ซัพที่31: นี่นิยายข้าดังขนาดนั้นเชียวหรือ?
ซัพที่31: นี่นิยายข้าดังขนาดนั้นเชียวหรือ?
เจ้าตัวแสบกุมขมับ นึกอยากแหกปากโวยวายไปเสียตรงนี้ แต่ไม่ได้ เขาจะทำให้แผนการเสียไม่ได้
“เสด็จพ่อ ข้ามายถึงคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจ สามารถปรึกษากันได้ต่างหาก เจียงสงอยู่กับข้ามาตั้งหลายปี ตั้งแต่อาการข้าย่ำแย่จนดีขึ้น ข้าไม่อยากให้เขาตาย” จินหลงพยายามอธิบาย
“ตระกูลอู๋มีโทษกบฏ ประหารเก้าชั่วโคตร ข้าคงมิสามารถช่วยอะไรได้” ถ้าท่านช่วยไม่ได้แล้วใช่จะช่วยได้ล่ะเห้ย!
เจ้าตัวแสบนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนหันไปมองอากาศข้างตัว
“เสี่ยวเหมย หากเจียงสงไม่อยู่แล้ว เสี่ยวเหมยต้องเป็นเพื่อนเล่นกับจินหลงนะ ห้ามหายไปแบบเจียงสงนะ” เจ้าตัวแสบแกล้งทำท่าเหมือนยกมือใครบางคนขึ้นกุม ฮ่องเต้ที่กำลังอ่านนิยายถึงกับสตั้น มองลูกชายตัวเองตาปริบๆ
“เสี่ยวเหมย เจ้าอย่าโกรธข้าสิ ช่วงนั้นข้าเสียใจจริงๆ ที่มองเจ้าไม่เห็น แต่นับจากนี้ไป ข้าจะอยู่กับเจ้ามองเห็นเจ้าต่อไปเรื่อยๆ นะ... เสด็จพ่อ ลูกขอทูลลา” จินหลงหันมาทำความเคารพผู้เป็นพ่อ ก่อนทำคล้ายจูงมือบางสิ่งเดินออกจากตำหนัก
“เสี่ยวเหมยเพื่อนรัก เจ้าต้องปลอบข้านะ หากเจียงสงตายไป ..ใช่ๆ หลังเจียงสงตายข้าสัญญาข้าจะเล่นแต่กับเจ้า มีแต่เจ้าแล้ว” เสียงลูกรักที่ได้ยิน ทำเอาฮ่องเต้เริ่มปวดหัวกว่าเคย พระองค์ทรงวางต้นฉบับของเจ้าลูกตัวแสบลง ก่อนจะหันไปหาขันทีคนสนิท
“ไปตามมหาเสนาบดีมาให้ข้าที”
ณ.คุกใต้ดินที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับและคาวเลือด ร่างของขุนนางอู๋และภรรยาเอกตระกูลอู๋ถูกตรึงไว้กับกำแพง เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกทหารเฆี่ยนตีให้เซ็นชื่อรับสารภาพ ร่างเล็กของอู๋เจียงสงนอนกองอยู่กับพื้น สภาพมอมแมม มีเลือดไหลออกมาจากปาก ข้างๆ เขามีขุนนางใจทรามยืนมองอยู่ด้วยสายตาดูแคลน
ผลัวะ!
ร่างเล็กของเด็กชายวัยสิบสองปีในชุดขาว ถูกเตะอย่างแรงจนกระอักเลือด แขนและขาถูกล็อกไว้ด้วยกุญแจมือ ไม่อาจขัดขืน เจียงสงมองหน้าขันทีคนสนิทของฮองเฮาด้วยความเคียดแค้น
“ฮึ ทำมาเป็นมองหน้าข้า เป็นแค่องครักษ์ต่ำศักดิ์ของเด็กบ้าแท้ๆ ช่างกล้านัก” ขันทีดูแคลน เจียงสงกัดฟันกรอด
“ถุ๊ย เจ้าต่างหาก..ที่บังอาจนัก ต่อให้องค์ชายสี่สติฟั่นเฟือนยังไง แต่พระองค์ก็เป็นองค์ชาย สูงส่งกว่าเจ้านั.. ผลัวะ!! อั๊ก!” เจียงสงกระอักโลหิตอีกครั้ง ก่อนจะถูกกระทืบลงบนลำคอ
“แค่ก!!”
“ได้โปรดอย่าทำอะไรลูกข้าเลย! หากจะทำมาทำข้าดีกว่า!” ขุนนางอู๋ที่ถูกเฆี่ยนร้องโวยวายเมื่อเห็นลูกชายตนถูกทำร้าย
“เจ้ากล้าสั่งข้าเชียวรึ! ฟาดมันเข้าไป ฟาดจนกว่าพ่อมันจะยอมลงชื่อรับสารภาพ!” ขันทีคำราม ก่อนมองร่างบนพื้นที่ตะเกียดตะกายด้วยความเคียดแค้น
“เด็กเปรตที่เอากาน้ำที่ข้าหามาไปทำลายคือเจ้าสินะ!” เขาใช้เท้ากดลงไปบนคอของเจียงสง จนเด็กด้านใต้แทบขาดอากาศ ร่างเล็กพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ก็ไม่วายส่งยิ้มเย้ยหยันให้อีกฝ่าย ขันทีผู้นั้นเห็นรอยยิ้มก็ยิ่งบันดาลโทสะ เตะเข้าที่ร่างของอู๋เจียงสงอีกครั้ง จนร่างเล็กกระแทกเข้ากับกำแพง
“เจียงสง!!” ขุนนางอู๋และฮูหยินตะโกนเรียกบุตรชาย เจียงสงสำลักและพยายามสูดหายใจ
“แค่กๆ แค่ก..กๆ ฮึ แค่กๆ ถ้าเจ้าห..หมายถึงกาน้ำ ค่อกๆ กาน้ำโสมมนั่น ข้า..ข้าให้คนเอาไปหลอมใหม่แล้ว!” เจียงสงเย้ยหยัน อีกฝ่ายกำหมัดแน่น โกรธจนหน้าแดง กาน้ำที่เจียงสงทำลาย เป็นกาน้ำโบราณล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง มันถูกสร้างให้มีสองด้าน หากหมุนกาครั้งหนึ่ง พิษในช่องลับจะออกมา เป็นกาน้ำที่ใช้ในการลอบสังหารมาหลายชั่วอายุคน และครั้งนี้เขาเองก็เตรียมมันเพื่อสังหารองค์ชายสี่ ทว่ากลับถูกองครักษ์น้อยมองออกและนำไปทำลายทิ้ง
รู้ไหมว่าเขาต้องลงแรงแค่ไหน!
“เจ้า..เจ้าเด็กบ้านี่!! ทหารจับอู๋เจียงสงไปโบยซะ!” ทหารด้านหลังหันมามองหน้ากันคล้ายไม่อยากทำ แต่ก็มิอาจขัดได้ จำต้องลากตัวเด็กชายที่มีสภาพร่อแร่ไปขึงบนกำแพง ก่อนจะเริ่มตวัดแส้
“อ๊ากกกกกกกกกกกก”
เมื่อกลับมาถึงห้อง เจ้าตัวแสบมิได้นอนเอกขเนก แต่กลับไล่นางกำนัลและขันทีออกไป เพื่อที่จะได้เปิดตำราดูกฎหมายบ้านเมือง ว่ามีอะไรที่สามารถแก้ไขหรือหลบหลีกได้บ้าง
องค์ชายน้อยนั่งอ่านไปสักพักก็เงยหน้าขึ้นมา มองทุกอย่างรอบตัว
เงียบ..จัง
ไม่มีทั้งเสียงเจียงสงที่คอยต่อว่า ไม่มีทั้งเสียงท่านหมอที่คอยกวนประสาท และไม่มีเสียงทั้งสองที่ทะเลาะกัน
ความเงียบนี้.. เขาไม่ได้สัมผัสมานานแค่ไหนแล้วนะ?
เขาถอนหายใจ ปิดตำราแล้วเดินออกมาจากห้อง สั่งขันทีและนางกำนัล
“ข้าจะไปคุกหลวง เตรียมเกี้ยวซะ”
เมื่อเกี้ยวมาถึงหน้าคุก ทหารยามคุกเข่าทำความเคารพ โดยไม่วายมองหน้ากันด้วยความสงสัย เหตุใดองค์ชายสี่จึงมาที่นี่ จินหลงเมื่อลงจากเกี้ยวจึงสั่งมิให้ใครตามมาเป็นอันขาด เขารีบเดินตรงไปยังทหารยามทั้งสอง
“ข้าต้องการพบอู๋เจียงสง” เจียงสงเงยหน้าสั่งการ แต่ทหารยามทั้งสองลังเล
“เกรงว่าจะมิได้พะยะค่ะองค์ชาย อู๋เจียงสงเป็นนักโทษกบฏ มิอาจให้เข้าเยี่..” จินหลงควักถุงเงินที่หนักอึ้งถุงหนึ่งออกมา ก่อนจะเปิดมันออก เผยให้เห็นเงินแพรวพราวจนทหารทั้งสองต้องกลืนน้ำลาย
“ข้าไม่ได้จะเข้าไปคุย เพียงแต่จะไปดูสถานการณ์” ทหารทั้งสองมองหน้า
“ทำไม นี่จะไม่ฟังคำสั่งข้าหรือไง?” เจ้าตัวแสบวางมาดพร้อมตีหน้านิ่ง สร้างบรรยากาศกดดันอีกฝ่าย
“มิ..มิใช่พะยะค่ะองค์ชาย คือ..ค..คือ กระหม่อมมิอาจให้พระองค์เข้าไปได้จริงๆ” ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น สมองของจินหลงเร่งประมวลผล ก่อนจะรีบพลักทหารยามออกไป
“ถอยไป!!”
“องค์ชายโปรดระงับโทสะด้วย กระหม่อมมิอาจให้พระองค์เข้าไปได้จริงๆ” ทหารคุกเข่าขอร้อง
“กลัวใครมากกว่า?” จินหลงถามเสียงเรียบ สองทหารเงยหน้ามององค์ชายน้อย
“ข้าถามว่าเจ้ากลัวใครมากกว่า! ข้าหรือคนด้านในนั่น!” ทหารยามตัวสั่น ไม่รู้เหตุใดจึงรู้สึกหวาดกลัวกับแรงกดดันของเด็กน้อยนัก
“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ถอย ไป ซะ!” จินหลงยื่นคำขาด สองทหารยังลังเล ก่อนจะถอยออกไปโดยดี องค์ชายน้อยรีบวิ่งเข้าไปทันที โดยไม่ฟังเสียงร้องห้าม
เด็กชายวิ่งลงไปหันซ้ายหันขวา ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากด้านในลูกกรง
“อง..องค์ชาย? องค์ชายหรือพะยะค่ะ!” จินหลงหันไปทันที จึงพบชายวัยกลางคนหน้าตามอมแมม เนื้อตัวเปรอะไปด้วยเลือดกำลังร้องเรียกเขาอยู่ เจ้าตัวแสบรีบเดินเข้าไปหาทันใด
“กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม ไม่ทราบว่าพระองค์คือองค์ชายองค์ใดพะยะค่ะ?” ชายวัยกลางคนยกมือคำนับด้วยท่าทางอ่อนแรง
“ข้าองค์ชายสี่เจิ้งจินหลง ตอนนี้เจียงสงอยู่ไหน” จินหลงรีบเข้าประเด็น
“กระ..กระหม่อมเอง..กระหม่อมเองก็ไม่ทราบ รู้แต่มีทหารมาพาน้องชายกับน้องสะใภ้แล้วก็หลานชายไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว” จินหลงกำหมัด มั่นใจว่าพวกเจียงสงคงถูกคนชั่วทรมาน แต่ไม่ทันที่จะได้ถามเส้นทาง เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังมาจากทางเดินขวามือ เจ้าตัวแสบได้ยินดังนั้นจึงรีบหลบด้านในถังไม้ใกล้ๆ แล้วอาศัยการมองลอดรูสังเกตการณ์
ทหารหลายนายลากตัวขุนนางอู๋ ฮูหยิน และร่างเล็กของเจียงสงโยนเข้าไปในคุก คนในตระกูลอู๋และชายวัยกลางคนรีบเข้ามาดูอาการทันทีด้วยความตกตะลึงในสภาพของทั้งสาม
“เจียงสง! เจียงสงเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง!” หญิงวัยกลางคนอุ้มร่างไร้สติขึ้นมาเขย่า แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยา นางจึงใช้นิ้วที่สั่นเครือสัมผัสปลายจมูก ดูว่าเด็กชายยังหายใจหรือไม่ เมื่อรู้ว่ายังหายใจ พวกเขาจึงโล่งอก
“ใจคอเจ้าทำไมโหดร้ายเช่นนี้ ขนาดเด็กยังไม่เว้น ทำเช่นนี้สู้ฆ่าพวกข้าเสียดีกว่า!” ชายวัยกลางคนพุ่งตัวจะคว้าขอเสื้อขันทีที่ยืนกวนประสาท แต่เขากลับคว้าได้เพียงอากาศ เพราะติดลูกกรงที่คุมขัง
“ฮึ ขุนนางอู๋ยอมเซ็นรับสารภาพผิดแล้ว เพียงแค่นี้ก็ไม่มีธุระอะไรกับพวกเจ้า เด็กๆ ไปได้” ท่าเดินบิดเอวของขันทีนายนั้น ยิ่งทำให้คนในลูกกรงนึกอยากออกไปกระทืบสักครั้ง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไปแล้ว จินหลงจึงรีบออกมาจากถังไม้ แล้วเดินไปหน้าหาพวกเขาด้านหน้ากรงขัง ชายวัยกลางคนที่คาดว่าเป็นท่านลุงของเจียงสงจึงรีบคลานเข้ามา
“องค์ชาย องค์ชายได้โปรดช่วยพวกเขาด้วย!” เขาคุกเข่าโขกศีรษะขอร้องทั้งน้ำตา จินหลงต้องรีบย่อตัวห้าม
“พอๆๆ ข้าช่วยอยู่แล้วเจ้าหยุดโขกหัวซะที แล้วนี่อาการของพวกเขาเป็นเช่นไรบ้าง?” เจ้าตัวแสบถามพร้อมมองลอดลูกกรง
“ย่ำแย่ ย่ำแย่มากพะยะค่ะ ไม่มีใครได้สติเลย” จินหลงกำลูกกรงแน่น ใบหน้าเริ่มเกิดโทสะชัดเจนเรื่อยๆ
บังอาจนัก! ใส่ร้ายป้ายสีผู้บริสุทธิ์ ทั้งยังทรมานจนกว่าจะยอมรับผิด นี่เห็นกฎหมายบ้านเมืองเป็นอะไรกัน!
จินหลงล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบยาจำนวนหนึ่งออกมา เมื่อคืนเขาคาดไว้แล้วว่าเรื่องเช่นนี้ต้องเกิดขึ้น จึงไปขอยาจากเมิ่งชงหยวนมาก่อน แต่คิดว่าปริมาณแค่นี้คงไม่พอ
“พวกเจ้าเอายานี่ใส่แผลให้พวกเขาซะ ไว้ข้าจะให้คนส่งยามาให้อีก” จินหลงยื่นยาเข้าไป ชายวัยกลางคนและคนตระกูลอู๋ต่างก้มหัวขอบคุณ
“ขอบพะทัยองค์ชายที่เมตตาๆ” จินหลงรีบออกจากคุกมุ่งหน้าสู่วังหลัง
ในเมื่อฮองเฮาเล่นงานตระกูลอู๋เพราะตระกูลอู๋เข้าร่วมกับฝ่ายกุ้ยเฟย ก็มีแต่ต้องให้เสด็จแม่ช่วย!
กุ้ยเฟยที่กำลังยกแก้วชาขึ้นจิบขณะอ่านหนังสือวางแก้วลงทันทีที่ได้ยินว่าจินหลงมาหา พระนางหันไปมองบุตรชายคนเล็กที่เดินเข้ามาในตำหนัก ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปรับ
“แปลกนักที่วันนี้เจ้ามาหาแม่ จินเอ๋อร์” พระนางทักทายพร้อมสวมกอดลูกน้อยทันทีที่เขามาถึง
“เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องขอร้อง” จินหลงกอดเอวแม่แน่น พร้อมเงยหน้ามองใบหน้างาม เบะปากทำตาเป็นประกายออดอ้อน
“ร้อยวันพันปีเจ้ามิเคยอ้อนแม่ วันนี้มีเรื่องอะไรกันแน่หือ” พระนางใช้สองมือเชยคางลูกรัก
“เสด็จแม่ ได้โปรดช่วยตระกูลอู๋ด้วย” จินหลงกำเสื้อกุ้ยเฟยแน่น กุ้ยเฟยเมื่อได้ยินคำขอ ก็ต้องถอนหายใจ ทั้งยังหันหลังเดินกลับไปนั่ง ยกชาขึ้นจิบ
“เรื่องนี้แม่เองก็อยากช่วย แต่ครั้งนี้ฮองเฮาวางหมากรัดกุมมาก” กุ้ยเฟยเอ่ย จินหลงจึงเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ
“แต่ข้าไม่อยากให้เจียงสงตายนี่นา เสด็จแม่” พระนางถอนหายใจ ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
“ทำใจซะเถอะจินเอ๋อร์ แม่เองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเช่นไร” จินหลงมองหน้าปกหนังสือที่กุ้ยเฟยหยิบมาอ่าน ก่อนกระพริบตาปริบๆ
“ถ้าท่านแม่ช่วยข้า ข้าจะทำหนังสือของฮุ่ยอยู่ร์จินมาให้ท่านแม่อ่านก่อนใคร” กุ้ยเฟยยังคงไม่สนใจ
“ขนาดแม่ให้คนไปตามหาคนแต่งมาแล้วยังไม่พบ มีหรือลูกจะหาเจอ” เจ้าตัวแสบพองแก้ม
“เรื่องต่อไปมีชื่อเรื่องว่าตำนานรักนิรันดร์ บัลลังก์ทมิฬ เป็นเรื่องราวความรักของฮ่องเต้พระองค์หนึ่งและนางสนม ที่ต่อมาจะขึ้นเป็นฮองเฮา” กุ้ยเฟยลดหนังสือลงและวางไว้บนตัก
“เจ้ารู้หรือว่าใครเป็นผู้แต่ง?” จินหลงฉีกยิ้ม ก่อนจะชี้มาที่ตัวเอง
“ข้าเอง” กุ้ยเฟยไม่สนใจตอนจินหลงแบบขอไปที
“เหรอ เก่งมากเลยลูก เงียบหน่อยนะแม่ขออ่านตรงนี้ก่อน” เห้ย!! ทำไมพูดความจริงทีไรถึงไม่มีใครเชื่อเลยเนี่ยยย โอ้ยยย
“เสด็จแม่ นี่ข้าพูดความจริงนะ เหตุใดจึงไม่เชื่อกัน” เจ้าตัวแสบโวยวาย
“จินเอ๋อร์ ลูกเพิ่งอายุแปดปี เขียนหนังสือยังไม่คล่อง จะไปเขียนนิยายได้อย่างไร” กุ้ยเฟยเอ่ย
“ข้าเพียงได้รับสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาจากเสด็จแม่ จึงมีความสามารถเก่งกาจตั้งแต่ตอนนี้” ผู้เป็นแม่ได้ฟังคำหวานก็ได้แต่อมยิ้ม ดึงแก้มตุ้ยนุ้ยยืดอย่างหมั่นเขี้ยว
“แหม่ ปากหวานแบบนี้ได้จากเสด็จพ่อแน่แท้” กุ้ยเฟยเอ็นดู
“แต่ที่ข้าพูดน่ะเรื่องจริงนะเสด็จแม่ ไม่เชื่อลองถามเสด็จพ่อดูก็ได้ ข้าเพิ่งมอบต้นฉบับเรื่องรักนิรันดร์ให้กับเสด็จพ่อไปเอง” กุ้ยเฟยชะงัก
“นี่เจ้า..พูดจริงหรือ” พระนางนิ่งไป จินหลงจึงชะงัก
“ไม่เชื่อเสด็จแม่เอากระดาษกับปากกา..เอ้ย! กับพู่กันมาให้ข้าสิ” คำว่าปากกาที่ออกมา ทำให้กุ้ยเฟยต้องคิดหนัก ว่าสิ่งที่ลูกน้อยพูดจริงหรือแค่บ้าไป
จินหลงร้อยเรียงภาษาลงไปบนแผ่นกระดาษ กุ้ยเฟยนั่งมองลูกน้อยประพันธ์หนังสืออย่างไม่วางตา ผ่านไปสักพัก เขาจึงยื่นกระดาษปึกเล็กๆ ให้พระนางได้อ่าน
กุ้ยเฟยรับกระดาษที่จินหลงเขียนมาอ่าน ทั้งถ้อยคำและภาษาล้วนแต่เป็นของฮุ่ยอยู่ร์จิน
“เจ้า..ไม่ได้จำมาใช่ไหม?” พระนางถาม จินหลงยู่ปาก
“ขนาดนี้แล้วเสด็จแม่ยังไม่เชื่อข้าอี...อุ๊บ!” ไม่ทันที่จินหลงจะพูดจบ กุ้ยเฟยก็คว้าลูกน้อยมากอดแน่น
“กรี๊ดดดด ดีเลิศ ช่างเยี่ยมนัก เยี่ยมจริงๆ!!” ภาพเสด็จแม่คนเดิมแทบไม่เหลือ กุ้ยเฟยกรีดร้องยินดีจนจินหลงคิดว่าเกิดกว่าเหตุ
“ส..เสด็จแม่.. เสด็จแม่ข้าหายใจ..ข้าหายใจไม่ออก” จินหลงพยายามดันตัวเองออก ทว่าเขากลับรู้สึกจิตสังหารที่พวยพุ่งมาจากด้านหลังกุ้ยเฟย เมื่อชะเง้อคอมองก็พบเหวินหลงกำลังยืนมองด้วยความแค้นใจ
ฉิบหาย! ไม่ใช่ว่าเหวินหลงต้องอยู่กับราชครูงั้นเหรอ! แล้วไหงมายืนมองเขาเป็นซุปเปอร์ไซย่าอยู่ตรงนั้นกัน