ตอนที่ 22 คำตอบของเฟย์นะ
ตอนที่ 22 คำตอบของเฟย์นะ
“แน่ใจเหรอว่าพร้อมแล้ว”
พาเทลถามลูกสาวอย่างนึกเป็นห่วง อยู่ๆ เฟย์นะก็โทรหาเขาตั้งแต่เช้ามืด บอกให้มาที่นี่เพื่อร่วมทานอาหารเช้าร่วมกับสมาชิกตระกูลยูคิฮารุด้วยกัน
“ค่ะ หนูพร้อมให้คำตอบพวกเขาแล้ว”
พาเทลได้แต่ตบบ่าลูกสาวอย่างให้กำลังใจ ตอนที่เขามาถึงเธอก็แต่งตัวเตรียมพร้อมอยู่ในชุดกระโปรงยาวเรียบร้อยแล้วที่โซฟาในโซนห้องนั่งเล่น ทั้งสองเดินออกจากห้องเมื่อถึงเวลาอาหารเช้าตามกำหนดการประจำบ้าน ก่อนจะได้พบกับเคนเซย์ที่ยืนรออยู่ตรงนั้นในชุดเครื่องแบบของนักศึกษาสถาบันกองปราบปราม
“ได้ยินมาว่าวันนี้เธอขอไปร่วมมื้อเช้าด้วย”
“อื้อ ได้ยินมาว่าทุกคนในครอบครัวของนายจะทานมื้อเช้าด้วยกันทุกวัน ฉันจะได้พูดทุกอย่างทีเดียวให้จบ”
เคนเซย์นิ่งมองเฟย์นะ ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ยังคงแจ่มชัดในหัว การจากไปของทิมคงทำให้เฟย์นะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วจริงๆ
“อื้อ งั้นไปกันเถอะ” คุณชายของบ้านเดินนำแขกทั้งสองไป
ห้องอาหารใหญ่ประจำบ้านเป็นห้องโถงที่เปิดผนังโล่งสามด้านเพื่อรับลมจากธรรมชาติ และบรรยากาศอันสดชื่นของสวนหย่อมยามเช้า ไม่มีโต๊ะขนาดใหญ่หรือโต๊ะยาวให้ทุกคนนั่งรวมกันบนเก้าอี้ แต่สำรับอาหารถูกจัดอยู่บนโต๊ะเตี้ยแยกเป็นรายคน พร้อมกับเบาะที่ต้องนั่งอยู่บนพื้นซึ่งวางเป็นสี่เหลี่ยมให้หันหน้าเข้าหากัน
“มากันแล้วเหรอคะ เชิญนั่งก่อนค่ะคุณพาเทล หนูเฟย์นะ”
ท่านแม่ของเคนเซย์ลุกขึ้นมาต้อนรับพวกเธอ นายหญิงใหญ่ของบ้านเชื้อเชิญให้พาเทลนั่งลงที่ด้านข้างชายคนหนึ่ง ซึ่งดูจากใบหน้าที่ละม้ายคล้ายเคนเซย์อยู่พอตัวแล้วก็ทำให้พอทราบว่าเป็นใคร เคยได้ยินมาว่าท่านผู้บัญชาการสูงสุดของปราบปรามคนปัจจุบันยังอายุไม่มากนัก และเพิ่งรับตำแหน่งมาได้เพียงสองปี ตอนนี้น่าจะอายุราวสี่สิบกลางๆ เท่านั้น
แม้จะยังไม่ใช่คนสูงอายุที่ดูแก่ประสบการณ์ แต่ท่าทีเคร่งขรึมนั้นก็ดูทำให้น่าเกรงขามสมตำแหน่งทีเดียว
