ตอนที่แล้วบทที่20: ต่างคนต่างเรื่องราว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่22: เผชิญปีศาจร้าย

บทที่21: ในม่านหมอก


 

บทที่21: ในม่านหมอก

เสียงใบไม้ถูกเหยียบดังขึ้นจากด้านหลัง ทำงักฮัวชะงักฝีเท้าของตัวเอง เด็กสาวหยุดนิ่งทุกการกระทำแม้กระทั่งการหายใจ ไม่กล้าจะหันหลังกลับไปมอง เสียงดังกล่าวยังดังขึ้นต่อเนื่อง จากด้านหลังใกล้เข้ามาทีละนิดทีละนิด

เด็กสาวหลับตาแน่น ทั้งที่อากาศเย็นชื้นแต่นางกลับมีเหงื่อไหลออกจากขมับ ฉับพลันอีกาตัวหนึ่งบินโผล่พ้นออกมาจากม่านหมอกตรงหน้า งักฮัวผวาล้มลงไปนั่งกับพื้น เสียงขยับจากด้านหลังพุ่งเข้ามาใกล้ตัว กลับกลายเป็นกระต่ายน้อยที่มีขนสีขาวราวกับเกล็ดหิมะ

งักฮัวถอนหายใจโล่งอก กระต่ายน้อยขยับตัวเข้ามาใกล้ใช้จมูกดอมดมคล้ายเป็นการทำความรู้จัก เด็กสาวอุ้มมันขึ้นมาในอุ้มมือ

“เจ้าเด็กน้อย ทำข้าตกใจหมดเลยรู้ไหม”

นางใช้นิ้วขยี้หัวกระต่ายอย่างเอ็นดู มีรอยยิ้มละมุนทั้งที่นัยน์ตายังคลอไปด้วยน้ำ พอเตรียมตัวจะลุกขึ้น กงเล็บแหลมคมของฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนสีดำพุ่งออกมาจากหมอกทึบแทงทะลุร่างของเด็กสาวเข้าอย่างเต็มแรง

โลหิตสีคาวกระอักไหลออกจากริมฝีปากบาง ก่อนที่เจ้าของกงเล็บจะปรากฏตัวออกมาจากม่านหมอกให้เห็นชัด ปีศาจหัวหมูป่าตัวเดิมกับที่ไป่ยู่เคยไล่มันไป เพราะแขนที่เหลืออยู่ข้างเดียวเป็นหลักฐานแสดงชัด

กระต่ายตัวน้อยเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจากงักฮัว มันกระโดดหนีหลุดออกจากอุ้งมือของนาง จากกระต่ายขนสีขาวราวเกล็ดหิมะ บัดนี้มันกลับกลายเป็นเหมือนก้อนเลือดที่ขยับได้ชวนให้รู้สึกสยดสยอง

งักฮัวพยายามจะขยับมือเพื่อดึงกงเล็บออกจากตัว แต่แค่ยกแขนขึ้นนางยังทำไม่ได้ เด็กสาวรู้สึกเหมือนมีความร้อนราวกับเปลวไฟเผาผลาญอยู่ในร่าง นางทรมาน เจ็บปวด แสนสาหัส สติเลือนรางใกล้ดับวูบพร้อมลมหายใจ

ปีศาจหัวหมูป่ายังเสือกเล็บแทงลึกเข้าไปในเนื้อของเด็กสาวอีกครั้ง ก่อนจะตวัดมืออย่างแรงจนร่างของงักฮัวขาดกระเด็นหายไปในหมอก หยาดโลหิตที่สาดกระเซ็นทำม่านสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนผ้าแพรสีเลือดที่ผู้คนมักใช้ในงานมงคล แต่สำหรับนางในตอนนี้มันคงเป็นผ้าคลุมศพที่น่าโศกศัลย์

...................................

“คุณหนูหม่าข้าบอกแล้วว่าท่านตามมาไม่ได้ ทำไมถึงรั้นไม่ฟังกัน” โจวหม่าจงน้ำเสียงเคร่งเครียด มีท่าทางไม่พอใจแสดงออกชัด

“แล้วท่านจะให้ข้าอยู่ลำพังได้ยังไง ข้าเป็นถึงบุตรีบุญธรรมของเศรษฐีหม่าซือเต้านะ หากท่านทิ้งให้ข้าอยู่คนเดียว ข้าจะไปบอกท่านพ่อ แล้วข้ารับรองได้เลยว่าท่านจะต้องโดนเล่นงานแน่นอน” เฉินหลินตวาดกลับเสียงดังใส่เป็นการโต้ตอบ

“คุณหนูหม่าโปรดใจเย็นๆ การเข้าไปด้านใน เราไม่รู้ว่าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราต้องคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมก่อนเพื่อที่จะได้ตามหาคุณชายเล็ก งักโยว” หงซาเถียนพยายามดับไฟโทสะที่ลุกไหม้ระหว่างสองคน

“ท่านเจ้าเมือง นี่ท่านว่าข้ากำลังทำตัวงี่เง่าเป็นภาระถ่วงการทำงานของพวกเจ้าอย่างนั้นเหรอ”

“ขะ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

“พอแล้ว ข้าไม่มีเวลามาเสยให้กับท่านอีก” หม่าจงตะคอกดังจนเฉินหลินน้ำตาริน

“คุณหนูหม่า ขอข้าบังอาจออกความเห็นสักเล็กน้อย ป่าต้องห้ามแห่งนี้ มีอันตรายไม่น้อยจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่อีกด้านหนึ่งก็เคยเกิดคดีคนตายร่วมห้าสิบกว่าศพ โดยที่ยังไม่สาเหตุ แต่ละศพล้วนไม่มีซากดี ข้าว่าหากเกิดอะไรขึ้นมากับตัวคุณหนูมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เชิญท่านรอพวกเขาทำงานที่คฤหาสน์ของข้าก่อนจะปลอดภัยที่สุด”

งักหลิวหว่านล้อมด้วยท่าทีสุภาพ ชื่อเศรษฐีหม่าซือเต้าใครบ้างไม่รู้จัก อย่างว่าแต่สี่ห้าหัวเมืองระแวดนี้ กระทั่งในเมืองหลวงชื่อเขายังเป็นที่นับถือ หากได้ทำความรู้จักกับบุตรีบุญธรรมของเขา ย่อมเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับตระกูล

เฉินหลินมีท่าทีอ่อนลง ทั้งหมดกำลังอยู่ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์สกุลงัก เจ้าหน้าที่มือปราบร่วมสิบกว่าชีวิตยืนเรียงแถวอยู่ด้านนอก โจวหม่าจงได้รู้จากหงซาเถียนว่าที่คฤหาสน์แห่งนี้มีคุกศิลาไว้คุมขังผู้กระทำผิด หากหม่าจงเชื่อมั่นว่าไป่หลงตายจากที่นี่ ไป่ยู่ก็ย่อมต้องอยู่ไม่ห่างกันละก็ คุกศิลาเป็นสถานที่เดียวที่เขาจะถูกกักตัวไว้

แน่นอนว่าการไปคาดคั้นจากคนในสกุลงักเพื่อถามหาไป่ยู่ โดยเฉพาะกับคุณชายใหญ่งักหลิว สิ่งที่ต้องการย่อมไม่เป็นผล คนผู้นี้พูดจากลับผิดกลับถูกได้หน้าตาเฉยอยู่แล้ว ฉะนั้นหม่าจงจึงวางแผนโดยให้เฉินหลินแกล้งโวยวายเอาแต่ใจโดยใช้ฐานะบุตรีบุญธรรมของเศรษฐีหม่าเป็นฉากบังหน้า แล้วให้ซาเถียนพยายามไกล่เกลี่ย

เมื่อเถียงกันมากเข้าจนไม่อันได้ออกตามหาคนหาย ต่อให้ไม่เห็นแก่ชื่อเสียงของเศรษฐีหม่า งักหลิวก็ต้องเห็นแก่งักโยวที่หายไปและในฐานะเจ้าบ้าน เขาต้องออกตัวห้ามทัพด้วยตนเองแน่นอน เวลานั้นแหละที่หม่าจงจะดำเนินการให้แผนลุล่วงตามประสงค์

“แต่ข้าอยู่ที่นี่ใช่ว่าจะปลอดภัย ข้าไม่รู้จักใครเลยด้วยซ้ำ” เฉินหลินกล่าวแล้วหันมองงักหลิวที่พยายามยิ้มละมุนให้อย่างเป็นมิตรด้วยท่าทีไม่วางใจ หม่าจงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น

“งั้นให้หานตงอยู่คุ้มครองท่าน เขาเป็นมือดีที่สุดของข้า รับรองได้ ไม่มีใครทำอะไรท่านได้แน่”

“ถ้าจะให้มือดีที่สุดอยู่ เช่นนั้นเจ้าก็อยู่เองสิ ข้าจะวางใจมากกว่า”

“คุณหนูหม่า จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร รองหัวหน้ามือปราบจงต้องนำกำลังเข้าไปตรวจค้นในป่า ความสามารถเขาจำเป็นกับงานนี้”

เฉินหลินแกล้งทำสะบัดสะบิ้ง แต่ลงท้ายก็ยินยอม หลายคนในที่นั้นต่างถอนหายใจโล่งอก โดยเฉพาะตัวนางเองที่แอบรู้สึกอยู่ภายใน หากไม่ใช่ว่าแผนการนี้ทำเพื่อช่วยเหลือไป่ยู่คนสำคัญที่มีพระคุณกับตน นางคงไม่ยอมเล่นตามน้ำเช่นนี้แน่นอน ทั้งตวาดใส่หม่าจง ซ้ำยังดูแคลนเจ้าเมือง ดีที่เพื่อแผนการทุกคนต่างไม่ถือสา

“หานตงดูแลนางให้ดี ที่นี่ข้าต้องฝากเจ้าแล้ว” หม่าจงกล่าวขึ้น คำพูดแฝงความนัยให้อีกฝ่ายรู้

“ครับลูกพี่” หานตงรับคำอย่างรู้ความ หน้าที่ของเขาสำคัญที่สุดในแผนการนี้ คือต้องเป็นคนไปหาห้องศิลาเพื่อช่วยไป่ยู่ออกมา

หม่าจง ซาเถียนเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ไปสมทบกับเจ้าหน้าที่มือปราบอีกหลายชีวิตที่เตรียมพร้อมรออยู่เพื่อออกเดินทางในทันที

 

.......................................

 

 

“ความจริงใต้เท้าเถียนควรจะอยู่ที่นั่นมากกว่า”

“ไม่ได้หรอก ข้าให้ลูกน้องออกมาทำงานเสี่ยงตายนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่จะให้เจ้าที่ถูกไหว้วานมารับผิดชอบเพียงลำพัง หาก... หากว่าเกิดอะไรขึ้นข้าจะมองหน้าผู้คนได้ยังไง ชีวิตใครก็สำคัญทั้งนั้นไม่ว่าจะคุณชายเล็กที่สูญหาย หรือเจ้าที่ตามหา”

หม่าจงได้ฟังก็รู้สึกนับถือคนผู้นี้อยู่ในใจ เคยได้ยินผู้คนร่ำลือถือความตงฉิน มีคุณธรรมของเขา ไม่คิดว่าวันนี้จะได้มาพิสูจน์ด้วยตนเอง

กลุ่มเจ้าหน้าที่ตามหาคนสูญหายเดินเรียงหน้ากระดาน ห่างกันสี่ศอก (ประมาณสองเมตรกว่า) และเพราะด้วยหมอกลงหนาทึบทำให้ทั้งหมดต้องตะโกนขานรับกันทุกครึ่งก้านธูป(ประมาณเจ็ดนาทีครึ่ง) แต่หากใครพบอันตรายหรือคนที่สูญหายให้ตะโกนเรียกได้ทันที มีเพียงซาเถียนเท่านั้นที่หม่าจงเดินประกบเพราะไม่เป็นวรยุทธ์ใด

“ใต้เท้าเถียน ข้าได้ยินเรื่องห้าสิบสองศพที่เกิดขึ้นมาสองสามครั้งแล้วตั้งแต่มาที่นี่ ช่วยเล่าให้ฟังได้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ได้สิได้ ดีเหมือนกันเพราะข้าเองก็ขบคิดคดีปริศนานี้มานานแล้วแต่ยังไม่อาจตีแตกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เจ้าได้ฟังอาจมีความเห็นอะไรที่ช่วยชี้แนะได้”

“ใต้เท้ากล่าวเกินไปแล้ว” มีเสียงขานรับดังแว่วมาจากทางซ้าย หม่าจงจึงขานรับตอบไป

“เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อครึ่งเดือนก่อน อย่างที่เจ้าเห็นป่าแห่งนี้ ด้านหนึ่งต้องผ่านประตูของคฤหาสน์สกุลงักเพราะกำแพงคฤหาสน์รั้วทางอื่นไว้หมด แล้วก็อย่างที่เจ้าเห็นว่าสกุลงักเป็นยังไง ปากบอกไม่ได้ห้ามใครเข้าไป แต่ก็ไม่เคยเปิดประตูต้อนรับชาวบ้านธรรมดา

ที่นี้มันมีทางอีกด้านหนึ่งซึ่งสามารถเข้าป่าแห่งนี้ได้ เพียงแต่อยู่ที่กำแพงนอกด่านของเมือง คือต้องออกจากเมืองแล้วเดินอ้อมเอา ชาวบ้านเองจริงๆ ไม่ค่อยอยากยุ่งกับป่าแห่งนี้เท่าไหร่ แต่มีบางฤดูที่ในป่าจะมีโสมหายากเกิดขึ้น

ฤดูที่ว่าก็คือตอนนี้...” เจ้าเมืองเล่าถึงตรงนี้แล้วถอนหายใจยาว มีเสียงขานรับดังมาจากทางขวา คราวนี้เป็นซาเถียนที่ตะโกนขานรับ

“แปลว่ามีชาวบ้านเข้าไปหาโสมแล้วพบศพทั้งหมด”

“ใช่ ทุกศพมีรอยฝ่ามือเลือดและทุกแขวนคอไว้ที่ต้นไม้แถวนั้น พื้นเต็มไปด้วยเลือด มีร่องรอยการต่อสู้ขนาดที่ว่าหินก้อนใหญ่แตกกระจาย สภาพสถานที่มันเละเกิดกว่าที่จะจำแนกออกว่าเกิดอะไรขึ้น ชาวบ้านที่เจอก็กลัวจนไม่กล้าทำอะไรได้แต่วิ่งหนีกลับเข้าเมืองแล้วมาแจ้งให้เจ้าหน้าที่ไปจัดการ”

“ตอนที่พวกเขาไปเก็บศพ ท่านก็คงไปด้วย”

“ใช่ ภาพสถานที่นั้นยังติดตาข้าอยู่เลย”

“เชือกที่ใช้แขวนคอเป็นเชือกอะไร”

“เป็นเถาวัลย์จากในป่า”

“เหตุใดซัดฝ่ามือใส่จนตายแล้วยังต้องแขวนคอ หรือจริงๆ แล้วแขวนคอจนตายจึงค่อยซัดฝ่ามือใส่”

“เรื่องนี้ข้าให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบศพตรวจยืนยันแล้วว่าทุกศพตายเพราะถูกซัดฝ่ามือใส่จนเลือดออกเจ็ดทวาร ภายในแหลกเละ ก่อนที่จะนำศพไปแขวนไว้”

“แขวนเพื่อประสงค์ใดกัน”

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่บอกได้เลยว่าเพราะการกระทำเช่นนั้น จึงทำให้เลือดจากศพเลือดเต็มทั่วพื้น” หม่าจงคิดตามแล้วจำข้อสงสัยนี้ไว้ในใจ

“แล้วมีอะไรผิดสังเกตอีกไหม”

ซาเถียนทำท่านึก มีเสียงขานรับจากด้านซ้าย หม่าจงตะโกนขานรับตอบ

“จะว่ามีก็มี จะว่าไงดี คือข้าไม่แน่ใจ”

“อะไรหรือ?”

“รู้กันแค่เรานะ ข้าว่าตอนนั้นข้าเหมือนเห็นสตรีนางหนึ่ง”

“ใคร?”

“งักฮัว คุณหนูคนเล็กสุดของสกุลงัก”

“ทำไมนางถึงไปอยู่ที่นั่น แล้วมีใครอื่นเห็นอีกไหม?”

“นั่นแหละข้าถึงได้บอกว่าให้รู้กันเฉพาะเรา เพราะไม่มีคนอื่นเห็น พลอยทำให้ข้าไม่มั่นใจไปด้วยว่าเห็นนาง เอ่อ อืมมม”

“เห็นนาง... เช่นไร”

“คือ... ข้า... เอ่อ... เห็นนาง... เห็นนางเปลือยกายอยู่ที่นั่น เพียงแวบเดียวเท่านั้น คือเจ้าเข้าใจใช่ไหมว่าการเห็นอะไรที่แปลกประหลาดเช่นนั้น มันย่อมไม่มีทางมองผิดไปได้ เหมือนรินเหล้าในวงน้ำชาไว้หนึ่งจอก ใครได้ชิมก็ย่อมแยกแยะออกว่ามันไม่ใช่น้ำชา แต่พอไม่มีใครเอ่ยปากหรือเห็นสิ่งเดียวกัน ข้าเลยไม่มั่นใจว่าจะเป็นนาง ครั้นจะพูดไปหรือถามไถ่ มันจะยิ่งดูมิงามเข้าไปใหญ่”

หม่าจงพยักหน้าทำทีว่าเข้าใจ

“ปกติ งักฮัวนางเป็นคนเช่นไร”

“นี่แหละที่ข้ากำลังจะบอก นางเป็นคนเงียบๆ ดูเรียบร้อยไม่ต่างจากคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไป ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้ชาวบ้านเท่ากับพี่ชาย ทว่ามีข่าวลือหนึ่งที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับนาง”

“ยังไง?”

“ข่าวว่ามีชาวบ้านไปพบนางเปลือยกายอยู่ในถ้ำที่ป่าแห่งนี้”

หม่าจงขมวดคิ้วแน่นด้วยคราแรก มีคิดไว้บ้างว่าการเห็นสตรีน้อยเปลือยกายในสถานที่เกิดเหตุที่เต็มไปด้วยเลือดออกจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดไม่น้อย แต่หากมีคนเคยพบเห็นนางทำเช่นนั้นมากก่อนราวกับเป็นกิจวัตร ที่ว่าแปลกประหลาดน่าจะย่อมเป็นสตรีน้อยผู้นั้น

คดีครั้งนี้เชื่อมโยงกันจนชวนซับซ้อนยิ่งนัก

“เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้แหละ”

“เพียงเท่านี้เช่นนั้นหรือ?”

“ใช่ กระทั่งคนตายเป็นใครตอนนี้ข้ายังจนปัญญาที่จะสืบรู้เลย”

“ใต้เท้าไม่ทราบหรือว่าคนพวกนั้นเป็นใคร”

“หรือเจ้ารู้”

“ใช่ ข้ารู้”

“ใคร!? คนพวกนั้นเป็นใคร?!”

“หานตงลูกน้องข้าบอกว่ารู้จักสองสามคนในนั้น คือเขาไม่ได้ดูทุกศพ แต่เขาบอกว่าพวกนั้นเป็นพวกนักล่าสมบัติ”

“นักล่าสมบัติ!” ซาเถียนได้ฟังเช่นนั้นก็คล้ายจะนึกถึงบางสิ่งออก

“มีอะไรเช่นนั้นหรือใต้เท้า หรือท่านจะนึกอะไรออก”

“มีข่าวลืออีกเรื่องที่เกี่ยวกับสกุลงัก”

หม่าจงได้ยินเช่นนั้นทำให้รู้สึกว่าตระกูลนี้ช่างมีข่าวคาวเยอะเสียเหลือเกิน

“เขาลือกันว่าตระกูลนี้มีสมบัติซ่อนอยู่ บรรพชนของพวกเขาซ่อนไว้ตั้งแต่สมัยก่อนที่จะถูกใส่ร้ายจนต้องโทษประหาร ข้าคิดว่าบางที หากคนที่ตายทั้งห้าสิบสองศพเป็นพวกนักล่าสมบัติจริงๆ แปลว่าที่เขามาที่ป่าแห่งนี้ก็เพราะสมบัตินั่น”

“ซึ่งหมายความว่า คนที่ลงมือฆ่าคนเหล่านั้น”

“ย่อมเป็นคนของสกุลงักนั่นเอง” ประโยคนี้ทั้งหม่าจงและซาเถียนกล่าวออกมาพร้อมกัน

ทั้งคู่ต่างคนต่างยินดีเมื่อคลี่คลายปมปัญหาจนได้พบหนทางในการสืบสวน ซาเถียนหัวเราะร่วนอย่างพอใจ นึกไม่ถึงว่าปริศนาที่สงสัยมานานว่าจะไม่มีทางคลี่คลายได้ กับพอเบาะแสในวันนี้ เป็นเพราะโจวหม่าจงคนนี้แท้

ซาเถียนหันไปมองรองหัวหน้ามือปราบ ถึงได้เห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง สักพัก หม่าจงรั้งแขนของเขาไว้

“มีอะไรเหรอรองหัวหน้าจง”

“ไม่มีต่างหาก ไม่มีเสียงขานรับของพวกเรามาสักพักหนึ่งแล้ว”

สิ้นคำซาเถียนถึงได้เอ๊ะใจ เพราะมัวแต่สนใจในเรื่องคดีจึงไม่ทันได้ฉุกคิด เพียงไม่นานก็มีเสียงอย่างที่ทั้งสองต้องการ หากแต่มันกลับเป็นเสียงร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวของเจ้าหน้าที่มือปราบทั้งหลาย พร้อมด้วยเสียงร้องคำรามลั่นจากสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่ทั้งคู่ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย

ม่านหมอกสีขาวด้านข้าง กลับกลายเป็นสีเลือดราวกับผ้าแพรสีเลือดที่ปกคลุมสิ่งสยองขวัญเอาไว้

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด