ตอนที่แล้วตอนที่ 21 ประมุขเสวี่ย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 23 บุรุษศักดิ์สิทธิ์

ตอนที่ 22 แสงสว่างจากดวงประทีป


ตอนที่ 22 แสงสว่างจากดวงประทีป

 

การก่อความวุ่ยวายของสาหร่ายหัวผีคร่าชีวิตคนไปมาก ส่งผลให้งานเทศกาลคืนนี้ถูกยกเลิกไปดังคาด ความคึกคักในตัวเมืองกลับกลายเป็นเงียบเหงาจนถึงขั้นเปลี่ยวร้างทันที ยกเว้นลานกลางเมืองซึ่งเจ้าหน้าที่ในเมืองต่างพอกันกู้ซากร่างกับหัวของศพกลับมาวางเพื่อรอให้ญาติมารับตัว

เสวี่ยหงเยว่เฝ้ามองเหตุการณ์บนลานกว้างทั้งหมดจากหน้าต่าง ในตอนนี้เขาอยู่ในสถานะของประมุขเพื่อเข้าประชุม แผนการในคราแรกนั้นคือเพื่อตระเตรียมพิธีการลอยโคมแต่ในตอนนี้กลับต้องมาประชุมวิธีการรับมือสิ่งบุกรุกและจัดการกับศพของผู้รับเคราะห์ในเหตุการณ์

สุดท้ายแล้วเขาจึงตัดสินใจให้ทุกศพที่เสียไปในครั้งนี้อยู่ในการอนุเคราะห์ของประมุขเสวี่ย เขากล่าวกับที่ประชุมว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบการให้คนจะจัดพิธีศพและตระเตรียมการฌาปนกิจผู้เสียชีวิตทั้งหมด

จากงานเทศกาลอันคึกคักต้องกลายมาเป็นงานศพที่น่าเศร้า ต่อให้เสวี่ยหงเยว่ไม่ชอบงานรื่นเริงยังอดรู้สึกเจ็บปวดแทนชาวเมืองไม่ได้

เสวี่ยหงเยว่รู้ดีว่าการใช้พลังในการสู้เมื่อคืนนั้นตัวเองทำไม่ถูกต้องสักเท่าไร เขาไม่รู้ว่าการบังคับให้หัวผู้ตายกลายเป็นศพอาฆาตมาช่วยรบจะสร้างความไม่พอใจให้แก่ญาติของคนเหล่านั้นหรือไม่ ต่อให้มันจะมีผลประโยชน์ต่อการดำเนินบทตัวร้าย วางรากฐานให้ถูกคนชิงชังในอนาคตก็ตาม

แต่สุดท้ายด้านดีในใจของเขาก็รู้สึกว่าปล่อยไปไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด เขาก็อยากรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนกระทำลงไปแม้จะเป็นการช่วยจัดงานศพเพียงเล็ก ๆ น้อยๆ ก็ตาม

เสวี่ยหงเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย ละสายตาจากการมองภาพอันหน้าเศร้าที่ลานกลางเมืองเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคณะกรรมการหมู่บ้าน

เมื่อเข้าไปในห้องประชุมแล้ว ทั้งเสียงพูดคุย ความวุ่นวายทุกสิ่งทุกอย่างนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเหตุการณ์สาหร่ายหัวผีครั้งนี้สร้างความเดือดร้อนให้กับฝ่ายปกครองบ้านเมืองมากขนาดไหน

ลมหายใจบางเบาถูกถอนออกมา เขานั่งฟังการประชุมไปพลาง ช่วยออกความเห็นบ้าง รับความเห็นบ้าง คาดคะเนเวลาแล้วกว่าจะจบก็คงเกือบค่ำ

วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเลยคงได้ทำงานทั้งวันเพราะนอกจากหน้าที่เข้าประชุมวางแผนการปกครองแล้ว จบจากนี้ไป เขาเองก็ยังมีงานหลวงสำคัญรออยู่อีกหนึ่งงาน

อีกไม่นานพิธีลอยโคมขอบคุณเทพเจ้าจะเริ่มแล้ว...

 

เมื่อตะวันคล้อยตกดินก็ใกล้ถึงเวลาที่เสวี่ยหงเยว่ต้องทำงาน ต่อให้งานเทศกาลอันรื่นเริงจะยกเลิกแต่การลอยประทีปนั้นก็เป็นประเพณีที่ไม่อาจจะยกเลิกได้ มันเป็นธรรมเนียมที่สืบต่อกันมา เพราะหากไม่จัดพิธีบูชาเทพดังทุกปี ทางคนที่มีความเชื่อเรื่องเทพจะต้องกระวนกระวายกังวลกับผลผลิตในฤดูกาลหน้าเป็นแน่

ความเชื่อเรื่องเทพในโลกนี้มันฝังรากลึกเกินกว่าจะแก้

เมื่อเขามาถึงจุดที่ใช้ทำพิธี ผู้ติดตามก็กันหยุดหน้าประตู หลังจากนี้ตนจะต้องเข้าไปคนเดียว โดยเข้าไปทำพิธีสวดกับตัวแทนสกุลซุนเพียงสองคนในห้องที่จัดเตรียมไว้ให้

เสวี่ยหงเยว่เดินอย่างสงบเสงี่ยมตามทางเดินไม้ที่ทอดตัวยาวไปสู่แทนปรัมพิธี ก่อนจะชะงักเท้าไปเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นถึงร่างของคนหนึ่งซึ่งมารอเขาได้สักพักแล้ว

เขาเป็นชายที่มีรูปร่างสูงบอบบาง ใบหน้าเกลี้ยงเกลา เครื่องหน้าสวยเกินกว่าบุรุษแต่ก็ไม่หวานดังสตรี มัดรวบผมสีดำสนิทยาวจรดกลางหลังไว้ครึ่งหัวโดยปักตกแต่งด้วยปิ่นเงินเนื้องาม เรียกได้ว่าเป็นบุคคลมีความงามของทั้งสองเพศรวมอยู่ในตัวคนๆ เดียวก็ไม่ผิดนัก

ชายคนนั้นยืนตัวตรงมือประสานกันระดับตัก ทั้งสีหน้า สายตา ตลอดจนอากัปกริยาทุกสิ่งทุกอย่างดูสงบสำรวมและเรียบร้อย

“มาแล้วหรือขอรับประมุขเสวี่ย” ชายคนนั้นยิ้มให้เขา ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงละมุนน่าฟัง ซึ่งเสวี่ยหงเยว่ได้แต่พยักหน้าตอบรับ เขาค่อยๆ เดินตามหลังชายคนที่เดินนำไปอย่างเชื่องช้า ทอดสายตามองกริยาที่อ่อนช้อยนั้นพลางคิดอะไรหลายอย่างในหัว

ชายที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นเป็นคนทรง...เป็นนักบวชระดับสูงแห่งสกุลซุน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีกริยาสำรวมเรียบร้อย เดินทีก็นุ่มละมุนราวกับเทพก้าวเดิน

เขาหลุดยิ้มออกมาเล็กๆ กว่าจะทำได้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าใช้เวลาฝึกมารยาทมาขนาดไหนกันนะ

เมื่อเดินมาถึงลานสำหรับทำพิธีแล้ว ชายคนนั้นก็เดินตรงไปยังแท่นทำพิธี เขานั่งลงในท่าคุกเข่าทั้งสอง วางมือลงกับตักหนึ่งข้าง ก่อนจะใช้มืออีกข้างผายไปทางด้านหน้า คล้ายบอกให้จะให้เสวี่ยหงเยว่มานั่งที่ฝั่งตรงข้ามของตน

เสวี่ยหงเยว่จึงนั่งลงตามที่อีกคนเชิญ เขาหยิบโคมที่วางข้างตัวขึ้นมา จัดการคลี่มันออกจนกลายเป็นโคมประทีปขนาดใหญ่ เขาใช้มือจับที่ปลายโคมโดยที่คนเบื้องหน้านั้นจับเอาไว้อีกด้านหนึ่งเช่นกัน ริมฝีปากของชายผมดำคนนั้นค่อยๆ เอ่ยเอื้อนบางอย่างที่คล้ายกับบทสวด ด้วยเสียงอันไพเราะ และท่วงทำนองที่อ้อนช้อยงดงามจนชวนเคลิ้มฝัน

เขามองภาพนั้นเพลินๆ ไม่ใช่เพลินเพราะกริยาอันงดงามของอีกฝ่าย

แต่ที่มันเพลินเพราะรู้สึกว่ามันตลก

จริง ๆ เขาคงจะไม่รู้สึกตลกขนาดนี้ถ้าคนตรงหน้าเป็นนักบวชคนอื่น...ไม่ใช่คนเดียวกับที่เอาผ้ามาโพกหัวให้เขาเมื่อวาน

ใช่แล้ว...คนงามที่นั่งสงบเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าเขานี้ คือเจ้าคนน่าหมั่นไส้ในตอนนั้นนั่นเอง

บทสวดอันไพเราะดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างคล่องแคล่วไม่มีขาดตกบกพร่องสมเป็นคนจากสกุลคนทรง เสวี่ยหงเยว่ทอดสายตามองคนตรงหน้า ต่อให้อีกฝ่ายจะมีพร้อมทั้งสุ้มเสียง ทั้งหน้าตา ทุกอย่างล้วนเแต่เจริญหูเจริญตา สามารถมองเพลิน ๆ ได้ทั้งวันโดยที่ไม่รู้เบื่อก็จริง

แต่กับคนที่รู้จักนิสัยที่แท้จริงแล้วนั้น มันช่างน่าขนลุกเสียยิ่งกว่าอะไร

เสียงกระแอมดังขึ้นมาคล้ายจะเรียกสติของเสวี่ยหงเยว่ที่กำลังคิดเรื่องของอีกฝ่ายให้กลับมา พิธีสวดบทบูชาเทพได้จบสิ้นหลงแล้ว ก็ถึงพิธีการสำคัญ นั่นคือการปล่อยโคม

เสวี่ยหงเยว่เงยหน้ามองด้านบน ท้องฟ้าคืนนี้มีจันทร์กลมเต็มดวง เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายปล่อยโคมขึ้นฟ้าไปพร้อมกัน

ดวงตาสีแดงมองประทีปสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ลมพัดเบา ทิศทางลมกำลังดี แสงสว่างจากเปลวไฟกลมกลืนกับแสงนวลจากดวงจันทร์ โคมใหญ่นั้นสั่นเล็กน้อยตามแรงลม ก่อนที่จะเร่งลอยหายลับสายตา สู่ท้องฟ้ากว้าง ละล่องไปเรื่อย และจบลงด้วยการคล้อยตกลงสู่พื้นดินในยามที่เชื้อไฟมอดดับ

เมื่อมองขึ้นไปยังท้องฟ้าแล้วเสวี่ยหงเยว่รู้สึกใจหายเล็กน้อยทั้งที่ตามปรกติแล้วเมื่อจบพิธีสวด หลังประมุขเสวี่ยปล่อยโคมแรกขึ้นฟ้าไปแล้ว จะต้องมีโคมจำนวนมากลอยตามขึ้นมาแท้ๆ แต่ในคืนนี้กลับมีน้อย...น้อยมาเสียจนเกือบไม่มี

“ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ...คืนนี้มีพิธีศพ ญาติผู้ตายส่วยใหญ่คงไม่ออกมาลอยโคมหรอก” เมื่อจบพิธีการภาพลักษณ์คนงามแสนสงบของอีกฝ่ายก็หายวับไปทันที เขาบิดขี้เกียจอย่างไม่รักษามาด หากนอนเหยียดกับพื้นได้ได้ก็คงนอนไปแล้ว

"ก็มีแค่เราสองคนนี่แหละที่ต้องออกมาทำงาน"

ดวงตาสีแดงมองแรงใส่อีกฝ่าย เสวี่ยหงเยว่รู้สึกเหมือนได้อ่านหนังสือพระพุทธสอดไส้ความอาบัติทุกครั้งเวลาที่เห็นอีกฝ่ายพลิกกริยาจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้

“เจ้าไม่ควรบิดกายเช่นนั้น...จ้าวหาน เจ้ากำลังทำร้ายจิตใจของผู้ศรัทธาในสกุลซุน”

“เหรอ...” ซุนจ้าวหานลากเสียงก่อนที่จะนั่งข้างๆ กอดแขนเสวี่ยหงเยว่เอาไว้ ใบหน้าสวยนั้นขยับมาใกล้จนคนโดนกอดขนลุก

“แต่การที่ประมุขเสวี่ยแท้จริงแล้วเป็นคนขี้บ่นแถมยังใจอ่อนเด็กน้อยมันก็ทำลายภาพลักษณ์เจ้าไม่น้อยเลยนะ...หงเกอ —” แล้วซุนจ้าวหานก็บีบเสียงเล็กเลียนแบบเหอไป๋เทียน พร้อมที่ยิ้มออกมา

จึงทำให้เขาโดนฝ่ามือยันหน้าอย่างแรง

“หงเกออย่าใจร้ายกับน้อง— โอ้ยยย พอๆ พอแล้วข้าเจ็บ” หวีดร้องออกมาเมื่อรู้สึกว่าน้ำหนักของฝ่ามือที่ยันมาเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ซุนจ้านหานขยับตัวถอยเล็กน้อย ลูบแก้มลูบหน้าของตัวเองแล้วบ่นโอดไม่เป็นภาษา

“ดี...เจ้าจะได้เลิกล้อข้าเสียที” เสวี่ยหงเยว่กลอกตาอย่างหน่ายเหนื่อย พลางมองไปยังคนตรงหน้า

ซุนจ้าวหาน

คือนามของชายคนนั้น เขาเป็นบุตรชายคนรองใน สกุลซุน เป็นเพื่อนสนิทวัยใกล้เคียงกันของเสวี่ยหงเยว่ที่...

ล่วงรู้ถึงนิสัยที่แท้จริงของกันและกัน

แต่ได้โปรดเถิดอย่าได้ถามเลยว่าทำไมถึงมาโป๊ะแตกแสดงนิสัยจริงซึ่งกันและกันได้ เรื่องมันนานนมราวๆ สี่ปีก่อนเห็นจะได้ ตั้งแต่ตอนที่เขาเพิ่งรู้จักซุนจ้าวหาน...เขาโดนหลอกล่อให้เปิดเผยนิสัยเสียจนหมดรูป

“แค่เล็กน้อย จะเป็นอะไรไป ในเมื่อนานครั้งข้าจะได้เห็นเจ้าทำอะไรที่ไม่เคยทำ อย่างการพาเด็กน้อยมาเที่ยวเล่น....เด็กน้อยในสกุลเหอคนนั้นน่ะ น่ารักดีนะ” ซุนจ้าวหานยิ้ม เมื่อเห็นอาการตะหนกเล็กๆ จากอีกฝ่าย

"ทั้งที่ปลอมตนเป็นผู้อื่นแล้ว ทำไมยังวางท่าเป็นคนเย็นชากับคุณชายเหออยู่เล่า?" เขาถาม

"ยังมีฉิงเจียกับนายทัพเหมินอยู่ด้วย...จะให้ข้าพลิกพลันการวางตัวจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างไร " เสวี่ยหงเยว่ตอบ ลองได้ยิ้มร่าเวลาอยู่กับเหอไป๋เทียน แต่ดันวางตัวขรึมกับจงฉิงเจียหรือเหมินจิ้นเค่อมันก็ออกจะประหลาดแปลกๆ อยู่ไม่น้อย

"ไม่แคล้วข้าจะโดนคนมองว่าเป็นคนสองขั้ว สองบุคลิคไป"

"ก็จริงของเจ้า ทว่า...ข้าเห็นเจ้าสนิทสนมกับคุณชายเหอเช่นนี้แล้วก็รู้สึกดีใจอยู่ไม่ใช่น้อยเชียว" ซุนจ้าวหานหัวเราะ เขาขยับกายเข้าหา จับจ้องดวงตาของเสวี่ยหงเยว่อย่างจริงจัง

ทันใดนั้นซุนจ้าวหานก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เสวี่ยหงเยว่ไม่อาจจะเข้าใจได้

“ซึ่งนั่นทำให้ข้าคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้ว”

เสวี่ยหงเยว่เลิกคิ้ว พอจะอ้าปากถาม ซุนจ้าวหานก็ส่ายหน้าคล้ายกำลังสื่อว่าเขาอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ ชายหนุ่มค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นจากที่นั่ง เพื่อที่จะเดินนำไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในส่วนที่ลึกจากปรัมพิธีที่พวกเขาอยู่ในปัจจุบัน

ตลอดทางซุนจ้าวหานจะไม่ได้พูดอะไร ทางที่พวกเขาเดินไปนั้นเริ่มมืดและมืดขึ้นเรื่อยๆ แต่ในทางกลับกัน เสวี่ยหงเยว่กลับเห็นแสงที่เริ่มสว่างขึ้นมาจากตัวเขา พร้อมกันกับที่หน้าอกเริ่มร้อนแปลกๆ

พอเอามือแตะที่อกเสื้อตัวเองก็พบว่าบริเวณที่แผ่รังสีร้อนนั้น คือจี้ล็อคเกตที่เขาเอามาใส่อัญมณี

“ข้าแนะนำให้เจ้าเอามันออกมานะ” ซุนจ้าวหานเอ่ย เขายังคงเดินนำไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้เหลียวหลังหันมามองเสวี่ยหงเยว่เลยแม้แต่น้อย

เสวี่ยหงเยว่จึงได้นำออกมาตามคำแนะนำของซุนจ้าวหาน เขาค่อยๆ เปิดล็อคเก็ตออกมา กระไอพลังมืดนั้นแผ่กระจายออกมาเรื่อยๆ ยิ่งเดินลึกเข้าไปมาเท่าไร เขาก็ยิ่งรับสัมผัสถึงพลังนั้นชัดเจน ดวงตาสีแดงทอดมองคนที่เดินนำหน้าตนแล้วก็ขมวดคิ้วออกมา

เป็นแบบนี้อีกแล้ว...

ซุนจ้าวหานมักเป็นเช่นนี้เสมอ พลังศักดิ์สิทธิ์ของสกุลซุนนั้นมักทำให้ซุนจ้าวหานรับรู้อะไรต่อมิอะไรที่คนอื่นไม่เข้าใจต ทำนายทายทักอะไรก็แม่นยำ หากเป็นตัวละครในนิยายแฟนตาซีแล้วล่ะก็ เพื่อนของเขาคนนี้คงอยู่ในตำแหน่งนักบวชสายพยากรณ์แน่นอนร้อยเปอร์เซ็น

“คิดอะไรแปลกๆ กับข้าอยู่ใช่ไหม หงเยว่” เสียงนั้นเอ่ย ซุนจ้าวหานหรี่ตาลองเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เปิดบานประตูที่อยู่เบื้องหน้าของตัวเองออก

เสวี่ยหงเยว่ที่กำลังจะอ้าปากเถียงอยู่นั้นก็ชะงักลงไปพลันเมื่อตนได้เห็นกับบางอย่างที่อยู่หลังบานประตูนั้น

เส้นด้ายสีแดงถูกโยงตั้งแต่คบเพลิงหน้าประตูจวบจรดไปจนถึงขั้นบันได เมื่อมองตามเส้นด้ายไปเรื่อยๆ จากบันไดขั้นแรก เรื่อยขึ้นไปจนสุดขึ้นสุดท้าย เขาก็ได้เห็นถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่บนนั้น...คล้านกับแท่านผนึกอะไรบางอย่าง

มันคือต่างหูเงินทรงยาวขนาดเล็กเพียงหนึ่งข้างถูกวางอยู่บนแท่น ตามร่องที่มีการสลักลายของมันนั้นกำลังส่องประกายกระพริบถี่ ๆ อยู่ในจังหวะที่พร้อมกับอัญมณีที่อยู่ในมือของเสวี่ยวหงเยว่

เมื่อเห็นสิ่งนั้นชัดเจนกับตา หัวใจของเสวี่ยหงเยว่ถึงกับเต้นถี่เร็ว ในหัวย้อนไปถึงความทรงจำในหนังสือพล็อตย่อรวมถึงเรื่องเล่าที่ตนเคยได้ยินมาตลอด

สิ่งนั้นมันคือสมบัติของสกุลเสวี่ยไม่ผิดแน่...

หนึ่งในสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งสามสกุลต้องรักษา ต่างหูพัรผู้ควบคุมพลังมืดข้างนี้ นี่คือสิ่งที่สกุลเสวี่ยถือครองปกป้องมาโดยตลอด

ต่างหูพันธนาการ

และมันอยู่ในที่แห่งนี้ ถูกผนึกเอาไว้ยังหอสมบัติอันป็นปริศนา ไม่มีใครบอกเขาถึงที่ตั้ง กระทั้งเสวี่ยจินหรงผู้เป็นบิดาก็ไม่เคยบอกเล่า ที่แห่งนี้เป็นความลับมากเสียจนเสวี่ยหงเยว่คิดว่าเมื่อถึงบทดำเนินสตอรี่แล้ว ตัวเองจะต้องพลิกแผ่นดินตามหา

แท้จริงแล้วเขามาเยือนทุกปี...มิน่าล่ะต้นฉบับถึงได้มาก่อความวุ่นวายแรกที่นี่ เพราะจะมาดอยต่างหูนี่เอง สรุปแล้วนี่เขาแทบไม่ต้องลำบากอะไรแต่งานเสร็จเลยนะเนี่ย...

จะว่าสบายแรงมันก็ใช่...

แต่ว่าทำไมซุนจ้าวหานถึงได้รู้ว่าเขาตามหามันอยู่กัน?

“นับตั้งแต่บรรพกาลประมุขเสวี่ยทุกคนนั้นจะต้องสวมใส่สิ่งนี้ติดกายตลอดเวลา เพื่อใช้ความคุมพลังมืดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างไม่ให้มันล้นออกมา” คล้ายซุนจ้าวหานจะรู้ถึงความสงสัยนั้น เขาเอ่ยไปพลางเดินนำเสวี่ยหงเยว่พาตรงมาที่บันไดไปพลาง เพื่อที่จะได้เดินนำทางขึ้นไปหาต่างหูพันธนาการนั้นด้วยกัน

“มันมีหน้าที่คอยซึมซับพลังของประมุขเสวี่ยมารุ่นต่อรุ่น จนกระทั้งต่างหูคู่นี้เปี่ยมไปด้วยพลังมืด” เขาค่อย ๆ เล่าถึงตำนานแห่งต่างหูพันธนาการที่ตัวเองรู้ออกมา “จนกระทั้งเมื่อสามสิบปีก่อน ประมุขคนก่อนหน้าเสวี่ยจินหรงนั้นถูกพลังมืดที่ล้นออกจากต่างหูนี้ครอบงำ เขาถูกความมืดจากประมุขเสวี่ยคนก่อน ๆ กลืนกินสติ และกลายเป็นคนวิปลาส”

ซุนจ้าวหานมองสีหน้าของเสวี่ยหงเยว่ที่คล้ายว่าจะมีสีหน้าตกใจเป็นหนักหนา เขารู้ดีกว่าเจ้าตัวคงไม่เคยรู้ถึงเรื่องราวนี้ เรื่องราวของ ‘ประมุขเสวี่ยคนนั้น’ มันเป็นเรื่องก่อนที่อีกฝ่ายจะเกิดมาที่นี่เสียอีก

เรื่องราวเจ็ดปีก่อนที่เสวี่ยหงเยว่เกิด ก่อนที่เสวี่ยจินหรงจะขึ้นเป็นประมุข เรื่องราวแห่งหายนะที่นำมาซึ่งชื่อเสียแห่งสกุลเสวี่ย เรื่องราวที่ถูกปิดผนึกซ่อนเร้น เป็นความไม่ใช้ใครก็ตามได้ล่วงรู้แม้แต่ทายาทรุ่นถัดมาก็ตาม

เรื่องราวของเสวี่ยเหวินจวิ้น

“เมื่อประมุขคนนั้น...เสวี่ยเหวินจวิ้นถูกสังหารและเพื่อไม่ให้ประมุขเสวี่ยคนถัดไปถูกอำนาจมืดครอบงำอีก ผู้อาวุโสรุ่นนั้นจึงได้ร่วมมือกับคนในสกุลข้า จัดการแยกชิ้นส่วนของต่างหูพันธนาการเอาไว้ ส่วนหนึ่งถูกผูกด้ายแดงลงอาคมผนึกไว้ที่แห่งนี้และ...”

ซุนจ้าวหานมือเอื้อมไปเปิดครอบกระจกใส ปลดปล่อยด้ายที่ลงผนึก เพื่อหยิบต่างหูพันธนาการออกมา สังเกตได้ว่าท่ามกลางรอยแกะสลักอันสวยงามของมันนั้น มีจุดหนึ่งที่เป็นช่องว่างขนาดใหญ่คล้ายมีบางสิ่งบางอย่างหลุดออกไปจากตัวต่างหู

ซุนจ้าวหานค่อยๆ แบมือออกมา คล้ายกับจะว่าขอสิ่งที่เสวี่ยหงเยว่ถือครองอยู่ในมือ และเมื่อได้รับของมาแล้วเขาจึงวางอัญณมีสีดำเม็ดนั้นลงในช่องว่างที่ขาดหายบนต่างหูนั้นได้อย่างพอดิบพอดี

“อีกส่วนหนึ่งได้ถูกนำไปไว้ที่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ในแดนลับแลบนเขาเสวี่ย” ซุนจ้าวหานเงยมองหน้าอีกฝ่าย เขายิ้มให้บางเบา ยกมือขึ้นลูบศรีษะของเสวี่ยหงเยว่ด้วยความเอ็นดู...แว้บหนึ่ง แค่เพียงชั่ววินาทีเดียวเท่านั้น ที่คล้ายว่าดวงตาสีฟ้านั้นจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยและเอ็นดูในตัวอีกฝ่าย

“ใยทำหน้าเช่นนั้นกัน การนำสิ่งนี้ออกมาจากการผนึกเป็นภารกิจของเจ้ามิใช่หรือเสวี่ยหงเยว่?”

“ทำไมเจ้าถึง....” เสวี่ยหงเยว่ไม่ทันพูดจบก็ถูกแทรกขัดขึ้นมาเสียก่อน

“รู้...?”

ซุนจ้าวหานหัวเราะออกมาเบา ๆ ระหว่างที่สวมต่างหูข้างเดียวข้างนั้นให้ลงบนใบหูของเสวี่ยหงเยว่

“ความสามารถในการหยั่งรู้ของสายเลือดสกุลซุนอย่างไรเล่า” พูดได้แค่เพียงเท่านั้นเพราะจะให้อธิบายอะไรเพิ่มเติมคงยาก หากอธิบายให้มันกระชับที่สุดก็คงเป็น

‘ความหยั่งรู้ทุกสิ่งบนโลกราวกับดวงตาของพระเจ้า’

เพียงแค่เข้าฌานก็ทำให้ซุนจ้าวหานรู้แทบจะทุกสิ่งที่เป็นไปบนโลก มันคือความสามารถพิเศษ ที่เขาไม่ต้องการเท่าไรนัก...นั่นก็เพราะเขารู้ทุกสิ่งมากเกินไป

“ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนเกิดมามีหน้าที่ของตัวเองทั้งนั้นนั่นแหละ” ซุนจ้าวหานค่อยๆ ขยับตัว แล้วเดินนำเสวี่ยหงเยว่ลงบันไดแท่นผนึกไปเรื่อยๆ พลางฮัมเพลงอย่างแผ่วเบาไปด้วย

เสวี่ยหงเยว่ได้แต่มองแผ่นหลังคนตรงหน้า ความสงสัยนั้นเอ่อล้นมากเสียจนเขาไม่รู้จะถามสิ่งไหนก่อนเป็นอย่างแรก

ทำไมถึงพามาที่นี่

ทำไมถึงรู้ว่าเขาหาอะไร

แล้วใครคือเสวี่ยเหวินจวิ้น

“เจ้าก็มีภารกิจของเจ้า ตัวข้าเองก็มีสิ่งที่ข้าต้องทำ ไม่เกี่ยวกับว่าจะเกิดมาในสถานะใด สกุลใด หรือต่อจะให้เกิดเป็นใครก็ตาม” ดวงตาสีฟ้าใสเงยสบตากับอีกฝ่าย ซุนจ้าวหานค่อยๆ เอ่ยถ้อยคำบางอย่างออกมา ที่ทำให้เสวี่ยหงเยว่เบิกตากว้าด้วยความตระหนก

“ใช่ไหมขอรับ...ท่านสมจิตร”

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด