก็ขาวเรียงตัวสวยยิ่งนัก
ทันใดนั้นความหนาวเย็นยะเยือกก็พลันหายไป ลินจิสัมผัสถึงความร้อนระอุราวกับใกล้กองเพลิง เมื่อมองไปยังเพกัส ดวงตาสีแดงเพลิงของม้าอสูรก็จับจ้องไปยังอุรามิอย่างดุร้าย
…เพกัสเองก็เห็นอุรามิเป็นศัตรูเหมือนกันเหรอ
เปลวเพลิงบนเกือกทั้งสี่ข้างของปีศาจม้าพลันโหมกระหน่ำขึ้นมา ขนไฟด้านหลังลุกโชติช่วงแผ่ไอร้อนไปทั่วบริเวณ
ดวงตาของลินจิสะท้อนแสงสีส้มสั่นไหว
“เพกัส…”
ลินจิพึมพำก่อนพยายามเกร็งร่างลุกขึ้น
ตอนนั้นเองแสงสีแดงชาดส่องสว่างอยู่ภายในปากของเพกัสที่อ้าค้างไว้
“ไหนขอดูพลังหน่อยสิเพกัส”
อุรามิเอ่ยอย่างสบายใจราวกับไม่เกรงกลัวต่ออันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น
ทันใดนั้นลำแสงสีแดงเพลิงก็พุ่งออกมาจากปากเพกัสเป็นสาย ลินจิรีบวิ่งหนีตามสัญชาตญาณ
เสียงระเบิดพลันดังก้องสนั่นหวั่นไหว เศษหินภายในถ้ำร่วงหล่นลงมา ควันโขมงพร้อมเพลิงร้อนแผ่กระจายอยู่ในระยะสายตา ร่างของอุรามิแหลกเละกระจายในทันที
เมื่อควันจางลงเศษเนื้อที่ตกอยู่ทั่วพื้นก็ขยับเขยื้อนได้ราวกับตัวทาก
“อ้า!”
ลินจิร้องตกใจ
เศษเนื้อบนพื้นพุ่งเกาะเข้าทั่วร่างของเพกัส ก่อนจะรวมตัวกันราวกับโคลนที่กำลังจะดูดม้าให้จมลงไป
เพกัสร้องฮี่ ๆ ดิ้นรนอย่างยากลำบาก ลินจิเห็นเช่นนั้นจึงคุกเข่าเพื่อยันตัวขึ้น
“อ๊ะ! เพกัส”
“ข้าเป็นคนสั่งให้เทพคิกิปลดผนึกเพกัส แล้วสั่งให้มันพาเจ้ามาเอง และผู้ที่ปลดผนึกเพกัสคนแรกก็จะได้เป็นนายของมัน ตอนนี้เจ้าชุนคงจะรับศึกหนักอยู่ ฮะฮะฮ่า ในที่สุดข้าก็จะได้ดูดกลืนร่างของพวกเจ้าเข้าไป รอคอยมานานแสนนาน”
อุรามิเอ่ยดังก้องทั่วถ้ำอย่างไร้ต้นตอ
เสียงร้องของเพกัสดังขึ้นไปอีก มันพยายามดิ้นอย่างสุดกำลัง เพื่อออกจากกลุ่มก้อนเนื้อเหลวที่พยายามดูดกลืนมันเข้าไป
“อย่าแตะต้องเพกัสนะ ไอ้ปีศาจน่าขยะแขยง!”
