ตอนที่แล้วตอนที่ 20 ดีดีกันไว้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 22 การต่อสู้ของทั้งสอง Part 1

ตอนที่ 21 เทพบุตรคิกิ และ เพกัส


 

ตอนที่ 21 เทพบุตรคิกิ และ เพกัส

 

“อย่าเพิ่ง!”

ชุนหยุดชะงักกางแขนกั้นอยู่เบื้องหน้า ลินจิซึ่งกำลังเดินตามมาจึงต้องหยุดชะงักจนเกือบชนบั้นท้ายเข้าให้ ก่อนจะเงยหน้าถามอย่างสงสัย

“อ๊ะ! อะไรเหรอครับ”

“ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย”

ว่าแล้วชุนก็กลอกตามองไปมา ขยับปลายเท้ากางขาออกเล็กน้อยพร้อมย่อเข่าลง อีกมือก็จับด้ามดาบด้วยท่าทีเฝ้าระวัง ส่วนลินจิก็กำมือขวาทาบอกอย่างตกใจในท่าที

เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกงั้นเหรอ ลินจิคิดในใจ

เสี้ยววินาทีนั้นเบื้องหน้าก็มีบางอย่างกำลังพุ่งแหวกหมอกสีเทาเข้ามา ชุนซึ่งเตรียมตัวอยู่แล้วจึงดึง ‘ดาบกระดูกเทพ’ ฟาดฟันทันที

‘ดาบกระดูกเทพ’ คือดาบประจำตระกูล ‘มาซาโตะ’ ซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษมายาวนาน เจ้าของคนก่อนหน้านี้คือ ‘มาซาโตะ เคโงะ’ บิดาของ ’มาซาโตะ ชุน’ ซึ่งทิ้งดาบเล่มนี้เอาไว้ ก่อนจะหายสาบสูญไปอย่างปริศนาตั้งแต่ชุนยังอยู่ในท้องของมารดา

เมื่อคมดาบฟันฉับ แขนปีศาจขาซีดก็หล่นลงสู่พื้นเบื้องหน้าดังตุบ

ลินจิร้อง “ว๊าก” ตกใจก่อนปิดปากดังอุบ ส่วนชุนก็ชุนกระชับดาบแน่นแล้วทำมุมเฉียงชี้ลงพื้น แผดเสียงว่า…

“อุรามิ เจ้าใช่มั้ย!”

“หึหึหึ”

เสียงหัวเราะเยือกเย็นลอยมาจากบริเวณใกล้ ๆ อย่างไม่สามารถจับทิศทางของเสียงได้

ขณะที่ทั้งสองมองหาที่มาของเสียงอยู่นั้น แขนมารที่ถูกฟันขาดบนพื้นก็ปล่อยไอพิษสีเทาออกมาก่อนจะเพิ่มปริมาณจนเป็นสีดำ ชุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบกระโดดถอยหลังยื่นมือคว้าคอเสื้อลินจิถอยออกห่างทันที

สิ่งที่ปล่อยออกมาจากแขนคือ ‘ไอพิษแห่งหุบเขารกกะ’ ซึ่งอุรามิได้ดูดกลืนเข้าไปในโพลงปีศาจของตน จนตอนนี้เขาสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างอิสรเสรี

“อ๊ะ…”

พอชุนปล่อยคอเสื้อ ลินจิก็ร้องเบา ๆ พลางกำมือทาบอกแล้วมองซ้ายมองขวา จู่ ๆ ร่างราง ๆ ก็ลอยโผล่ออกมาจากหมอกทึบด้านหลัง

“อ๊า…”

เมื่อปรากฏร่างปริศนาอย่างไร้ซึ่งที่มา ก็ปรากฏร่างผอมสูงสามศอกครึ่งสวมชุดคล้ายชุนทว่าเป็นสีดำ เรือนผมสีทองดูอ่อนนุ่ม นัยน์ตาสีฟ้าที่เคยใสกระจ่างถูกไอพิษบดบังจนหมองหม่น ใบหน้าขาวซีดราวกับไม่ใช่คน ปลายจมูกเรียวแหลมมีสันสูงเล็กน้อยแต่ก็เด่นเตะตา ปากชมพูยกยิ้มอย่างเยือกเย็นเป็นการทักทาย

“อุรามิ!”

ลินจิเปิดปากเบิกตากว้าง เมื่ออุรามิก้าวขาเข้ามาหาหนึ่งก้าว เขาก็ตะโกนว่า “หยุดนะ!” พร้อมแบบมือเหยียดสองแขนออกไป จากนั้นก็ใช้พลังแสงศักดิ์สิทธิ์ ‘God Light’

ละอองแสงระยิบระยับดูไม่มีพิษภัยลอยออกจากฝ่ามืออย่างเชื่องช้าราวกับหิ่งห้อยบิน

“หน็อย..”

ชุนขบกราม สบถออกมาพร้อมตวัดดาบ จังหวะนั้นตัวดาบของเขาก็เปล่งแสงสีแดง เวทเพลิงที่เกิดจากแรงฟันพุ่งแหวกอากาศราวเสี้ยวพระจันทร์ตัดร่างของอุรามิทันที

จากนั้นกายเนื้อของอุรามิก็ถูกแผดเผาหลอมละลายเละสู่พื้นราวของเหลว ส่วนละอองแสงศักดิ์สิทธิ์ของลินจิก็ลอยวนไปเวียนมาอย่างไร้ทิศทางก่อนจะวูบดับไป ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรในการจู่โจมครั้งนี้เลย

เสี้ยววินาทีนั้นเศษซากของอุรามิที่กองเละอยู่บนพื้นก็ระเหยออกมาเป็นไอพิษ ลินจิและชุนรู้สึกถึงอันตรายจึงรีบถอยออกห่าง

“คุณชู๊น!”

ลินจิเรียกพลางวิ่งเข้าไปหลบอยู่ด้านหลัง กำผ้าคลุมของชุนไว้แน่น

จู่ ๆ เสียงหัวเราะ “หึหึหึ” ของอุรามิดังก้องขึ้นมาอย่างจับทิศทางไม่ได้

“ออกมานะอุรามิ!”

ชุนตะโกน บิดข้อมือเตรียมจู่โจมพร้อมกลอกตาไปมาหาตัวอุรามิ

“ฮะฮะฮ่า จะออกมาได้ยังไงเล่า พวกเจ้าเล่นเป่าร่างเทียมของข้าจนเละซะขนาดนี้ ไม่ค่อยใช้สมองกันเลยนะ”

เสียงของอุรามิเป็นเสียงของ ‘เอวิน’ คนที่ชุนคุ้นเคยดี แต่ตอนนี้เขาก็ไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกนึกคิดและความทรงจำของเอวินยังคงเดิมหรือเปล่า เมื่อความสงสัยแล่นเข้ามา ชุนก็เปิดปาก

“เอวิน นี่เจ้า! เจ้าคิดจะทำอะไร”

ลินจิเคยได้ยินเรื่องของ ’เอวิน’ มาบ้าง ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าคนคนนั้นมีความสัมพันธ์กับชุนระดับไหน ถึงแม้จะอยากรู้ แต่ลินจิก็ทราบดีว่า …ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้

“ฮะฮะฮ่า เอวินเหรอ เจ้ามนุษย์ที่เต็มไปด้วยความริษยาและเคียดแค้นคนนั้นนั่นเหรอ พลังของมันน่าสนใจยิ่งนัก ข้าก็แค่ยืมพลังและจิตใจส่วนหนึ่งของมันเท่านั้นเอง”

อุรามิพูดเสียงก้องทั่วบริเวณ

ลินจิเริ่มหงุดหงิดกับเสียงไร้ร่าง จึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าก้าวออกมาจากด้านหลังของชุน เขากำสองหมัดเหยียดแนบลำตัว

“แน่จริงก็ออกมาสิ กลัวเหรอไง หรือว่ากลัวจนหางจุกตูด”

คิ้วตรงขมวดเข้าหากัน ลินจิแผดเสียงดังจนร่างสะเทือน แล้วกัดฟันกรอด

“ฮะฮะฮ่า แทนที่จะมาสู้กับข้า เจ้ารีบไปดูในสุสานก่อนเถอะ”

เสียงก้องของอุรามิค่อย ๆ ดังแผ่วลงราวกับที่มาของเสียงค่อย ๆ เคลื่อนตัวห่างออกไป จากนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวจากภายในสุสาน

ชุนและลินจิรู้ดีว่ายืนอยู่กับที่ก็เปล่าประโยชน์จึงหันหน้ามองกันก่อนพยักหน้า จากนั้นก็รีบวิ่งไปยังสุสานทันที

ขณะที่ทั้งสองวิ่งอยู่นั้น ไอพิษก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์เบื้องหน้าขุ่นมัวหมองหม่น ลินจิรับรู้ถึงเขตอาคมที่แตกร้าวจนอ่อนกำลังลงจึงหยุดชะงักกลางคัน

ทว่า… ชุนกลับวิ่งเข้าไปอย่างไม่รีรอ

“คุณชู๊น เดี๋ยวสิ!”

แม้จะตะโกนเรียก แต่แผ่นหลังเบื้องหน้าก็ค่อย ๆ หายไปในกลุ่มควัน วินาทีนั้นฝ่ามือทั้งสองของลินจิก็สว่างวาบขึ้นมา ก่อนจะดับลง

“เอ๊ะ!”

ลินจิสัมผัสถึงพลังที่ผิดปกติจึงยกฝ่ามือของตนมาสำรวจ จากนั้นแสงสว่างก็วาบขึ้นมาอีกครั้ง

“อ๊ะ!”

ดวงตากะพริบถี่สองครั้งอย่างสงสัย

…หมายความว่าให้เราใช้ทักษะ ‘God Light’ อย่างนั้นเหรอ

แม้จะไม่ได้คำตอบ แต่ลินจิก็อยากลองเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองดู

[God Light เริ่มทำงาน]

เมื่อเหยียดแขนทั้งสองออกไปแล้วแบมือ ละอองแสงก็ลอยออกจากฝ่ามือเรียวเล็กอย่างเชื่องช้า ก่อนจะรวมตัวกันเป็นทรงกลมอยู่เบื้องหน้า จากนั้นดวงแสงก็แผ่รังสีเจิดจ้าชำระล้างไอพิษทั่วบริเวณ ก่อนจะวูบดับลง

ลินจิปล่อยแขนลงแล้วกวาดสายตา ยกมือขึ้นมาดูพลางกะพริบตาอย่างประหลาดใจ เขาไม่เคยรู้ว่าทักษะ ‘God Light’ จะสามารถใช้ประโยชน์ได้เช่นนี้

บริเวณโดยรอบชัดเจนขึ้นเนื่องจากไอพิษได้หายไป ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยวเฉาตายจากไอพิษเป็นวงกว้าง เบื้องหน้าปรากฏรูปปั้นเสือสีขาวลายดำขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน ถัดไปมีหินทรงสี่เหลี่ยมมหึมาแยกตัวออกจากกันเป็นสองท่อน ซึ่งมีโพรงประหลาดลึกเข้าไปคล้ายถ้ำอยู่ระหว่างกลาง

ลินจิเห็นแผ่นหลังของชุนกำลังวิ่งอยู่ไกล ๆ จึงรีบตามไปทันที

เมื่อถึงหน้าโพรงที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ชุนก็หยุดฝีเท้ายืนสังเกตอยู่พักหนึ่ง ส่วนลินจิก็ตะโกนเรียกจากด้านหลังพลางวิ่งตามมา

“รอ…ผมด้วยสิ!”

ได้ยินเสียงเรียกปนหอบของลินจิแว่วมา แต่ชุนก็ไม่ได้หันไป ยืนจับคางย่นคิ้วเงยมองรูปปั้นเสือสลับกับโพรงถ้ำที่ปรากฏระหว่างหินสี่เหลี่ยมคล้ายประตูอย่างสงสัย

“แฮ่ก ๆ”

ลินจิมาถึงก็งอตัวหอบเสียงดัง คว้าผ้าคลุมสีดำด้านหลังของชุนเอาไว้ ยังไม่ทันได้พักหายใจ ภายในโพรงมืดก็พลันสว่างวาบขึ้นมาด้วยแสงสีแดง

เมื่อรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ ดวงตาของทั้งสองก็จับจ้องไปยังโพรงถ้ำที่อยู่ระหว่างกลางของหินสี่เหลี่ยม

ทันใดนั้นกระแสพลังบางอย่างก็ผลักดันฝุ่นผงออกมาจากภายใน มีพายุหมุนสีมรกตโหมกระหน่ำเป็นสายพุ่งออกมาสู่ด้านนอก พริบตานั้นร่างของทั้งสองก็กระเด็นแยกกันไปคนละฝั่ง

“แอ็ก!...”

พายุหมุนสีมรกตพลันสงบลง

จังหวะนั้นเองคลื่นพลังที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนพลันระเบิดขึ้น พวกเขาเห็นบางสิ่งสีแดงปนเขียวขยับวูบไหวสลัวอยู่ตรงหน้า มวลพลังซึ่งแตกต่างกับพลังของปีศาจอย่างเห็นได้ชัด

ชุนกับลินจิขนลุกซู่

พลังมหาศาลนี้คืออะไร ราวกับ…

ชุนสงสัยสายตาตัวเอง ก่อนบังคับแขนขาที่แข็งทื่อให้ขยับลุกขึ้นได้ในที่สุด ส่วนลินจิก็อ้าปาก มองภาพตรงหน้าจนตาค้าง

พอกระแสพลังสีเขียวปนแดงสลัวตรงหน้าวูบดับลง ก็ปรากฏบุรุษร่างสูงบนหลังมาสีขาวซึ่งมีเพลิงลุกโชติช่วงอยู่ที่เกือกทั้งสี่ข้าง ดวงตาสีแดง บริเวณหลังคอมีเพลิงลุกไหวราวกับขนไฟที่ไหม้ตลอดเวลา

ส่วนบุรุษที่นั่งบนหลังม้า หากคำนวณจากสายตา คงอายุไม่เกินยี่สิบปี นัยน์ตาของเขาเป็นสีเขียวมรกต ผมสั้นตั้งสีน้ำตาล บนแก้มขวามีรอยรูปกุญแจสีขาว พันผ้าคลุมสีน้ำตาลไว้ตรงไหล่ หน้าท้องเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม

ต่ำลงมาสวมผ้าคลุมคล้ายเกราะหนังสีน้ำตาล มีใบไม้ซึ่งมีรูปกุญแจสีขาวเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางร้อยคล้ายสร้อยคล้องอยู่กับเกราะตรงเอว ตรงแขนซ้ายมีรอยสักสีทองรูปใบไม้ กางเกงขายาวที่สวมเป็นสีเขียวเข้ม สนับแข้งสีเดียวกับเกราะปิดถึงตาตุ่ม

เมื่อลินจิได้สติจึงหุบปากแล้วใช้ทักษะ ‘หยั่งรู้’

[‘หยั่งรู้’ เริ่มทำงาน]

[‘คิกิ’ เทพ เพศชาย]

“เทพงั้นเหรอ…”

ลินจิกล่าวมาลอย ๆ อย่างประหลาดใจ

ชุนได้ยินเช่นนั้นก็หายใจกระตุกหนึ่งครั้ง พลันเคลื่อนฝ่ามือที่ชุ่มด้วยเหงื่อสัมผัสกับด้ามดาบตามสัญชาตญาณ วิเคราะห์ว่า เทพตนนี้มีพลังแก่กล้ายิ่งนัก แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ส่วนม้าขาเพลิงตนนั้น...

ตอนนั้นเองลินจิก็ใช้ทักษะหยั่งรู้ส่องดูไปด้วย

[‘เพกัส’ สัตว์อสูร เพศผู้]

นั่นมัน…

“เพกัส!”

ชุนกับลินจิเอ่ยออกมาพร้อมกัน

พลันนั้นเทพบุตรคิกิก็ควบเพกัสลอยขึ้นฟ้า ลินจิรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงรีบลุกขึ้นวิ่งไปหาชุนทันที

เมื่อทั้งสองเงยหน้ามองขึ้นไปมอง ก็พบดวงตาสีมรกตของเทพบุตรคิกิที่จ้องเขม็งอย่างเหี้ยมเกรียม

“เทพเจ้าผู้สร้างโลกงั้นเหรอ ข้าคิดว่าเจ้าจะน่าดูกว่านี้ซะอีก”

…หน็อย ลินจิกัดฟันกรอด แม้ตนจะคิดว่าเทพตนนี้มีใบหน้าและรูปร่างที่หล่อเหลา แต่เขาก็รู้สึกไม่ถูกโฉลกตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น

ลินจิก้าวมาด้านหน้าอย่างห้าวหาญ อันที่จริงเขาแค่โกรธที่โดนพูดจาไม่ดีใส่ จึงแผดเสียงโต้ตอบบุรุษบนฟ้าว่า…

“จะน่าดูหรือไม่น่าดูก็เรื่องของผม เพกัสเป็นของเปี๊ยกโกะ เปี๊ยกโกะเป็นสามีของท่านโมโมะ ส่วนชุนก็คือลูกศิษย์ของโมโมะ ดังนั้นเพกัสต้องอยู่ในการดูแลของพวกเรา”

“นี่เจ้า!”

ชุนเห็นลินจิท้าทายตัวอันตรายจึงดึงคอเสื้อกระชากมาด้านหลัง

แม้ชุนจะรู้ว่าลินจิสามารถแปลงกายเป็นเทพจิ้งจอกสวรรค์ซึ่งมีพลังมหาศาลได้ แต่การยั่วยุให้ปะทะกันย่อมไม่ส่งผลดีอย่างแน่นอน ในเมื่ออีกฝ่ายคือเทพ แถมยังขี่อสูรเพกัสในตำนาน เช่นนั้นแล้วคงยากที่จะต่อกร

“หึหึ”

เทพบุตรคิกิยิ้มมุมปากจากเบื้องบน ก่อนจะกล่าวตอบว่า…

“เทพเจ้าเอ๋ย อยากได้อสูรตนนี้มากใช่ไหม งั้นก็เอาไปเลยแล้วกัน!”

ร่างสูงของเทพบุตรคิกิก็กระโดดลงจากหลังของเพกัส จากนั้นก็แผดเสียงดังกลางอากาศอีกครั้งว่า…

“เพกัส พาร่างของเทพเจ้าสร้างโลกไปซะ!”

สิ้นสุดเสียงทุ้มดังกังวาน ดวงตาของเพกัสก็ลุกวาวดั่งเปลวเพลิง ร่างม้าขนาดยาวกว่าห้าเมตร สูงราวสองเมตร พุ่งทะยานแหวกอากาศตรงมาทางลินจิ เปลวเพลิงลุกโชติช่วงท่วมเกือกม้าทั้งสี่ ขนเพลิงบริเวณหลังคอลู่ปลิวตามสายลม

ลินจิเบิกตากว้าง อ้าปากพยายามร้องเพราะตกใจ ทว่าก็ไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมา

“เจ้าหนู!”

เสียงของชุนดังขึ้น น้ำเสียงดุดันเรียกสติของลินจิกลับมาทันที ชุนคงมองออกว่าลำพังลินจิในร่างนี้คงไม่อาจต่อกรกับเพกัสได้

เสี้ยววินาทีนั้นร่างของลินจิก็หายวับภายในพริบตา เห็นเพียงเส้นแสงสีแดงพุ่งตรงขึ้นฟ้าเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น

ทว่าตอนนั้นฝ่าเท้าซึ่งล้อมด้วยพายุสีมรกตขนาดย่อมก็พุ่งเข้าหาชุนจากด้านบน พร้อมกับเสียงตะคอกที่แฝงจิตสังหารดังกึกก้อง

“มัวมองอะไรอยู่!”

ฝ่าเท้าล้อมพายุจ่อตรงหน้า ดวงตาวาวโรจน์เผยความเป็นศัตรูปรากฏอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อลินจิไม่อยู่เขตอาคมเทพเจ้าสีทองก็วูบดับไป

ชุนรีบตั้งท่าร่ายเวทวางดาบเป็นแนวนอน จากนั้นก็ยื่นมืออีกข้างไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

“เวทดินป้องกัน!”

กำแพงดินโผล่ขึ้นมาขวางฝ่าเท้าของเทพบุตรคิกิทันที ทว่าฝ่าเท้ากลับทำลายกำแพงดินจนแตกกระจายไม่เป็นชิ้นดี จังหวะนั้นชุนก็รีบบริกรรมคาถาเวทอีกบท

“เวทเพลิงป้องกัน!”

ดาวห้าแฉกส่องประกายผุดขึ้นบนพื้น เสาเพลิงเข้าโอบล้อมร่างของชุนซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง

ทว่าลมหมุนที่ข้อเท้าของเทพบุตรคิกิก็พุ่งแหวกทะลุเสาเพลิงป้องกัน ร่างของเขาชุนปะทะกับพายุหมุนสีมรกตทันที ก่อนจะกระเด็นปลิวขนานพื้นตัวลอยออกไปไกลหลายเมตร

“อั่ก…”

ชุนกระอักเลือด เสาเพลิงหายวับไปทันตา

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด