ตอนที่แล้วDC บทที่ 21: เจ้ายังเป็นชายอยู่รึ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDC บทที่ 23: สำนึกกระบี่

DC บทที่ 22: ตัดสินเป็นตาย


ภายในหอไม้รับอรุณซึ่งบรรดาผู้ดูแลนิกายส่วนใหญ่มาทำงาน ซูหยางและบรรดาศิษย์นอกพากันยืนต่อหน้าผู้เฒ่าที่รู้จักกันในนามผู้อาวุโสโจว หนึ่งในบรรดาผู้อาวุโสเขตศิษย์นอกที่ดูแลจัดการระหว่างศิษย์นอก

“...พูดให้ตรงจุด… เจ้าศิษย์นอกซูหยางต้องการจักตัดสินเป็นตายกับศิษย์นอกไต้เจิงงั้นรึ ครั้งล่าสุดที่ข้าตรวจสอบ เจ้าเพิ่งอยู่เขตปฐมวิญญาณระดับสาม และเจ้าตกลงต่อสู้กับบางคนที่เขตปฐมวิญญาณระดับห้า เจ้าโง่หรือว่าบ้าหือ” ผู้อาวุโสโจวมองดูซูหยางด้วยสายตาแปลกๆ

ในโลกนี้นอกจากผู้ที่เป็นอัจฉริยะในการฝึกปราณหรือมีอาวุธทรงอานุภาพ พวกเขาไม่มีทางที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีพลังการฝึกปรือสูงกว่าหนึ่งระดับได้ นับประสาอะไรกับสองระดับ และในสายตาของผู้อาวุโสโจว ซูหยางเป็นเพียงศิษย์นอกธรรมดาที่มีกลเม็ดการใช้มือเท่านั้นไม่ใช่อัจฉริยะการฝึกปราณ

“เจ้ามิใช่อัจฉริยะและมิมีอาวุธวิเศษที่จักต่อกรกับใครที่มีพลังสูงกว่าเจ้าสองระดับ แต่เจ้ายังกล้าสู้กับเขา หรือเจ้าหาที่ตาย”

“ผู้อาวุโสโจว นี่เขาเลือกเอง มิใช่ข้า ข้ามิได้บังคับเขาให้สู้ เขายิ้มรับเอง” ไต้เจิงผู้ประมูลราคาสูงสุดสำหรับต่อสู้ซูหยางเป็นคนแรก กังวลว่าซูหยางจะขลาดไม่ยอมต่อสู้กับเขา

ซูหยางยังสงบเฉยไม่สนใจคำพูดแรงของผู้อาวุโสโจว และพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสโจวพูดถูก ข้ามิใช่ทั้งผู้ฝึกปราณอัจฉริยะหรือมีอาวุธวิเศษ อย่างไรก็ตามในฐานะผู้ชาย หากหรุบหูหดหางเพราะว่าเจอใครที่แข็งแกร่งกว่าจักยังภูมิใจในความเป็นชายได้อยู่อีกรึ”

คำพูดเขาทำให้ผู้อาวุโสโจวเลิกคิ้ว และสร้างความแปลกใจให้ทุกคนด้วยคำตอบ “มิ มิมีทาง”

“เช่นนั้น ก็ควรให้ข้าต่อสู้กับเขา”

ผู้อาวุโสโจวนิ่งเงียบครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วจึงค่อยกล่าวว่า “นี่คือการตัดสินเป็นตายตัดสินกันด้วยชีวิตของพวกเจ้า มิใช่การประลองที่จักจบด้วยการบาดเจ็บเล็กน้อย เมื่อพวกเจ้าขึ้นเวที มิมีทางถอยให้พวกเจ้าจนกว่าจักเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น”

โดยไม่ลังเล ซูหยางผงกศีรษะ “ในเมื่ออยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นพวกเราควรจักจัดลำดับทุกคนที่นี่มาตัดสินเป็นตายกับข้า” ซูหยางพูดอย่างไร้อารมณ์สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกผู้คนที่นั่น

“เจ้าพูดเช่นไร เจ้าต้องการตัดสินเป็นตายกับทุกคนที่นี่” ผู้อาวุโสโจวมองไปยังบรรดาศิษย์นอกสิบกว่าคนด้วยความรู้สึกสับสน

“นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขามาด้วยมิใช่รึ” ซูหยางมองไปยังผู้คนที่งงงันด้วยรอยยิ้ม

“ซูหยาง ช่างโอหังนัก เจ้าคิดว่าจักมีโอกาสสู้กับคนอื่นหลังจากต่อสู้เป็นตายได้เริ่มขึ้นงั้นรึ หรือเจ้ามั่นใจเปี่ยมล้นว่าจักชนะ” ไต้เจิงระเบิดความโกรธออกมาหลังจากได้ยินคำพูดซูหยาง รู้สึกเหมือนถูกซูหยางเหยียบหน้าอย่างไร้ปราณี

ซูหยางมองไปยังใบหน้าที่แดงก่ำจนเส้นเลือดปูดโปนของอีกฝ่ายแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ทำไมข้าถึงสู้กับเจ้า เพื่อตายงั้นรึ เจ้าโง่หรือเปล่า”

“ซซซซูหยางงงง”