เฟย์นะอมยิ้มอย่างพอใจที่ทางตระกูลนี้ให้เกียรติกับคุณพ่อของเธอมากขนาดนี้ เพราะแม้จะทำงานในกองปราบเหมือนกัน แต่พ่อของเธอก็เป็นเพียงหัวหน้าอยู่ในสังกัดเล็กๆ ระดับเขตซึ่งใกล้เกษียณแล้วเท่านั้น แต่ดูแล้วอาจจะต้องสงสารพ่อของเธอมากกว่าที่ออกอาการเกร็งน่าดู
ที่นั่งของเฟย์นะถูกจัดให้อยู่ด้านข้างกับเคนเซย์ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพ่อของทั้งสองคน ด้านซ้ายมือเป็นคุณอาผู้ชายสวมแว่นซึ่งเป็นแพทย์วิญญาณ นั่งอยู่กับเด็กหญิงวัยราวสิบต้นๆ อยู่ในชุดนักเรียนเตรียมไปโรงเรียน ส่วนทางขวาคือท่านแม่ของเคนเซย์และหญิงสาวอีกคนที่เฟย์นะเดาว่าน่าจะเป็นคุณอาสะใภ้นั่นเอง
เฟย์นะนั่งลงแล้วโค้งหัวคำนับ และนั่นก็สร้างรอยยิ้มให้กับเจ้าของบ้านทุกคน
“สวัสดีค่ะ ทุกท่านคงทราบกันแล้วแต่หนูก็ขอแนะนำตัวอีกครั้ง เฟย์นะ ยุน ค่ะ”
“สวัสดีคุณเฟย์นะ ในที่สุดก็ได้เจอกันเสียที อาการเป็นยังไงบ้างแล้ว”
พ่อของเคนเซย์เอ่ยทักทายขึ้นเป็นคนแรก น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นให้ความรู้สึกของคนใจดีผิดกับภาพลักษณ์ที่ดูเคร่งครัดลิบลับ
“สบายดีมากจนอยากลุกขึ้นไปซ้อมยิงปืนฟันดาบต่อแล้วล่ะค่ะ”
ทั้งวงหัวเราะขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบนั้น หญิงสาวเองก็อมยิ้มรับกับทุกคนที่หันมา เคนเซย์หันไปมองคนนั่งข้างตัวพร้อมกับลอบถอนใจอย่างโล่งอก เขานึกว่าบรรยากาศจะมืดมนน่าอึดอัดเสียอีก
“จริงสินะ หนูเฟย์นะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับเคนเซย์นี่นา” ท่านแม่ของเคนเซย์พูดสมทบขึ้นมา
“เพราะพ่อของหนูก็เป็นนักปราบปราม หนูก็เลยมีความฝันตั้งใจอยากจะเป็นเหมือนคุณพ่อให้ได้น่ะค่ะ” เฟย์นะตอบกลับไป
“น่าอิจฉาคุณพาเทลจริงๆ ค่ะที่มีลูกสาวน่ารักแบบนี้” ยังคงเป็นนายหญิงใหญ่ของบ้านที่ชมหญิงสาวไม่หยุดปาก
“เฟย์นะเป็นเด็กดีมากครับ ผมภูมิใจในตัวเธอเสมอ” พาเทลรับคำชมนั้นอย่างยินดี
“จริงสิ ลืมแนะนำตัวกันไปเลยเราเคยเจอกันไปแล้วนะจ๊ะ ส่วนนี่คือพ่อของเคนเซย์ ด้านนั้นคืออาและอาสะใภ้ แล้วก็หนูน้อยวัยสิบเอ็ดปีของเรา รุกะจ้ะ”
ทุกคนที่ถูกแนะนำส่งยิ้มให้กับเธอ มีเพียงเด็กหญิงที่จ้องมองเธอตาปริบๆ แต่ไม่พูดอะไร
“ตายจริงเดี๋ยวจะคุยกันเพลินหนูเฟย์นะคงหิวแย่แล้ว เชิญทานอาหารกันเถอะนะคะ ค่อยๆ ทานไปคุยกันไปก็ได้”
เฟย์นะยิ้มรับคำนั้นกับนายหญิงใหญ่ของบ้านอีกครั้งก่อนจะก้มลงสำรวจอาหารในจาน บางอย่างก็เป็นของชอบบางอย่างเธอก็ไม่ชอบเอาเสียเลย แต่มาอยู่แบบนี้แล้วก็คงจะเลือกไม่ได้ เฟย์นะเลือกตักสิ่งที่พอจะกินได้เข้าปากก่อน เพราะหากเธอได้เอ่ยปากอะไรแล้ว หญิงสาวอาจจะกลืนข้าวไม่ลงอีกต่อไป
แต่ในตอนนั้นเอง เด็กสาวตัวน้อยที่สุดในวงอาหารยังคงเอาแต่จ้องมองเฟย์นะตาปริบๆ
“รุกะ ทานข้าวได้แล้ว” หญิงสาววัยราวสามสิบกลางๆ เอ่ยขึ้นข้ามโต๊ะ เธอดูสวยก็จริงแต่อย่างไรสง่าราศีก็ยังดูสู้ท่านแม่ของคายาโตะไม่ได้ แม้ฝ่ายหลังน่าจะมีอายุมากกว่าแล้วก็ตาม
“ก็หนูสงสัย”
“สงสัยอะไรลูก” คุณอาแพทย์วิญญาณผู้เป็นพ่อซึ่งนั่งข้างเด็กน้อยเป็นคนถามขึ้น
“พี่เขาเป็นแฟนของพี่เคนเซย์เหรอคะ ทำไมวันนี้ทุกคนต้องเปลี่ยนที่นั่งกันด้วย”
แทบทุกคนชะงักช้อนหรือตะเกียบที่กำลังจะยกขึ้นนำอาหารเข้าปาก คำถามที่ผู้ใหญ่ทุกคนพยายามหลีกเลี่ยงอย่างเห็นได้ชัด แผงที่นั่งในวันนี้ถูกเปลี่ยนให้เหมาะสมกับแขกของบ้าน เพราะโดยปกติสมาชิกหลักหกคนนั้นสามีภรรยาจะนั่งข้างกัน และเด็กทั้งสองอย่างเคนเซย์กับรุกะจะนั่งอยู่ด้วยกัน เมื่อพื้นที่ข้างกายพี่ชายคนโปรดถูกใครสักคนแย่งไปจึงทำให้เด็กหญิงอดสงสัยไม่ได้
อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เฟย์นะมองเด็กหญิงแล้วได้แต่คิด เธอคงจะพูดสิ่งที่อยากพูดตรงนี้ไม่ได้เสียแล้ว
“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ พี่เฟย์นะทำหน้าไม่ถูกแล้วเห็นมั้ย”
อาสะใภ้บอกดุตักเตือน แต่ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่ได้กลัวเกรงสักนิด
“ก็พี่เคนเซย์เคยบอกว่าถ้ามีแฟนแล้วจะพามากินข้าวที่บ้าน ก็ไม่เคยเห็นจะมีใครมาซะทีนี่นา หนูเลยสงสัย”
เคนเซย์แทบกลั้นยิ้มไม่อยู่เมื่อได้ยิน คงต้องให้รางวัลใหญ่เจ้าน้องสาวจอมดื้องามๆ ซะแล้ว อย่างน้อยเฟย์นะกับคุณพ่อของเธอจะได้รู้ว่าเขาไม่เคยพาใครมาที่นี่เลยจริงๆ
“เรื่องนั้นพี่ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะคุณหนูรุกะ หลังทานอาหารเช้าเสร็จคงต้องให้คุณชายเคนเซย์ตัดสินใจเอง”
