ตอนที่ 21 เทพบุตรคิกิ และ เพกัส
ตอนที่ 21 เทพบุตรคิกิ และ เพกัส
“อย่าเพิ่ง!”
ชุนหยุดชะงักกางแขนกั้นอยู่เบื้องหน้า ลินจิซึ่งกำลังเดินตามมาจึงต้องหยุดชะงักจนเกือบชนบั้นท้ายเข้าให้ ก่อนจะเงยหน้าถามอย่างสงสัย
“อ๊ะ! อะไรเหรอครับ”
“ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย”
ว่าแล้วชุนก็กลอกตามองไปมา ขยับปลายเท้ากางขาออกเล็กน้อยพร้อมย่อเข่าลง อีกมือก็จับด้ามดาบด้วยท่าทีเฝ้าระวัง ส่วนลินจิก็กำมือขวาทาบอกอย่างตกใจในท่าที
เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกงั้นเหรอ ลินจิคิดในใจ
เสี้ยววินาทีนั้นเบื้องหน้าก็มีบางอย่างกำลังพุ่งแหวกหมอกสีเทาเข้ามา ชุนซึ่งเตรียมตัวอยู่แล้วจึงดึง ‘ดาบกระดูกเทพ’ ฟาดฟันทันที
‘ดาบกระดูกเทพ’ คือดาบประจำตระกูล ‘มาซาโตะ’ ซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษมายาวนาน เจ้าของคนก่อนหน้านี้คือ ‘มาซาโตะ เคโงะ’ บิดาของ ’มาซาโตะ ชุน’ ซึ่งทิ้งดาบเล่มนี้เอาไว้ ก่อนจะหายสาบสูญไปอย่างปริศนาตั้งแต่ชุนยังอยู่ในท้องของมารดา
เมื่อคมดาบฟันฉับ แขนปีศาจขาซีดก็หล่นลงสู่พื้นเบื้องหน้าดังตุบ…
ลินจิร้อง “ว๊าก” ตกใจก่อนปิดปากดังอุบ ส่วนชุนก็ชุนกระชับดาบแน่นแล้วทำมุมเฉียงชี้ลงพื้น แผดเสียงว่า…
“อุรามิ เจ้าใช่มั้ย!”
“หึหึหึ”
เสียงหัวเราะเยือกเย็นลอยมาจากบริเวณใกล้ ๆ อย่างไม่สามารถจับทิศทางของเสียงได้
ขณะที่ทั้งสองมองหาที่มาของเสียงอยู่นั้น แขนมารที่ถูกฟันขาดบนพื้นก็ปล่อยไอพิษสีเทาออกมาก่อนจะเพิ่มปริมาณจนเป็นสีดำ ชุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบกระโดดถอยหลังยื่นมือคว้าคอเสื้อลินจิถอยออกห่างทันที
สิ่งที่ปล่อยออกมาจากแขนคือ ‘ไอพิษแห่งหุบเขารกกะ’ ซึ่งอุรามิได้ดูดกลืนเข้าไปในโพลงปีศาจของตน จนตอนนี้เขาสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างอิสรเสรี
“อ๊ะ…”
พอชุนปล่อยคอเสื้อ ลินจิก็ร้องเบา ๆ พลางกำมือทาบอกแล้วมองซ้ายมองขวา จู่ ๆ ร่างราง ๆ ก็ลอยโผล่ออกมาจากหมอกทึบด้านหลัง
“อ๊า…”
เมื่อปรากฏร่างปริศนาอย่างไร้ซึ่งที่มา ก็ปรากฏร่างผอมสูงสามศอกครึ่งสวมชุดคล้ายชุนทว่าเป็นสีดำ เรือนผมสีทองดูอ่อนนุ่ม นัยน์ตาสีฟ้าที่เคยใสกระจ่างถูกไอพิษบดบังจนหมองหม่น ใบหน้าขาวซีดราวกับไม่ใช่คน ปลายจมูกเรียวแหลมมีสันสูงเล็กน้อยแต่ก็เด่นเตะตา ปากชมพูยกยิ้มอย่างเยือกเย็นเป็นการทักทาย
“อุรามิ!”
ลินจิเปิดปากเบิกตากว้าง เมื่ออุรามิก้าวขาเข้ามาหาหนึ่งก้าว เขาก็ตะโกนว่า “หยุดนะ!” พร้อมแบบมือเหยียดสองแขนออกไป จากนั้นก็ใช้พลังแสงศักดิ์สิทธิ์ ‘God Light’
ละอองแสงระยิบระยับดูไม่มีพิษภัยลอยออกจากฝ่ามืออย่างเชื่องช้าราวกับหิ่งห้อยบิน
“หน็อย..”
ชุนขบกราม สบถออกมาพร้อมตวัดดาบ จังหวะนั้นตัวดาบของเขาก็เปล่งแสงสีแดง เวทเพลิงที่เกิดจากแรงฟันพุ่งแหวกอากาศราวเสี้ยวพระจันทร์ตัดร่างของอุรามิทันที
จากนั้นกายเนื้อของอุรามิก็ถูกแผดเผาหลอมละลายเละสู่พื้นราวของเหลว ส่วนละอองแสงศักดิ์สิทธิ์ของลินจิก็ลอยวนไปเวียนมาอย่างไร้ทิศทางก่อนจะวูบดับไป ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรในการจู่โจมครั้งนี้เลย
เสี้ยววินาทีนั้นเศษซากของอุรามิที่กองเละอยู่บนพื้นก็ระเหยออกมาเป็นไอพิษ ลินจิและชุนรู้สึกถึงอันตรายจึงรีบถอยออกห่าง
“คุณชู๊น!”
ลินจิเรียกพลางวิ่งเข้าไปหลบอยู่ด้านหลัง กำผ้าคลุมของชุนไว้แน่น
จู่ ๆ เสียงหัวเราะ “หึหึหึ” ของอุรามิดังก้องขึ้นมาอย่างจับทิศทางไม่ได้
“ออกมานะอุรามิ!”
ชุนตะโกน บิดข้อมือเตรียมจู่โจมพร้อมกลอกตาไปมาหาตัวอุรามิ
“ฮะฮะฮ่า จะออกมาได้ยังไงเล่า พวกเจ้าเล่นเป่าร่างเทียมของข้าจนเละซะขนาดนี้ ไม่ค่อยใช้สมองกันเลยนะ”
เสียงของอุรามิเป็นเสียงของ ‘เอวิน’ คนที่ชุนคุ้นเคยดี แต่ตอนนี้เขาก็ไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกนึกคิดและความทรงจำของเอวินยังคงเดิมหรือเปล่า เมื่อความสงสัยแล่นเข้ามา ชุนก็เปิดปาก
“เอวิน นี่เจ้า! เจ้าคิดจะทำอะไร”
ลินจิเคยได้ยินเรื่องของ ’เอวิน’ มาบ้าง ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าคนคนนั้นมีความสัมพันธ์กับชุนระดับไหน ถึงแม้จะอยากรู้ แต่ลินจิก็ทราบดีว่า …ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้
“ฮะฮะฮ่า เอวินเหรอ เจ้ามนุษย์ที่เต็มไปด้วยความริษยาและเคียดแค้นคนนั้นนั่นเหรอ พลังของมันน่าสนใจยิ่งนัก ข้าก็แค่ยืมพลังและจิตใจส่วนหนึ่งของมันเท่านั้นเอง”
อุรามิพูดเสียงก้องทั่วบริเวณ
ลินจิเริ่มหงุดหงิดกับเสียงไร้ร่าง จึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าก้าวออกมาจากด้านหลังของชุน เขากำสองหมัดเหยียดแนบลำตัว
“แน่จริงก็ออกมาสิ กลัวเหรอไง หรือว่ากลัวจนหางจุกตูด”
คิ้วตรงขมวดเข้าหากัน ลินจิแผดเสียงดังจนร่างสะเทือน แล้วกัดฟันกรอด
“ฮะฮะฮ่า แทนที่จะมาสู้กับข้า เจ้ารีบไปดูในสุสานก่อนเถอะ”
เสียงก้องของอุรามิค่อย ๆ ดังแผ่วลงราวกับที่มาของเสียงค่อย ๆ เคลื่อนตัวห่างออกไป จากนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวจากภายในสุสาน
ชุนและลินจิรู้ดีว่ายืนอยู่กับที่ก็เปล่าประโยชน์จึงหันหน้ามองกันก่อนพยักหน้า จากนั้นก็รีบวิ่งไปยังสุสานทันที
ขณะที่ทั้งสองวิ่งอยู่นั้น ไอพิษก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์เบื้องหน้าขุ่นมัวหมองหม่น ลินจิรับรู้ถึงเขตอาคมที่แตกร้าวจนอ่อนกำลังลงจึงหยุดชะงักกลางคัน
ทว่า… ชุนกลับวิ่งเข้าไปอย่างไม่รีรอ
“คุณชู๊น เดี๋ยวสิ!”
แม้จะตะโกนเรียก แต่แผ่นหลังเบื้องหน้าก็ค่อย ๆ หายไปในกลุ่มควัน วินาทีนั้นฝ่ามือทั้งสองของลินจิก็สว่างวาบขึ้นมา ก่อนจะดับลง
“เอ๊ะ!”
ลินจิสัมผัสถึงพลังที่ผิดปกติจึงยกฝ่ามือของตนมาสำรวจ จากนั้นแสงสว่างก็วาบขึ้นมาอีกครั้ง
“อ๊ะ!”
ดวงตากะพริบถี่สองครั้งอย่างสงสัย
…หมายความว่าให้เราใช้ทักษะ ‘God Light’ อย่างนั้นเหรอ
แม้จะไม่ได้คำตอบ แต่ลินจิก็อยากลองเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองดู
[God Light เริ่มทำงาน]
เมื่อเหยียดแขนทั้งสองออกไปแล้วแบมือ ละอองแสงก็ลอยออกจากฝ่ามือเรียวเล็กอย่างเชื่องช้า ก่อนจะรวมตัวกันเป็นทรงกลมอยู่เบื้องหน้า จากนั้นดวงแสงก็แผ่รังสีเจิดจ้าชำระล้างไอพิษทั่วบริเวณ ก่อนจะวูบดับลง
ลินจิปล่อยแขนลงแล้วกวาดสายตา ยกมือขึ้นมาดูพลางกะพริบตาอย่างประหลาดใจ เขาไม่เคยรู้ว่าทักษะ ‘God Light’ จะสามารถใช้ประโยชน์ได้เช่นนี้
บริเวณโดยรอบชัดเจนขึ้นเนื่องจากไอพิษได้หายไป ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยวเฉาตายจากไอพิษเป็นวงกว้าง เบื้องหน้าปรากฏรูปปั้นเสือสีขาวลายดำขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน ถัดไปมีหินทรงสี่เหลี่ยมมหึมาแยกตัวออกจากกันเป็นสองท่อน ซึ่งมีโพรงประหลาดลึกเข้าไปคล้ายถ้ำอยู่ระหว่างกลาง
ลินจิเห็นแผ่นหลังของชุนกำลังวิ่งอยู่ไกล ๆ จึงรีบตามไปทันที
เมื่อถึงหน้าโพรงที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ชุนก็หยุดฝีเท้ายืนสังเกตอยู่พักหนึ่ง ส่วนลินจิก็ตะโกนเรียกจากด้านหลังพลางวิ่งตามมา
“รอ…ผมด้วยสิ!”
ได้ยินเสียงเรียกปนหอบของลินจิแว่วมา แต่ชุนก็ไม่ได้หันไป ยืนจับคางย่นคิ้วเงยมองรูปปั้นเสือสลับกับโพรงถ้ำที่ปรากฏระหว่างหินสี่เหลี่ยมคล้ายประตูอย่างสงสัย
“แฮ่ก ๆ”
ลินจิมาถึงก็งอตัวหอบเสียงดัง คว้าผ้าคลุมสีดำด้านหลังของชุนเอาไว้ ยังไม่ทันได้พักหายใจ ภายในโพรงมืดก็พลันสว่างวาบขึ้นมาด้วยแสงสีแดง
เมื่อรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ ดวงตาของทั้งสองก็จับจ้องไปยังโพรงถ้ำที่อยู่ระหว่างกลางของหินสี่เหลี่ยม
ทันใดนั้นกระแสพลังบางอย่างก็ผลักดันฝุ่นผงออกมาจากภายใน มีพายุหมุนสีมรกตโหมกระหน่ำเป็นสายพุ่งออกมาสู่ด้านนอก พริบตานั้นร่างของทั้งสองก็กระเด็นแยกกันไปคนละฝั่ง
“แอ็ก!...”
พายุหมุนสีมรกตพลันสงบลง
จังหวะนั้นเองคลื่นพลังที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนพลันระเบิดขึ้น พวกเขาเห็นบางสิ่งสีแดงปนเขียวขยับวูบไหวสลัวอยู่ตรงหน้า มวลพลังซึ่งแตกต่างกับพลังของปีศาจอย่างเห็นได้ชัด
ชุนกับลินจิขนลุกซู่
พลังมหาศาลนี้คืออะไร ราวกับ…
ชุนสงสัยสายตาตัวเอง ก่อนบังคับแขนขาที่แข็งทื่อให้ขยับลุกขึ้นได้ในที่สุด ส่วนลินจิก็อ้าปาก มองภาพตรงหน้าจนตาค้าง
พอกระแสพลังสีเขียวปนแดงสลัวตรงหน้าวูบดับลง ก็ปรากฏบุรุษร่างสูงบนหลังมาสีขาวซึ่งมีเพลิงลุกโชติช่วงอยู่ที่เกือกทั้งสี่ข้าง ดวงตาสีแดง บริเวณหลังคอมีเพลิงลุกไหวราวกับขนไฟที่ไหม้ตลอดเวลา
ส่วนบุรุษที่นั่งบนหลังม้า หากคำนวณจากสายตา คงอายุไม่เกินยี่สิบปี นัยน์ตาของเขาเป็นสีเขียวมรกต ผมสั้นตั้งสีน้ำตาล บนแก้มขวามีรอยรูปกุญแจสีขาว พันผ้าคลุมสีน้ำตาลไว้ตรงไหล่ หน้าท้องเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม
ต่ำลงมาสวมผ้าคลุมคล้ายเกราะหนังสีน้ำตาล มีใบไม้ซึ่งมีรูปกุญแจสีขาวเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางร้อยคล้ายสร้อยคล้องอยู่กับเกราะตรงเอว ตรงแขนซ้ายมีรอยสักสีทองรูปใบไม้ กางเกงขายาวที่สวมเป็นสีเขียวเข้ม สนับแข้งสีเดียวกับเกราะปิดถึงตาตุ่ม
เมื่อลินจิได้สติจึงหุบปากแล้วใช้ทักษะ ‘หยั่งรู้’
[‘หยั่งรู้’ เริ่มทำงาน]
[‘คิกิ’ เทพ เพศชาย]
“เทพงั้นเหรอ…”
ลินจิกล่าวมาลอย ๆ อย่างประหลาดใจ
ชุนได้ยินเช่นนั้นก็หายใจกระตุกหนึ่งครั้ง พลันเคลื่อนฝ่ามือที่ชุ่มด้วยเหงื่อสัมผัสกับด้ามดาบตามสัญชาตญาณ วิเคราะห์ว่า เทพตนนี้มีพลังแก่กล้ายิ่งนัก แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ส่วนม้าขาเพลิงตนนั้น...
ตอนนั้นเองลินจิก็ใช้ทักษะหยั่งรู้ส่องดูไปด้วย
[‘เพกัส’ สัตว์อสูร เพศผู้]
นั่นมัน…
“เพกัส!”
ชุนกับลินจิเอ่ยออกมาพร้อมกัน
พลันนั้นเทพบุตรคิกิก็ควบเพกัสลอยขึ้นฟ้า ลินจิรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงรีบลุกขึ้นวิ่งไปหาชุนทันที
เมื่อทั้งสองเงยหน้ามองขึ้นไปมอง ก็พบดวงตาสีมรกตของเทพบุตรคิกิที่จ้องเขม็งอย่างเหี้ยมเกรียม
“เทพเจ้าผู้สร้างโลกงั้นเหรอ ข้าคิดว่าเจ้าจะน่าดูกว่านี้ซะอีก”
…หน็อย ลินจิกัดฟันกรอด แม้ตนจะคิดว่าเทพตนนี้มีใบหน้าและรูปร่างที่หล่อเหลา แต่เขาก็รู้สึกไม่ถูกโฉลกตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ลินจิก้าวมาด้านหน้าอย่างห้าวหาญ อันที่จริงเขาแค่โกรธที่โดนพูดจาไม่ดีใส่ จึงแผดเสียงโต้ตอบบุรุษบนฟ้าว่า…
“จะน่าดูหรือไม่น่าดูก็เรื่องของผม เพกัสเป็นของเปี๊ยกโกะ เปี๊ยกโกะเป็นสามีของท่านโมโมะ ส่วนชุนก็คือลูกศิษย์ของโมโมะ ดังนั้นเพกัสต้องอยู่ในการดูแลของพวกเรา”
“นี่เจ้า!”
ชุนเห็นลินจิท้าทายตัวอันตรายจึงดึงคอเสื้อกระชากมาด้านหลัง
แม้ชุนจะรู้ว่าลินจิสามารถแปลงกายเป็นเทพจิ้งจอกสวรรค์ซึ่งมีพลังมหาศาลได้ แต่การยั่วยุให้ปะทะกันย่อมไม่ส่งผลดีอย่างแน่นอน ในเมื่ออีกฝ่ายคือเทพ แถมยังขี่อสูรเพกัสในตำนาน เช่นนั้นแล้วคงยากที่จะต่อกร
“หึหึ”
เทพบุตรคิกิยิ้มมุมปากจากเบื้องบน ก่อนจะกล่าวตอบว่า…
“เทพเจ้าเอ๋ย อยากได้อสูรตนนี้มากใช่ไหม งั้นก็เอาไปเลยแล้วกัน!”
ร่างสูงของเทพบุตรคิกิก็กระโดดลงจากหลังของเพกัส จากนั้นก็แผดเสียงดังกลางอากาศอีกครั้งว่า…
“เพกัส พาร่างของเทพเจ้าสร้างโลกไปซะ!”
สิ้นสุดเสียงทุ้มดังกังวาน ดวงตาของเพกัสก็ลุกวาวดั่งเปลวเพลิง ร่างม้าขนาดยาวกว่าห้าเมตร สูงราวสองเมตร พุ่งทะยานแหวกอากาศตรงมาทางลินจิ เปลวเพลิงลุกโชติช่วงท่วมเกือกม้าทั้งสี่ ขนเพลิงบริเวณหลังคอลู่ปลิวตามสายลม
ลินจิเบิกตากว้าง อ้าปากพยายามร้องเพราะตกใจ ทว่าก็ไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมา
“เจ้าหนู!”
เสียงของชุนดังขึ้น น้ำเสียงดุดันเรียกสติของลินจิกลับมาทันที ชุนคงมองออกว่าลำพังลินจิในร่างนี้คงไม่อาจต่อกรกับเพกัสได้
เสี้ยววินาทีนั้นร่างของลินจิก็หายวับภายในพริบตา เห็นเพียงเส้นแสงสีแดงพุ่งตรงขึ้นฟ้าเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น
ทว่าตอนนั้นฝ่าเท้าซึ่งล้อมด้วยพายุสีมรกตขนาดย่อมก็พุ่งเข้าหาชุนจากด้านบน พร้อมกับเสียงตะคอกที่แฝงจิตสังหารดังกึกก้อง
“มัวมองอะไรอยู่!”
ฝ่าเท้าล้อมพายุจ่อตรงหน้า ดวงตาวาวโรจน์เผยความเป็นศัตรูปรากฏอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อลินจิไม่อยู่เขตอาคมเทพเจ้าสีทองก็วูบดับไป
ชุนรีบตั้งท่าร่ายเวทวางดาบเป็นแนวนอน จากนั้นก็ยื่นมืออีกข้างไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“เวทดินป้องกัน!”
กำแพงดินโผล่ขึ้นมาขวางฝ่าเท้าของเทพบุตรคิกิทันที ทว่าฝ่าเท้ากลับทำลายกำแพงดินจนแตกกระจายไม่เป็นชิ้นดี จังหวะนั้นชุนก็รีบบริกรรมคาถาเวทอีกบท
“เวทเพลิงป้องกัน!”
ดาวห้าแฉกส่องประกายผุดขึ้นบนพื้น เสาเพลิงเข้าโอบล้อมร่างของชุนซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง
ทว่าลมหมุนที่ข้อเท้าของเทพบุตรคิกิก็พุ่งแหวกทะลุเสาเพลิงป้องกัน ร่างของเขาชุนปะทะกับพายุหมุนสีมรกตทันที ก่อนจะกระเด็นปลิวขนานพื้นตัวลอยออกไปไกลหลายเมตร
“อั่ก…”
ชุนกระอักเลือด เสาเพลิงหายวับไปทันตา