บทที่ 22 : จนกว่าจะได้พบกันใหม่
บทที่ 22 : จนกว่าจะได้พบกันใหม่
“ฉันจะปลดประจำการนาย นายจะต้องลงจากดิกนิตี” น้ำเสียงของแมดเดอลีนชัดเจนกว่าเธอไม่ได้ล้อเล่น เธอหมายความตามนั้นในทุกคำที่เปล่งออกมา
กิลเลนถึงกับต้องกลืนน้ำลายและตั้งสติให้ดีอีกครั้ง เขาพูดทวนประโยคที่เธอเพิ่งพูดออกไปเพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้หูเพี้ยนไปเอง
“แต่อย่าเข้าใจผิดล่ะ นี่ไม่ใช่การไล่หรอกนะ” แมดเดอลีนยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ “ถ้านายอ่อนแอจนไม่สามารถเข้าร่วมภารกิจได้ ฝืนไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร สู้ไปทำอย่างอื่นน่าจะดีกว่า”
“อย่างอื่นที่ว่าคือ…” กิลเลนลากเสียง เขายังนึกไม่ออกว่าการถูกดึงตัวมาเพื่อกำจัดแวนเดียร์แล้วจะยังมีอะไรให้เขาทำได้อีกบ้าง แมดเดอลีนไม่ปล่อยให้เขารอนาน
“ทางแรก” แมดเดอลีนยกนิ้วชี้ขึ้น “กลับไปโลกของนายซะ จริงอยู่ว่านายอาจจะต้องกลับไปรับโทษเหมือนเดิม แต่หลังจากออกมาแล้ว ชีวิตนายจะเปลี่ยนไปด้วยข้อมูลจากอนาคตที่เราเหลือทิ้งไว้ให้”
กิลเลนนิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไรแต่แมดเดอลีนรู้ดีว่าเขาไม่เลือกข้อนี้แน่ ๆ
“ทางที่สอง” เธอชูนิ้วที่สองขึ้น “รอ… จนกว่าจะมีคาตาลิสต์คนอื่นที่ว่าง ฝีมือระดับนายถ้าใช้พลังพิเศษได้ต้องเป็นประโยชน์ต่อภารกิจแน่นอน และสักวันนายก็จะได้พลังขั้นที่สอง” เธอกล่าว และหวังว่านี่เป็นทางเลือกที่เขาจะต้องเลือกเพื่อที่จะได้สู้อยู่ที่นี่แน่ ๆ หากเขาไม่ต้องการจะซิงโครกับซีโรเซียแล้วล่ะก็… การร่วมทำงานกับคาตาลิสต์คนอื่นก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย
“ผมคิดว่า ผมจะตัดใจเรื่องคาตาลิสต์แล้วครับ” กิลเลนตอบเสียงเรียบ แมดเดอลีนส่ายหัว ไม่คิดว่าคนตรงหน้าล้อเล่น เพราะเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาเธอไม่พบกับความลังเลแม้แต่น้อย
“มีเหตุผลอะไรรึเปล่า”
กิลเลนก้มหน้าลงมองพื้น ปฏิเสธไม่ได้เต็มปากว่าเรื่องราวที่ผ่านมาไหลเวียนอยู่ในห้วงความคิด “คาตาลิสต์ทุกคนในตอนนี้ต่างมีผู้ถูกเลือกที่เธอเลือกไว้แล้วครับ”
แมดเดอลีนเอียงคอมองอย่างสงสัย กิลเลนเงยหน้าขึ้นมาจากพื้น
“ผมไม่อยากถูกมองว่าคาดหวังให้ใครตายเพื่อรอให้มีคาตาลิสต์ว่างสำหรับตัวเอง” เสียงของกิลเลนเจือปนไปด้วยความเศร้า
“นายคิดมากไปรึเปล่า ไม่มีใครมองแบบนั้นหรอกน่า...” เสียงของแมดเดอลีนเบาลงในช่วงท้ายประโยค เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็ไม่ได้แน่ใจขนาดนั้น เพราะจากกรณีของซีโรเซีย เธอก็เห็นได้ชัดว่าคาตาลิสต์ผูกพันธ์กับผู้ถูกเลือกที่ตนเลือก หากจะต้องจับคู่กับใครก็ไม่รู้ สู้ตายกับไปคู่หูของตนยังจะดีเสียกว่าต้องแบกรับความรู้สึกแย่ ๆ และสู้ต่อไป
“ผมตั้งใจเอาไว้แล้วครับ ไม่ใช่แค่ซีโรเซีย แต่จะไม่ซิงโครกับคาตาลิสต์ไม่ว่าจะคนไหนก็ตาม” กิลเลนประกาศ
“หาาา” แมดเดอลีนอ้าปากค้าง ตบโต๊ะทำงานและยืนขึ้นอย่างลืมตัว
“เว้นแต่ว่าจะมีคาตาลิสต์ที่ยังไม่มีผู้ถูกเลือก นั่นก็คงจะอีกเรื่องนึงครับ” กิลเลนพูดทีเล่นทีจริง เขาเคยได้ยินแมดเดอลีนเล่าให้ฟังว่าดิกนิตีในตอนนี้ไม่สามารถให้กำเนิดคาตาลิสต์รุ่นใหม่อย่างน้อยก็ในหนึ่งถึงสองปีนี้ นั่นก็คือไม่มีทางเลยที่จะมีคาตาลิสต์คนใหม่ที่ไม่มีผู้ถูกเลือกเพิ่มขึ้นมา
“น่าเสียดาย ฉันเองก็ไม่ใช่คาตาลิสต์ไม่งั้นก็อยากจะช่วยหรอกนะ”
“ต่อให้คุณเป็นคาตาลิสต์ผมไม่กล้าหรอกครับ เว้นแต่ผมจะเกิดเร็วกว่านี้สักยี่สิบปี…” กิลเลนทำท่าทีจินตนาการภาพก่อนจะยิ้มแหย ๆ ออกมา
“จะพูดอะไรต่อคิดให้ดี ๆ นะ” แมดเดอลีนบีบมือลั่นกร๊อบแกร๊บเตรียมจะชกคนปากเสีย กิลเลนยกมือยอมแพ้และกล่าวขอโทษก่อนที่หมัดหนัก ๆ จะประดับบนใบหน้าเพราะความกวนของตนเอง
“แล้วนอกจากสองทางเลือกแรก” กิลเลนรีบเปลี่ยนเรื่องเบี่ยงความสนใจเพราะยังระแวงหมัดจะลอยมา
“ทางเลือกสุดท้าย ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ลงจากดิกนิตีซะ” แมดเดอลีนกลับไปนั่งเอนหลังอีกครั้ง เธอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ดิกนิตีต้องการทั้งทรัพยากรและข้อมูลในการอยู่รอด ถ้านายตัดใจที่จะทำภารกิจหลักแล้ว ก็ลองไปสำรวจโลกดูไหมล่ะ”
กิลเลนกุมคางครุ่นคิด “สำรวจโลกงั้นเหรอ”
“นายจะพบว่ามันมีอะไรให้ทำมากกว่าที่คิดเยอะเลยแหละ” แมดเดอลีนเริ่มสาธยาย “หาทรัพยากรมาเพิ่มให้กับดิกนิตี หาอาวุธใหม่ ๆ เก็บบันทึกข้อมูลแวนเดียร์ให้ครบ ค้นหายานลำอื่นทั้งที่ตกไปแล้วและอาจจะยังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรือแม้แต่หาชุมชนที่ยังเหลือรอด”
“ฟังดูน่าสนใจดีนะครับ มีอะไรให้ทำอีกเยอะจริง ๆ ด้วย” กิลเลนคิดตาม เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่แมดเดอลีนก็ไม่หวังให้เขาเลือกทางนี้สักเท่าใดนัก เธอวางแขนลงกับโต๊ะทำงาน มองมาที่ชายหนุ่ม
“ยังไม่ต้องให้คำตอบก็ได้ ลองไปไตร่ตรองดูให้ดีอีกครั้ง แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันยังอยากให้นายเลือกซิงโครกับใครสักคนอยู่ดีนะ” แมดเดอลีนยิ้มเศร้า เธอรู้ดีว่าคำตอบของกิลเลนคืออะไร เขาได้เลือกทางเลือกสุดท้ายไปแล้วแม้ว่ากิลเลนจะยังไม่พูดยืนยันก็ตาม
กิลเลนเดินใจลอยกลับมาถึงห้องและพบว่าบากะอินุนั่งรอเขาอยู่ไม่ยอมไปไหน เมื่อมันเห็นเขา บากะอินุก็แลบลิ้นกระดิกหางอย่างดีใจ เขาลูบหัวมันอย่างเอ็นดูและถามออกไป “แกเองก็จะไปด้วยกันใช่ไหม”
“โฮ่งงง” เจ้าหมาโง่เห่ารับเสียงดัง แน่นอนว่ามันไม่เข้าใจคำถามหรอก
‘...พาไปด้วยก็อันตราย แต่จะทิ้งไว้ก็คงไม่ดี อาจจะโดนโอเวนกับพวกแกล้งเอาก็ได้…’
“โดยเฉพาะหมอนั่น” กิลเลนนึกถึงใบหน้าหนึ่ง มันคือหน้าของบาร์เรตนั่นเอง สำหรับกิลเลนแล้วเขารู้สึกว่าหมอนี่มีบางอย่างที่อันตรายยิ่งกว่าโอเวนเสียอีก กิลเลนนิ่งไป เมื่อเจ้าหมาเห็นดังนั้นมันก็เลียที่มือของเขาจนกิลเลนได้สติ เขาหันมายิ้มให้พลางพูดเบา ๆ “ทิ้งบากะอินุไว้ที่นี่ไม่ได้จริง ๆ แฮะ”
กิลเลนและคู่หูเข้าไปในห้องพัก บากะอินุยังคงเดินวนเวียนไม่ห่างจากกิลเลนแม้เขาจะนั่งลงที่เตียงแล้วก็ตาม กิลเลนถอนหายใจก่อนจะยอมก้มไปลูบหัวมันจนพอใจ ในที่สุดบากะอินุก็ยอมนอนข้าง ๆ เขาแต่โดยดี
“อคาลา” กิลเลนละมือจากเจ้าหมา เอ่ยเรียกหญิงสาวที่มักจะติดตามเขาอยู่เสมอ และเป็นดังคาดเธออยู่ในห้อง เขาสามารถรู้สึกถึงเธอได้แม้จะยังไม่เห็นก็ตาม “อยู่จริง ๆ ด้วยสินะ”
“เราอยู่ที่นี่ตลอด” ร่างโปร่งแสงของเธอค่อย ๆ ปรากฏขึ้นข้างกิลเลน หญิงสาวสวมชุดสีดำยาวที่เขาคุ้นเคย ดวงตาของเธอจ้องมองมาที่เขา แม้จะไม่มีรอยยิ้มแต่เธอก็ยังดูอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดใจ อคาลาก้าวเข้ามาใกล้ “นายมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
กิลเลนชะงักไป เขาไม่รู้ว่าใบหน้าของตนจะดูออกง่ายขนาดนั้น อคาลายิ้มยืนรอฟังคำตอบจากชายหนุ่ม กิลเลนทำหน้าเศร้ากว่าเดิม อคาลายังคงยิ้ม เธอย่อตัวลงเพื่อให้ระดับสายตาเท่ากันกับกิลเลนที่นั่งอยู่บนเตียง หญิงสาวเงยหน้ามองเขา และปล่อยให้ชายหนุ่มอธิบาย
“ฉันคงต้องลงจากยาน ต่อให้เธอช่วยพัฒนาอินุจิโยะ หรือคอยเตือนอันตรายฉัน ฉันก็เทียบกับพวกผู้ถูกเลือกคนอื่นไม่ได้หรอก การต่อสู้ที่ผ่านมาฉันแทบไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ”
“เราเข้าใจ” อคาลายื่นมือออกไป แต่เธอก็ชะงักก่อนจะถึงใบหน้าของกิลเลน หญิงสาวยืนขึ้น “แล้วนายจะไปที่ไหน”
“ก็สำรวจโลก รวบรวมข้อมูลอะไรทำนองนั้น” กิลเลนตอบกลับ สบตากับเธอพลางยิ้มแหย ๆ “ฉันจะไปกับบากะอินุ ทิ้งมันไว้มีแต่จะโดนแกล้งเปล่า ๆ ยิ่งโง่ ๆ อยู่ด้วย” บากะอินุเหมือนจะได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง มันเงยหน้ามาขึ้นมาพ่นลมหายใจใส่กิลเลนก่อนจะหันกลับไปนอนต่อ
“แล้วเราล่ะ”
กิลเลนเลิกคิ้วเป็นเชิงไม่เข้าใจ
“คะ...คือ” กิลเลนเลิ่กลั่ก ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้า ชายหนุ่มสบตาเธอตรง ๆ “ฉันคิดว่าเราคงต้องบอกลากันแล้วล่ะ...”
“จะทิ้งเราไว้ที่นี่เหรอ” อคาลายังคงยืนอยู่ตรงนั้น เธอเอามือไขว้หลังเอียงคอมอง ปอยผมตกลงข้างกาย กิลเลนไม่ได้ตอบเธอในทันที เขาทำหน้าเศร้าอีกครั้งเมื่อเธอเห็นแบบนั้นก็ยิ้มให้เหมือนอย่างเคย “เราขอตามช่วยไปอีกสักพักก็แล้วกันนะ”
กิลเลนไม่ได้ปฏิเสธ เพราะไม่ว่าอย่างไรอคาลาก็สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบอยู่แล้ว การได้เธอมาร่วมเดินทางไปด้วยก็เป็นความคิดที่ไม่เลว และการที่มีคนอยู่เคียงข้าง… ก็รู้สึกดีไม่น้อยเลย
ดูเหมือนข่าวจะแพร่กระจายไวกว่าที่กิลเลนคิดไว้ หลังจากที่อคาลาหายไปเขาก็ออกมาจากห้องเพื่อบอกเจตนาของตนเองที่จะลงจากยานเพื่อสำรวจโลกใบนี้ แต่ดูเหมือนแมดเดอลีนจะรู้คำตอบของเขาอยู่แล้ว เธออยู่หน้าห้องทำงานพอดีกับที่เขาเดินมาถึง
“ผมเลือกแล้วครับ” แมดเดอลีนปัดมือไปมาพลางส่ายหัว เธอเดินนำหน้าและยักไหล่อย่างยอมแพ้เมื่อไม่สามารถชักจูงคนฝีมือดีอย่างกิลเลนเอาไว้
“เอาเถอะ ๆ ถ้านายยืนยันขนาดนั้น” แมดเดอลีนยิ้มให้ ก่อนจะพยักพเยิดให้กิลเลนเดินตามมาที่ห้องโถงของยาน เขาทำหน้าไม่เข้าใจแต่ก็ยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี บากะอินุวิ่งตามพวกเขาทั้งสองไป เมื่อมาถึงทางเข้าห้องโถง กิลเลนก็ได้ยินเสียงเพลงบรรเลงและเสียงผู้คนคุยกันโหวกเหวก
“นี่มันอะไรกันครับเนี่ย” ชายหนุ่มเอ่ยปากถาม เขาชี้ไปที่ห้องโถงที่มีไฟหลากสีวูบวาบตลอดเวลา แมดเดอลีนยิ้มอย่างถูกใจ เธอหลบทางให้เขาก่อนจะผายมืออย่างล้อเลียน
“ถ้านายตัดสินใจจะไป ก็จากกันไปด้วยรอยยิ้มเถอะ!” แมดเดอลีนว่า กิลเลนเดินเข้าไปในห้องนั้นโดยมีแมดเดอลีนเดินปิดท้าย
เมื่อแขกคนสำคัญมาถึงแล้ว ทั้งห้องที่กำลังง่วนอยู่กับงานเลี้ยงก็หันมาที่เขาเป็นตาเดียว กิลเลนมองไปรอบ ๆ พบว่าเกือบทุกคนมารวมตัวกันที่นี่หมดเลย ตรงกลางห้องเป็นเตาย่างไร้ควัน ส่วนรอบ ๆ ห้องก็มีของกินเเบบยืนทานมากมาย ทุกคนกระจายตัวอยู่รอบห้อง จับกลุ่มสนทนาบ้าง กินอาหารบ้าง
กิลเลนยิ้ม เขาหันมาหาแมดเดอลีน เธอสังเกตได้ว่ากิลเลนเหมือนจะร้องไห้เพราะความดีใจ เธอเห็นเขาเป็นน้องชายคนหนึ่ง แมดเดอลีนจึงขยี้หัวเขาอย่างเอ็นดู
แมรีวิ่งเข้ามาหาทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าประตู เธอเดินผ่านสายรุ้งที่ติดประดับเอาไว้อย่างร่าเริง “มาได้สักทีนะ ประธานมักจะมาสายเสมอจริง ๆ”
“เอาน่า ไปสนุกกับงานกันเถอะไป” แมดเดอลีนยิ้มก่อนจะเดินไปหน้าเตาย่างที่อุ่นไฟรออยู่ก่อนแล้ว แพทริคเป็นคนรับผิดชอบย่างเนื้อให้กับทุกคน เขายืนอยู่หน้าเตานั่น ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยแม้แว่นของตนจะเป็นฝ้าเพราะไอความร้อนไปแล้วก็ตาม....
“รับไปสิ” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ เขาคีบเนื้ออย่างดีใส่จานให้กับกิลเลนและบากะอินุที่นั่งตาแป๋วรอเนื้อแสนอร่อยอยู่ “ส่วนของบากะอินุด้วย” ไร้ซึ่งรอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง เขายื่นอีกจานให้ กิลเลนกล่าวขอบคุณและมอบมันให้เจ้าหมา
แมรียิ้มกรุ้มกริ่ม “ฉันเป็นคนจัดงานเองล่ะ ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มาตั้งนาน สนุกเหมือนกันนะ คลายเครียดไปอีกแบบ” เธอชี้นิ้วไปตามผนังและเพดานของห้องที่เต็มไปด้วยของตกแต่งมากมาย ควินซ์ที่ยืนอยู่อีกมุมห้องยิ้มให้กิลเลนและยกแก้วน้ำขึ้นเหมือนจะชนแก้ว
เบรนตันและไวโอเลตยืนคุยกันอยู่สองคนที่มุมห้องแต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาโบกมือให้กับเขา พอลล์และออร์คิดก็เช่นกัน กิลเลนยิ้มรู้สึกตื้นตันในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เขาเห็นพวกโอเวนด้วย แม้ทั้งสองจะไม่ได้ทักทายกันอย่างที่คนอื่นทำ แต่ครั้งนี้ก็ดูเหมือนโอเวนจะไม่สนใจเขาเลย เจ้าตัวเมาแอ๋กับคนในทีมตัวเองที่โต๊ะไปแล้ว
“คุณแมดเดอลีนเป็นเจ้ามือเนื้อย่างพวกนี้แหละ” แมรีหันมากระซิบในระหว่างที่แมดเดอลีนแย่งที่คีบจากแพทริคมาย่างเนื้อเอง “ดูจากปริมาณเนื้อแล้วคงจะล้มวัวมาสักห้าตัวได้”
“นินทาอะไรกันน่ะ” แมดเดอลีนขัดคอ แมรีจึงทำทีกลัวและเดินกลับไปหาควินซ์
“ขอบคุณนะครับ คุณแมดเดอลีน”
เธอพลิกเนื้อในเตานั้นไปมาอย่างอารมณ์ดี “ถ้าอยากขอบคุณก็ไปขอบคุณพวกแมรีด้วยเลย ยัยนั่นเป็นแม่งาน”
“ครับ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณอยู่ดี” กิลเลนตักเนื้อเข้าปาก เคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างมีความสุขโดยมีบากะอินุเกาขาเขาเพื่อขอเนื้อเพิ่มอยู่ตลอดเวลา
“รู้แล้วน่า” แมดเดอลีนเบนหน้าไปทางอื่น แต่ถึงอย่างนั้นกิลเลนก็สามารถมองเห็นรอยยยิ้มของเธอได้อยู่ดี เสียงหัวเราะและเพลงยังคงดังระงม เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นทุกคนยิ้มเขาก็อดที่จะรู้สึกดีไม่ได้ นานเท่าไหร่กันแล้วนะที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้
“จะว่าไปเนื้อวัวที่คุณไปล้มมาอร่อยดีนะครับ” ว่าแล้วก็ยื่นจานเปล่าให้คนตรงหน้า
“เดี๋ยวเถอะกิลเลน!”
งานเลี้ยงในคืนนั้นถูกดำเนินไปเนิ่นนาน เขาไปคุยกับบีตาทีมหรือคนอื่น ๆ ที่ไม่ค่อยได้คุยเลยตั้งแต่ขึ้นยานมาเป็นครั้งสุดท้าย กิลเลนพบว่าซีโรเซียไม่ได้มาที่นี่ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาเศร้าไม่น้อยเลย เขาเป็นตัวหลักในงานจึงอยู่จนงานจบโดยไม่มีโอกาสได้คุยกับพีโอเนียหรือจัสตินเลย
“พีโอเนีย” กิลเลนเอ่ยเรียกสาวผมทองที่กำลังจะเดินตามจัสตินออกไป
“กะ...กิลเลน”
“จะไปไหนน่ะ งานยังไม่จบเลยนะ” กิลเลนเอ่ยถาม พีโอเนียทัดผมเข้าที่กกหู เธอหันมามองหน้าเขาด้วยรอยยิ้มเศร้าสร้อย เธอไม่อยากให้กิลเลนจากไปเท่าใดนักแต่ก็ไม่มีสิทธิห้ามเขา “จัสตินล่ะ”
“เขาแค่มาดู ว่านายจะลงจากยานจริง ๆ อย่างที่แมรีว่ารึเปล่าน่ะ” ดวงตาของเธอจดจ้องเขา ยิ่งพูดว่าลงจากยานเธอก็ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ กิลเลนดูเหมือนจะอ่านสีหน้าของเธอออก ชายหนุ่มยิ้มให้
“ไม่เป็นไรหรอกพีโอเนีย ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมานะ” กิลเลนทำทีเป็นไม่ได้ยินเรื่องของจัสติน
หญิงสาวพยักหน้ารับ พีโอเนียอยากหยุดเวลาเอาไว้ เธอไม่รู้จะมีโอกาสได้เจอเขาอีกหรือไม่…
ท่ามกลางแสงไฟและเสียงเพลงเหล่านั้นกิลเลนก็อยากจะใช้ทุกเซลล์สมองบันทึกเอาไว้ เวลาที่ได้อยู่กับทุกคนแบบมีความสุขและไม่คิดอคติอะไรแบบนี้ช่างดีเหลือเกิน แต่ช่วงเวลาที่จะได้อยู่แบบนี้ก็ช่างแสนสั้น พวกเขาสังสรรค์กันจนเลยเที่ยงคืน แมดเดอลีนและกิลเลนก็กล่าวปิดงาน
กิลเลนกลับมาที่ห้องหลังจากบอกลากับทุกคนเสร็จแล้ว เขากำลังจะทิ้งตัวลงบนเตียงกับเจ้าบากะอินุ แต่แล้วเสียงเรียกหน้าประตูก็ดังขึ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมกับที่ประตูอัตโนมัติเปิดออก กิลเลนเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนยามวิกาล
“กิลเลน...”