เคนเซย์และทุกคนหันกลับมามองเธอแทบจะพร้อมเพรียงอีกครั้ง คำพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร
แต่เมื่อเฟย์นะมองไปทางเด็กหญิงแล้วทุกคนก็เหมือนจะเริ่มพอเข้าใจขึ้นมา และหญิงสาวก็กลับมาตักอาหารทานต่อก่อนที่ทุกคนจะเริ่มทานต่อเช่นกัน การทานอาหารดำเนินไปอย่างเรียบง่าย พ่อของเคนเซย์และพ่อของเธอพูดคุยเรื่องการงานเกี่ยวกับกองปราบปราม
คุณอาผู้ชายก็ดูเหมือนจะคอยตอบคำถามโน่นนี่กับลูกสาว ผู้เป็นเหมือนเจ้าหนูจำไมสงสัยนั่นโน่นนี่แทบตลลอดเวลา มีเพียงท่านแม่ของเคนเซย์และอาสะใภ้ที่คุยกันไปพลางและหันมาพูดคุยถามเธอบ้างตามเรื่องราว
เฟย์นะรู้ว่าเคนเซย์หันมามองเธอบ่อยๆ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้หันไปกลับไปมองเขาหรือพูดคุยกับเขาสักคำ จนกระทั่งดูเหมือนอาหารตรงหน้าของทุกคนจะพร่องลงไปมากแล้ว คุณอาสะใภ้เหมือนรู้สถานการณ์จึงบอกให้แม่บ้านพาเด็กหญิงออกไปส่งที่โรงเรียนเร็วกว่าปกติ
รุกะดื้อเล็กน้อยเพราะอยากจะอยู่ฟังต่อด้วยให้ได้ จนท้ายเคนเซย์ต้องหลอกล่อว่าไว้เขาจะตามไปเล่าให้ฟังเด็กหญิงจึงยอมออกจากห้องห้องอาหารใหญ่ไปแต่โดยดี แล้วก็ดูเหมือนได้เวลาที่จะต้องเอ่ยปากคุยกันอย่างจริงจัง
“ขออนุญาตเข้าเรื่องตามตรงเลยนะคะ หากทุกคนต้องการให้หนูแต่งงานกับเคนเซย์...”
เฟย์นะเข้าเรื่องประเด็นนี้ทันที และประโยคที่หญิงสาวเว้นวรรคหยุดหายไปนั้นทำเอาหลายคนแทบกลั้นหายใจตามเลยทีเดียว
“หนูก็จะแต่งงานกับเขาค่ะ”
ท่านแม่และอาสะใภ้ของเคนเซย์ถอนใจพรืดอย่างโล่งอกและยิ้มยินดีแทบจะพร้อมเพรียงกัน ในขณะที่เคนเซย์กับพ่อของเฟย์นะได้แต่หันมองหญิงสาวอย่างตกตะลึง ดูเหมือนคงมีแค่อาผู้ชายและผู้นำของบ้านนี้ที่ดูเหมือนจะรู้ว่าเธอยังพูดไม่จบ
“ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากอะไรก็ตาม แต่ความจริงที่ว่าเขาทำพิธีนั้นกับหนูไปแล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และก็ต้องยอมรับว่าหากเขาไม่ทำอย่างนั้นหนูก็คงจะตายไปแล้ว หรือดีไม่ดีอาจกลายเป็นอาชญากรไปแบบไม่รู้ตัว และทิม...”
หญิงสาวละคำบางคำที่จะทำให้แสลงหูของคนในวงที่สุด
“คนสำคัญของหนูก็คงจะตายเปล่า... ดังนั้น หากมีหนทางที่หนูจะตอบแทนบุญคุณนี้ได้ หนูก็จะทำค่ะ”
น้ำเสียงของหญิงสาวนั้นเรียบนิ่งค่อนไปทางเย็นชาอย่างชัดเจน ฟังดูก็รู้ว่าเลือกทางนี้ด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่ความเสน่หาในตัวลูกชายบ้านนี้แน่ๆ
เคนเซย์ยังพูดไม่ออก วูบหนึ่งเขารู้สึกดีใจจนแทบบ้า แต่วูบต่อมาเขากลับรู้สึกอยากจะบ้าตายจริงๆ เพราะเขาไม่เคยคิดว่าอยากให้เธอทำแบบนี้เพราะติดหนี้บุญคุณอะไรนั่นเลย ที่แน่ๆ เพราะเขาปล่อยให้เธอตายไปต่อหน้าต่อตาหรือกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนไม่ได้ แม้ส่วนหนึ่งในใจอาจจะคิดไปบ้างว่าสิ่งนี้จะเป็นการแสดงความจริงใจของเขาที่มีต่อเธอได้อย่างหนักแน่นที่สุด เผื่อว่าเธอจะหันมาสนใจมองเขาบ้าง แต่ไม่ได้คาดหวังให้เป็นแบบนี้เลยจริงๆ
“แต่ว่า... หนูก็อยากขอให้ทุกคนยอมรับข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งด้วยค่ะ”
น้ำตาของหญิงสาวเริ่มเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง แต่เธอก็ห้ามไม่ให้มันไหลออกมาได้
“หนูเพิ่งสูญเสียคนรัก และการทำพิธีนี้ก็เกิดขึ้นในตอนที่หนูไม่รู้เรื่องไม่ได้ตกลงยินยอม หนูไม่แน่ใจว่าต้องใช้เวลาแค่ไหนในการยอมรับเรื่องราวเหล่านี้ให้ได้ หรือสุดท้ายแล้วหากหนูรู้สึกว่าไม่สามารถเปิดใจให้กับใครได้อีกจริงๆ อย่างน้อยหนูก็จะขอใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อมีลูกให้เคนเซย์สืบทอดพลังของตระกูลยูคิฮารุ แล้วค่อยออกจากตระกูลไป”
“เฟย์นะ...”
พ่อของลูกสาวได้แต่มองอย่างเห็นใจ เขาไม่ได้ถามเธอมาก่อนว่าตัดสินใจอย่างไร เพราะไม่อยากชักนำความคิดอะไรและอยากปล่อยให้ลูกสาวทำตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นที่สุด
“เวลาจะช่วยเยียวยา...คุณเฟย์นะ อย่างไรก็ตามในฐานะหัวหน้าครอบครัวนี้ ทางเราขอโทษแทนลูกชายด้วยที่ทำอะไรเอาแต่ใจแบบนั้น และขอขอบคุณสำหรับความตั้งใจที่จะช่วยเราเรื่องการมีทายาท”
“ไม่หรอกครับ ทางผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณชายเคนเซย์ ไม่อย่างนั้นผมคงมานั่งทานอาหารกับลูกแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว”
พ่อของชายหนุ่มของหญิงสาวตบบ่าราวกับจะปลอบโยนซึ่งกันและกัน
“อีกอย่างหนึ่งค่ะ หนูอยากเรียนรู้เรื่องพลังของนักปราบวิญญาณค่ะ ได้โปรดสอนให้หนูได้ทำสิ่งนั้นด้วยนะคะ”
“แน่นอนอยู่แล้วจ้ะ นักปราบวิญญาณมีอยู่น้อยมาก หากใครสามารถทำได้เราก็ยินดีส่งเสริม แต่เพราะมันอันตราย เราจึงไม่มีสิทธิจะไปบังคับใครๆ และเพื่อความปลอดภัยของตัวเองด้วย หนูเฟย์นะอาจต้องฝึกหนักหน่อยนะ”
“หนูจะพยายามค่ะ”
หญิงสาวยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรก ก่อนที่รอยยิ้มนั้นแทบจะกลืนกลับไปเมื่อได้ฟังประโยคถัดมา
“ดีเลย เราเตรียมอาจารย์ที่ดีที่สุดไว้ให้แล้วล่ะ”
คุณอาผู้ชายถึงกับไอแคกๆ ออกมากะทันหัน เมื่อได้ฟังคำพูดที่ไม่เคยมีการนัดแนะกันมาก่อนของภรรยาของตน
“ใครเหรอคะ”
“เคนเซย์ไงจ๊ะ”
เฟย์นะหันควับไปมองคนข้างตัวที่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ และก่อนที่ความเงียบจะเข้าเกาะกุมทุกคนนานไปกว่านี้ อาสะใภ้ก็เอ่ยสิ่งหนึ่งขึ้นมาที่ทำให้ทั่วทั้งห้องเงียบกริบขึ้นมาเลยทีเดียว
“อ้าว แบบนี้ก็ได้เวลาจัดงานมงคลแล้วสิคะ วันไหนดี พรุ่งนี้เลยดีมั้ย”
“เอ่อ...คุณอาครับผมว่ายังไม่ต้องจัด...”
“เราต้องจัดงาน” หนนี้กลับกลายเป็นท่านแม่ของว่าที่เจ้าบ่าวพูดสวนขึ้นมา
“หากว่าทางหนูเฟย์นะยินดีไม่มีปัญหาแล้ว เราก็ต้องทำการต้อนรับสะใภ้เข้าตระกูลให้สมศักดิ์ศรีอย่างเป็นทางการ แต่แน่นอนว่าเราจะไม่ทำให้มันเอิกเกริกอะไรเพราะทั้งสองก็ยังเรียนอยู่ และด้วยสถานการณ์บางอย่างของหนูเฟย์นะด้วย คิดว่าจัดแค่งานเล็กๆ เชิญแค่คนภายในที่เกี่ยวข้องโลกวิญญาณกันไม่กี่คนก็คงพอแล้วค่ะ สักวัน...ถ้าเรื่องราวทุกอย่างไปได้ดีจากนี้เอาไว้จัดแบบเป็นทางการในฝั่งโลกมนุษย์อีกทีก็ยังไม่สาย”
“แต่อย่าเพิ่งจดทะเบียนสมรสเลยนะครับ ผมไม่อยากให้ลูกสาวกดดันจนเกินไป”
พาเทลพยายามต่อรองแทนเฟย์นะ อย่างน้อยหากไม่มีข้อผูกมัดกันทางกฎหมายอย่างจริงจัง เรื่องทุกอย่างก็ยังสามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ง่ายขึ้น
“แน่นอนค่ะ เรื่องนี้จะยกให้เป็นการตัดสินใจของลูกๆ ทั้งสองคนเองดีมั้ยคะ”
“ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ”
“แต่มีอย่างหนึ่งที่อาจจะต้องรบกวนขออนุญาตจากคุณพาเทลค่ะ ทางเราอาจจะต้องขอให้หนูเฟย์นะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ต่อให้ไม่ใช่เรื่องการแต่งงาน แต่การปะทุพลังที่เกิดจากพิธีชำระวิญญาณจะทำให้พลังไม่เสถียรเท่าผู้ที่มีพลังโดยธรรมชาติค่ะ ในเบื้องต้นควรให้อยู่ใกล้ๆ กับผู้ให้กำเนิดพลังของเธอจะเป็นการดีต่อสุขภาพที่สุด ไหนจะยังมีเรื่องการฝึกใช้พลังวิญญาณเพื่อเป็นนักปราบวิญญาณตามที่หนูเฟย์นะต้องการอีกด้วย แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เราจะให้พวกเขาแยกห้องนอนกันแน่นอนค่ะ คุณพาเทลเองก็มาเยี่ยมเฟย์นะได้ตลอดเวลาเหมือนกัน”
“นะ...นั่นสินะครับ ก็คงจะต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ”
แม้จะฟังดูหมิ่นเหม่น่าเป็นห่วงลูกสาว แต่คนที่เอ่ยปากเรื่องแต่งงานก็เป็นเฟย์นะเองแต่แรก และตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่นี่มาหลายวันก็พอจะทำใจให้เชื่อได้ว่า คนที่นี่ให้ความสำคัญและดูแลเฟย์นะเป็นอย่างดีจริงๆ
ทว่า... เฟย์นะฉีกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ราวกับเจอช่องทางที่จะเอาคืนเคนเซย์ที่ทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์นี้ได้อย่างสาสม...
“จัดให้นอนห้องเดียวกันก็ได้นะคะหนูไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าถ้าหากคุณชายเคนเซย์ทำอะไรไม่ดีโดยที่หนูไม่ยินยอมขึ้นมาล่ะก็ หนูขออนุญาตยุติข้อตกลงทุกอย่าง รวมถึงเรื่องการมีทายาทและออกจากตระกูลในทันที...”