ลินจิตะคอก ทว่าวินาทีนั้นอุรามิก็ปรากฏกายอยู่ต่อหน้าของลินจิราวกับวิญญาณที่สามารถหายตัวได้
“เฮ้อ หนวกหูเหลือเกิน น่าขยะแขยงงั้นเหรอ”
มือมารนับสิบโผล่ออกมาจากโพรงมืดที่อุรามิเปิดไว้กลางท้อง จากนั้นก็ค่อย ๆ ยื่นเข้าไปในเขตอาคมของลินจิ ราวกับบางสิ่งที่เจาะเข้าไปในฟองสบู่
“อ๊ะ! อย่าเข้ามานะ”
ลินจิรีบแบมือเหยียดแขนออกไป ใช้ทักษะ ‘God Light’ ในทันที
มือมารแหลกเป็นชิ้นตกสู่พื้นเมื่อปะทะกับแสงศักดิ์สิทธิ์ ไอพิษก็แผ่กระจายออกมาจากชิ้นเนื้อโดยพลัน
ทว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ของลินจิก็ชำระล้างไอพิษเหล่านั้นจนหมดไป ส่วนร่างของเพกัสตอนนี้ก็ถูกชิ้นเนื้อห่อล้อมไว้เป็นก้อนกลม ซึ่งส่องแสงจากด้านในคล้ายกับโคมไฟสีแดง
“อะ…”
เงาดำปรากฏขึ้นด้านข้าง ขณะที่ลินจิขมวดคิ้วจ้องหน้าขาวเรียวของอุรามิอย่างไม่พอใจ
ทันทีที่หันมองไป เล็บแหลมคมของมือมารซึ่งก็กระชากเสื้อผ้าทันที
“อ๊า!”
ลินจิเบี่ยงตัวหลบ หลังพิงผนังถ้ำ เหงื่อเย็นเฉียบไหลพราก เมื่อครู่แขนมารกระชากเสื้อที่เขาได้มาจากสำนักเอ็นพีจนขาดถึงหัวไหล่
จู่ ๆ ฝ่ามือขาวซีดก็โผล่ออกมาจากผนังถ้ำมากมาย ก่อนจะทะลวงเข้าเขตอาคมเทพเจ้าแล้วรวบตัวของลินจิจากด้านหลังราวกับเชือกที่รัดไว้
“หึ”
อุรามายกยิ้มแล้วเดินเข้ามา
“เมื่อกี้ว่าไงนะ ขยะแขยงงั้นเหรอ”
มือขาวข้าวหนึ่งรวบแก้มลินจิแล้วยกขึ้น
ดวงตาสีฟ้าของอุรามิดูวิปริตยิ่งนัก เขาเลียปากราวกับเจออาหารเลิศรส
ลินจิมองกลับด้วยแววตาสั่นระริก เขาพยายามรวบรวมสติ พลางเหลือบไปมองก้อนเนื้อที่ห่อหุ้มเพกัสไว้
…เพกัส
มือมารชอนไชเข้าไปในเสื้อผ้า รูดไถหน้าท้อง อก ต้นแขน
ร่างของลินจิถูกรัดแน่นติดผนังถ้ำแข็ง ๆ ไว้จนรู้สึกปวด
ตอนนี้เขามีเพียงหนทางเดียวที่จะพาเพกัสหนีรอดไปพร้อมตนได้
แต่การกลายร่างเป็น ‘เทพจิ้งจอกสวรรค์’ มีระยะเวลาจำกัดเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น ต้องแน่ใจจริง ๆ ว่าการแปลงการครั้งนี้จะไม่สูญเปล่า หรือผิดพลาด
ในช่วงเวลาคับขันสุดชีวิตแบบนี้ จะตัดสินใจอย่างไรดีล่ะ
อุรามิฝ่าเขตอาคมของลินจิเข้ามา ใบหน้าเคลื่อนเข้าประชินจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจน่าสะอิดสะเอียน
“อ๊ะ! จะทำอะไรนะ”
ลินจิตะโกนพลางเบือนหน้าหนี
“เอาซี่ ร้องอีก ร้องดัง ๆ โวยวายเข้าไป หึหึหึ”
เรือนผมสีทองของอุรามิเฉียดโดนใบหน้าของลินจิ แม้จะอ่อนนุ่มแต่ก็น่าขยะแขยง
“ออกไปน้า…”
ลินจิหลับตะโกนลากเสียง พร้อมกับใช้ทักษะ ‘กลายร่าง Lv.2’ ในทันที
[‘กลายร่าง Lv.2’ เริ่มทำงาน]
แสงสว่างสาดออกมาเป็นสายจากทั่วร่างของลินจิ แขนมารซึ่งรัดจากด้านหลังพลันแหลกสลาย แม้ไอพิษจะกระจายแต่ก็โดนชำระล้างในทันที
เปลวเพลิงสีขาวสลัวลุกโชนท่วมร่าง เมื่อแสงสว่างบนร่างกายวูบดับลง เทพจิ้งจอกสวรรค์ก็ปรากฏกาย