ในเสี้ยววินาทีที่ไต้เจิงจะโจมตีซูหยางด้วยความโกรธนั้น ผู้อาวุโสโจวกระแอมหนึ่งครั้ง ไต้เจิงจึงหยุด

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครรึ ศิษย์ไต้เจิง” ผู้อาวุโสโจวหรี่ตามอง เป็นเหตุให้ไต้เจิงตัวแข็งทื่อเป็นหินจากสายตาที่อันตราย

“ศ..ศิษย์ขออภัยผู้อาวุโสโจวที่ล่วงเกิน” ไต้เจิงรีบโค้งต่ำขอโทษ

ผู้อาวุโสโจวถอนหายใจ กล่าวว่า “เมื่อพวกเจ้าทั้งสองต้องการสู้ยิ่งนัก ข้าจักยอมรับความต้องการของพวกเจ้าและจักเป็นพยานให้กับการตัดสินเป็นตายนี้ด้วยตนเอง”

ไต้เจิงเผยรอยยิ้มและโค้งคำนับอีกครั้ง “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสโจวที่ให้โอกาสศิษย์ได้ชำระหนี้แค้น”

ซูหยางแค่นเสียงเย็นชาไปยังไต้เจิงที่เชื่อมั่นว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้ แต่แรกแล้วเขาไม่มีเจตนาให้มือเปื้อนเลือดเร็วนักหลังจากกำเนิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่เขาจะได้ดอกหยางพิสุทธิ์ อย่างไรก็ตามซูหยางรู้ดีว่าถ้าเขาไม่สนใจคนพวกนี้วันนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องตามรบกวนอีกในภายหน้า ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจล้างชื่อเสียงอัปยศแต่เนิ่น ซึ่งเขาจะได้ไม่ต้องกังวลต่อไปในอนาคต

“เมื่อไรที่พวกเจ้าต้องการเริ่มต่อสู้เป็นตาย” ผู้อาวุโสโจวถาม

“ยิ่งเร็วยิ่งดี” ไต้เจิงตอบขณะจ้องมองซูหยางด้วยสายตาโกรธแค้น

“ตอนนี้เลยไหม ข้าพอมีเวลาว่างตอนนี้”

“ศิษย์ยินดีเป็นอย่างยิ่ง”

“ศิษย์ซูหยาง” ผู้อาวุโสโจวมองไปยังเขาขอคำยืนยัน

ซูหยางผงกศีรษะแล้วกล่าว “ข้ามิมีปัญหาใด”

“ดี งั้นพวกเราไปที่เวทีกัน...”

ผู้อาวุโสโจวเริ่มเดินนำออกไป

“เฮ้ ดูนั่น การตัดสินเป็นตายอย่างเป็นทางการ”

“อะไร ใครสู้กัน”

บรรดาศิษย์ที่อยู่บริเวณลานประลองรีบมุ่งไปยังเวทีเมื่อสังเกตเห็นซูหยางและไต้เจิงกระโดดขึ้นเวที

“ผู้อาวุโสโจวเป็นพยานตัดสินการต่อสู้เป็นตายอย่างเป็นทางการ”

“นั่นไต้เจิง เขาสู้กับใคร… นั่นซูหยาง”

“ซูหยางต่อสู้เป็นตายอีกแล้วเพียงแค่อาทิตย์เดียวนับจากครั้งก่อน”

บรรดาศิษย์ต่างตื่นเต้นที่ได้เป็นพยานการต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้ยินคำร่ำลือว่าซูหยางล้มเอียนหมิงที่อยู่เขตปฐมวิญญาณระดับหก

“เจ้าทั้งสองพร้อมหรือไม่” ผู้อาวุโสโจวถามคนทั้งคู่ที่อยู่บนเวที

“ข้าพร้อม” ไต้เจิงกำกระบี่ในมือแน่น จังหวะลมหายใจเปลี่ยน

ซูหยางควงกระบี่เหล็กในมือเล่น มันเป็นอาวุธที่ยืมมาเพื่อการต่อสู้ครั้งนี้ “ก่อนที่พวกเราจักเริ่ม ข้าอยากเล่าเรื่องราวให้ฟังสักเรื่อง…เรื่องราวความรักระหว่างแม่ทัพเลื่องชื่อกับผู้ฝึกปราณพเนจร” เขาพูดอย่างไร้อารมณ์สร้างความงุนงงให้ทุกคน

ความรักระหว่างแม่ทัพเลื่องชื่อกับผู้ฝึกปราณพเนจร นรก เกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การต่อสู้เป็นตายกลายเป็นสถานที่เล่านิทาน

“เชี่ย เจ้าต้องการพูดอะไร รีบมาสู้กับข้า” ไต้เจิงพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดร้อนใจ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันต้องการเห็นเลือดซูหยาง

อย่างไรก็ตามซูหยางไม่สนใจเขาและพูดต่อด้วยเสียงเรียบเฉย “ในช่วงกลียุคที่พบเห็นสงครามได้ทั่วไป ปรากฏหญิงสาวสวยหาใดเปรียบผู้เป็นแม่ทัพของกองกำลังเข้มแข็งแห่งหนึ่ง เธองามถึงขั้นล่มอาณาจักรและเป็นอัจฉริยะด้านกระบี่ที่ไร้คู่เปรียบ...”

ปล. บทต่อไปอ่านฟรีวันที่ 28 เมษายน 2019 ครับ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด