ตอนที่แล้วบทที่ 27 การปะทะของสุดยอดพลัง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 29 ผู้พิทักษ์ของฉัน

บทที่ 28 ดอกไม้ที่ถูกปลอมแปลง


บทที่ 28 ดอกไม้ที่ถูกปลอมแปลง

“แอบสงสัยมานานแล้ว” ยังไม่ทันจะได้เริ่มเปิดฉากสู้ต่อ ฟานก็พูดขึ้นมา “เวทหลายต่อหลายบท ไม่ว่าจะมาจากแขนงไหนก็ตาม บางครั้งเจ้าสามารถใช้มันออกมาได้โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำร่ายด้วยซ้ำ”

นี่คือสิ่งที่ฟานเฝ้าสังเกตมาตลอด เพราะต่อให้ไม่รู้จักแม่มดมาก่อนแต่ก็ยังพอมีบันทึกเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขาบันทึกเอาไว้ในหนังสืออยู่บางเล่ม โดยเฉพาะเรื่องของการร่ายเวทมนตร์นั้นยิ่งเป็นจุดสำคัญ บรรดาผู้ใช้เวทมนตร์ทั้งหลายจะเอ่ยคำร่ายในภาษาที่มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจออกมา เพื่อสร้างพลังเหนือธรรมชาติในการมอบผลลัพธ์ให้กับสิ่งต่าง ๆ อีกที

แต่ฟาร์ชูลันคนนี้กลับมีหลายหนที่เธอไม่ได้เอ่ยคำร่ายอะไรเลย เธอสามารถใช้มหาเวทอันร้ายกาจมากมายเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นเอง

“ถ้าให้เดา...ความลับคงจะอยู่ที่การ์ดพวกนั้นสินะ” ฟานตั้งข้อสรุปเรื่องนี้ไว้ที่ตัวการ์ดต่าง ๆ ที่ฟาร์ชูลันมักจะใช้ก่อนปล่อยเวทออกมาเสมอ ซึ่งคำตอบข้อนี้ถึงกับทำให้ฟาร์ชูลันอดกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้

“ช่างสังเกตดีนี่” เธอตอบกลับไป ก่อนจะพลิกการ์ดที่ถืออยู่ในมือให้อีกฝ่ายดูอีกด้านของมัน ภาพตัวอักษรบางอย่างสลักอยู่บนใจกลางของการ์ดแผ่นนั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่ภาษาที่ฟานจะอ่านออกได้แน่ ๆ

“สิ่งนี้คือรูนการ์ด ก็อย่างที่สงสัยนั่นแหละ...ความจริงพวกเราเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ ต่อให้เชี่ยวชาญการใช้คาถามากแค่ไหนก็ยังต้องเอ่ยคำร่ายเพื่อสร้างสมการเวทมนตร์ขึ้นมาก่อนจะใช้งานออกไปอยู่ดี” ฟาร์ชูลันพลิกแผ่นการ์ดไปมาในขณะที่กำลังอธิบาย “พวกเราจึงจำเป็นต้องมีสื่อกลางในการควบคุมสมการเวทมนตร์ เพื่อทำให้ผลลัพธ์การร่ายเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และสร้างเวทมนตร์ที่เสถียรออกมา ซึ่งโดยส่วนมากแล้วมนุษย์ทั่วไปจะรู้จักสื่อกลางของพวกเราในรูปแบบของคฑาหรือไม้เท้า”

“แต่ฉันไม่มีสื่อกลางพวกนั้นหรอก” ฟาร์ชูลันรีบพูดต่อโดยไว “ฉันสร้างรูนการ์ดขึ้นเพื่อตอบสนองการใช้งานและกลบจุดด้อยของการใช้เวทมนตร์ที่บางทีต้องอาศัยระยะเวลานานเกินไป”

โดยส่วนมากแล้วบรรดาพ่อมดแม่มดจะมีสื่อกลางที่ทำให้สามารถควบคุมปริมาณการใช้เวทมนตร์รวมทั้งทำให้เวทมนตร์ที่ใช้ออกมามีความเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งในภาพพื้นฐานโดยรวมตามหลักการจะพบเห็นได้ทั่วไปว่าพวกเขามักจะถือไม้เท้าด้ามใหญ่ คฑาด้ามกลาง หรือไม้กายสิทธิ์ด้ามเล็ก หรือแม้จะเป็นสิ่งอื่นที่มีลักษณะแบบอื่นก็ล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์ใกล้เคียงกัน นั่นก็คือการใช้เพื่อควบคุมและสร้างพลังเวทที่สมเหตุสมผลออกมา

ไม่ใช่ว่าบรรดาพ่อมดแม่มดจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ถ้าขาดสื่อกลางเหล่านี้ไป เพียงแต่ถ้าไม่มีสื่อกลางแล้วล่ะก็จะทำให้พวกเขาไม่สามารถควบคุมพลังเวทมนตร์ที่เกิดจากร่างกายหรือธรรมชาติได้ในสภาวะเสถียรมากกว่า ซึ่งมันอาจเป็นอันตรายต่อทั้งตนเองและผู้อื่น สาเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดการสร้างวัตถุที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางขึ้นมา

แต่ฟาร์ชูลันคือแม่มดประเภทที่ไม่ต้องการสื่อกลาง สิ่งที่เธอต้องการมีเพียงความคล่องแคล่วและสะดวกว่องไวเท่านั้น

“ความสามารถของรูนการ์ดคือการสลักเวทมนตร์เอาไว้ ซึ่งจะสามารถกักเก็บเวทมนตร์เอาไว้ได้ใบละหนึ่งบท” พอเล่ามาถึงตอนนี้ ใบหน้าของฟานเริ่มกระจ่างชัดเกี่ยวกับข้อสงสัยนี้มากขึ้น

“เจ้าบรรจุเวทน้อยใหญ่มากมายลงไปในรูนการ์ดที่สร้างขึ้น ทำให้เวลาใช้งานจริงก็แค่เหวี่ยงการ์ดพวกนี้ออกมาโดยไม่จำเป็นต้องร่ายเวทมนตร์อย่างงั้นสินะ?”

“เกือบถูก ความจริงคือต้องอัดพลังเวทของผู้สร้างเข้าไปที่ตัวการ์ดก่อนถึงจะทำให้เวทมนตร์ที่บรรจุในนั้นสามารถแสดงผลออกมาได้ เพราะถ้าเกิดทำให้กลไกของมันทำงานด้วยเหตุผลที่ว่าแค่เหวี่ยงก็จะดูอันตรายเกินไป ถ้าเกิดฉันโดนฉวยโอกาสแย่งการ์ดไปก็จะไม่แย่เอาเหรอ” คำพูดของฟาร์ชูลันฟังดูมีเหตุผล

รูนการ์ดที่ทำหน้าที่กักเก็บเวทมนตร์ที่บรรจุเอาไว้ได้ใบละหนึ่งบทสามารถกลบจุดอ่อนของผู้ใช้เวทมนตร์ที่มักจะต้องร่ายมนตร์คาถาก่อนใช้งานอยู่เสมอ สิ่งนี้ทำให้ฟาร์ชูลันกลายเป็นแม่มดที่ไร้จุดอ่อนทางการร่ายคาถา ต่อให้เธอต้องเจอกับศัตรูหมู่มากเธอก็แค่อาศัยการใช้งานรูนการ์ดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อทำให้ตัวเองไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็แค่นั้น

แต่จุดอ่อนร้ายแรงของฟาร์ชูลันก็มีอยู่เหมือนกัน ซึ่งจุดอ่อนข้อนี้เธอได้แสดงออกให้เห็นในการแข่งขันรอบที่สองไปแล้ว แม้ว่าเธอจะมีปริมาณพลังเวทมหาศาล พอรวมกับรูนการ์ดเข้าไปยิ่งทำให้ดูไร้เทียมทานก็จริง แต่ทว่า...การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้น ๆ มันสร้างภาระให้กับร่างกายของเธออย่างหนัก เพราะฟาร์ชูลันนั้นเหนื่อยง่ายเป็นพิเศษ เธอไม่ได้มีเรี่ยวแรงมากพอจะทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องใช้แรงได้ต่อเนื่องยาวนานขนาดนั้น และมันก็ไม่มีเวทมนตร์บทไหนที่ทำให้ผู้ใช้หายจากอาการเหนื่อยล้าด้วย

“พอใจรึยังล่ะ บอกไว้ก่อนนะว่าที่เล่าให้ฟังนี่ไม่ได้เกิดประมาทอะไรขึ้นมา แค่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องปกปิดก็แค่นั้น”

“ข้าก็ไม่ได้คิดว่าแค่รู้จักความสามารถของรูนการ์ดอะไรนั่นแล้ว จะทำให้การต่อสู้กับเจ้ามันง่ายขึ้นมาหรอก”

ทั้งสองโต้ตอบกันพอเป็นพิธี เมื่อคุยกันพอแล้วก็ได้เวลาที่การต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ความจริงสาเหตุที่ฟาร์ชูลันเล่าเกี่ยวกับรูนการ์ดให้ฟัง ไม่ใช่เพราะประมาทอย่างที่บอกไปแน่ ๆ เพียงแต่เธอตั้งใจจะถ่วงเวลาให้มากที่สุดเพื่อฟื้นฟูกำลังกายที่เริ่มถูกบั่นทอนไปเรื่อย ๆ อาการเหนื่อยล้าเริ่มปรากฏมาพร้อมกับคราบเหงื่อที่เธอใช้เวทมนตร์ปิดบังเอาไว้

“พลังปราณระดับเจ็ด ลมหายใจอสรพิษ!”

ท่าใหญ่ถูกปล่อยออกมาอย่างรุนแรง ก้อนพิษขนาดใหญ่ราวกับคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าหาร่างเล็กบางของฟาร์ชูลัน เธอซึ่งลอยอยู่บนอากาศเพียงหยิบรูนการ์ดออกมาแล้วขว้างใส่คลื่นพิษเบื้องหน้า พลันนั้นพิษก็ถูกลบล้างหายไปในพริบตา

“รับมือ!” ฟานปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าฟาร์ชูลัน ตั้งท่าเตรียมจะเหวี่ยงดาบจากล่างตวัดขึ้นไปสู่ด้านบนเพื่อกำจัดอีกฝ่าย แต่ด้วยความที่ฟาร์ชูลันร่ายเวทเสริมสมรรถภาพมาไว้ก่อนแล้วจึงทำให้เธอมองเห็นทางดาบของฟานได้ เพราะสติสัมปชัญญะและการตอบสนองก็ไวขึ้นมากเช่นกัน

แต่ถึงแม้จะหลบได้...ก็ยังหลบได้เพียงฉิวเฉียดทุกครั้ง นี่ขนาดร่ายเวทเสริมพลังมาขนาดนี้ เจ้าผู้ชายคนนี้ยังเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเกินมนุษย์มนา แท้จริงแล้วเขาเป็นยอดฝีมือที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดมาตลอดหรือยังไงกัน?

ฟาร์ชูลันกับฟานต่อสู้กันอย่างดุเดือด กินเวลาการแข่งขันไปนานกว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ บรรดาเวทน้อยใหญ่มากมายถูกใช้ออกมาเพื่อเอาชนะฟาน แต่ฟานกลับอึดกว่าที่คาด ไม่ว่าจะโดนเวทน้อยใหญ่เข้าไปกี่บทต่อกี่บทก็ยังสามารถยืนหยัดขึ้นมาได้ทุกครั้ง กลับกันคือฟาร์ชูลันที่หมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง เธอเรียกสมุนรับใช้หลายต่อหลายตัวออกมาเพื่อหวังจะพิชิตฟานให้ได้ แต่ความเป็นจริงคือบรรดาสมุนของเธอไม่มีใครที่สามารถสกัดฟานไว้ได้นานเกินยี่สิบนาทีเลย

ฟานทำลายสมุนรับใช้ของฟาร์ชูลันจนหมดก่อนจะตั้งโฟกัสมาที่เธอคนเดียวเพื่อเตรียมโจมตีอีกครั้ง

 

“เจ้าคิดว่าใครจะชนะเหรอ ซิลเฟร์?” บาลล์ซึ่งอยู่ในห้องรับรองเจ้าตำหนักกล่าวถามซิลเฟร์ที่กำลังชมการต่อสู้ด้านล่างด้วยแววตาที่แฝงความหงุดหงิดเอาไว้

“สำหรับข้านะ ข้าคิดว่าถ้าฟานยังยืนหยัดต่อไปได้อีกสักชั่วโมงล่ะก็ ชัยชนะต้องตกเป็นของเขาแน่ ๆ ส่วนแม่มดคนสวยนั่น...ถ้าเกิดเจ้าฟานเล่นกลวิธีสักนิดน่าจะล่อให้เธอหมดแรงข้าวต้มก่อนจะได้ตัดสินผลแพ้ชนะกันด้วยซ้ำ”

คำวิเคราะห์ของบาลล์ฟังดูมีหลักเหตุผล แต่ซิลเฟร์กลับไม่ได้ฟังที่บาลล์พูดเลย สายตาอันคมกริบจ้องมองดูฟานกับฟาร์ชูลันกำลังห้ำหั่นกัน ความหงุดหงิดจากสาเหตุบางอย่างประดังเข้ามาจนอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นเสียงดังจนมีคนอื่นได้ยิน

ฟาร์เชนซึ่งกำลังนั่งดูอยู่เงียบ ๆ ก็แสดงสีหน้าเหมือนกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เช่นกัน เธอไม่ได้ออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการต่อสู้ที่กำลังดำเนินอยู่ ณ ตอนนี้เลยสักครั้งก็จริง แต่พอได้รู้ข่าวว่าคนใดคนหนึ่งจากทั้งหมดสองคนอาจจะต้องมาประลองเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักไปจากเธอล่ะก็ เธอคงยอมรับมันไม่ได้แน่

สีหน้าของฟาร์เชนไม่ส่อแววพิรุธก็จริง แต่สายตากลับอยู่ไม่นิ่ง เธอมองออกนอกหน้าต่างมาได้สักพักแล้ว ท่าทีเหมือนคนกำลังรออะไรสักอย่างสักอยู่

ซิลเฟร์ที่มองดูการต่อสู้บนสนามอยู่นั้นหลับตาลงเพื่อดับความหงุดหงิดที่อาจจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ เขาหันสายตาไปมองทางที่นั่งของฟลอร์เลน เธอนั่งอยู่ด้วยความสงบนิ่งไม่พูดไม่จากับใคร ดวงตาของซิลเฟร์หรี่เล็กลงเหมือนกำลังระแวงสงสัยในบางอย่าง และคิดว่ามีบางสิ่งไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้

ถึงอย่างไรซะเขาก็ยังคงดูการต่อสู้ที่เกิดขึ้นต่อไปอยู่ดี

 

ฟาร์ชูลันร่ายเวทมนตร์สร้างร่างปลอมออกมาหลายต่อหลายร่าง ทั้งยังลวงให้ฟานต้องตกอยู่ภายใต้มนตร์สะกดของคาถาลวงตา สิ่งที่ทำไปทั้งหมดนี้เพียงเพื่อถ่วงเวลาให้เธอมีเวลาพักหายใจมากขึ้น เนื่องจากอาการเหนื่อยล้าเริ่มทำให้เธอแทบจะก้าวขาไม่ออกแล้ว เสียงหอบหายใจของเธอตอนนี้ถี่รัว การต่อสู้ดำเนินมาจนถึงจุดไคลแม็กซ์แล้วจริง ๆ

ฟานเองก็บาดเจ็บพอตัว แต่ก็ยังไม่ล้มลงไปสักที ฟาร์ชูลันนึกไม่ออกแล้วว่าควรจะเอาชนะเขาด้วยวิธีไหน เธอในตอนนี้ถึงกับทรุดเข่าลงข้างหนึ่งเพราะไม่มีแรงเหลือพอจะยืนด้วยขาทั้งสองข้าง

และแล้วฟานก็ทลายภาพลวงตาของเธอออกมาจนได้ ฟาร์ชูลันเดาะลิ้นไม่พอใจก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน เมื่อพยายามออกแรงฝืนก็ทำให้ขาของเธอสั่นขึ้นมา ด้วยเหตุนั้นเธอจึงใช้เวทมนตร์ลอยตัวเพื่อพยุงร่างของตัวเองไว้บนเวหา ใช้สายตาจับจ้องดูฟานที่ยืนอยู่ด้านล่าง ตามร่างกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยบอบช้ำและคราบเลือดหลายแห่ง

“หมดมุกรึยัง” ฟานถามฟาร์ชูลัน เป็นเพราะมองเห็นเธอเหนื่อยล้ากว่าที่คิดจึงได้จงใจถามออกไปแบบนั้น เหมือนต้องการจะท้าทายให้อีกฝ่ายเกิดความหงุดหงิดขึ้นมา ซึ่งก็ได้ผลตามที่คิด เมื่อได้ยินอีกฝ่ายท้าทายแบบนั้นแล้วก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ทำให้ขาดสติได้

การใช้โทสะเข้าจู่โจมไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ดีเท่าไหร่นัก ฟาร์ชูลันได้เรียนรู้คำตอบข้อนี้แล้วหลังจากที่ต่อสู้กับฟานมาเป็นระยะเวลานานขนาดนี้

แต่ในขณะที่กำลังคิดว่าจะต่อสู้ยังไงต่อไปดี ฟานก็ลดดาบลง เลิกตั้งท่า เพียงยืดตัวขึ้นตรงแล้วมองมาทางฟาร์ชูลันที่กำลังมีสีหน้าประหลาดใจต่อการกระทำนี้ เพราะแม้กระทั่งจิตสังหารที่เปล่งออกมาจนถึงเมื่อครู่ก็หายไปหมดแล้ว

“เจ้าแข็งแกร่งอย่างที่ข้าคิดเอาไว้จริง ๆ”

“หา? จู่ ๆ ก็พูดอะไรของนาย”

“ถ้าเป็นแบบนี้ข้าก็วางใจได้แล้ว” ฟานกล่าวสั้น ๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มที่แฝงความหมายที่ไม่มีใครรู้เอาไว้

แล้วสักพักหนึ่งเขาก็ทำเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำ

“ข้าขอยอมแพ้”

คำพูดสั้น ๆ ที่ทำให้ทุกคนรอบข้างเงียบกริบ

แม้กระทั่งฟาร์ชูลันก็ยังอ้าปากค้างไว้ เพราะสรรหาคำพูดไม่ออก

“ก...เกิดอะไรขึ้น! ผู้เข้าแข่งขันฟานประกาศขอยอมแพ้ออกมาดื้อ ๆ ทั้งที่ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะซะอย่างนั้นแหละครับ!” ผู้บรรยายสดพยายามถอดคำพูดของฟานออกมาหลังจากที่ได้ยินมาเหมือนกับทุก ๆ คนในที่นี้

“ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ สู้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์” กล่าวจบฟานก็หันข้างเดินออกไปที่ทางลงสนามประลองทันที

“เดี๋ยวก่อน! นี่นายคิดอะไรอยู่กันแน่” ฟาร์ชูลันตะโกนรั้งไว้ จริงอยู่ว่าการต่อสู้ยังไม่บรรลุผลแพ้ชนะ แต่ถ้าหากสู้ต่อไปอีกล่ะก็ไม่แน่ว่าคนที่พ่ายแพ้อาจจะเป็นเธอเองก็ได้ เนื่องจากสภาพร่างกายตอนนี้อ่อนล้าจนแทบจะคุมสติไม่อยู่แล้ว กลับกัน ฟานคือคนที่ยังมองไม่เห็นว่ามีอาการเหนื่อยล้าหรือบาดเจ็บจนถึงขั้นที่ทำให้ต่อสู้ต่อไปไม่ไหวเลยสักนิด

ทั้งอย่างนั้นเขากลับขอยอมแพ้...

“ข้าไม่ได้ต้องการชัยชนะ สิ่งที่ข้าต้องการมันได้บรรลุแล้ว นี่น่าจะเป็นผลดีต่อเจ้านะ เก็บแรงไว้สู้กับเจ้าตำหนักซะเถอะ” ฟานโบกมือทั้งที่เดินหันหลังให้ เขาก้าวเท้าออกจากสนามประลองแล้วเดินออกนอกประตูไป ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของคนดูจำนวนมาก ฟาร์ชูลันค่อย ๆ ร่อนตัวลงมา พอเท้าเธอสัมผัสกับพื้นก็ทรุดตัวลงทันที สติแทบจะหลุดลอยออกไปเพราะความเหนื่อยล้าที่ถาโถมเข้ามาหลังจากรับรู้ว่าการต่อสู้กำลังจะจบลงง่าย ๆ แบบนี้

เธอประคองสติของตัวเองไว้ พยายามยันร่างตัวเองขึ้นมา ผู้บรรยายสดรู้สึกจนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ท้ายที่สุดแล้วโชคชะตาก็กลั่นแกล้งเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่การต่อสู้ในรอบก่อนหน้านี้ที่จบลงอย่างรวดเร็ว พอมารอบนี้ก็มีหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันขอยอมแพ้ซะได้ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

แต่ถึงอย่างไร...เขาก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อให้ดีที่สุดอยู่ดี

“ผู้ชนะเลิศได้แก่ผู้เข้าแข่งขันฟาร์ชูลัน!”

เสียงประกาศดังขึ้น มีผู้คนมากมายยอมรับในผลการตัดสิน แต่มีจำนวนมากกว่าที่ไม่ยอมรับว่าการต่อสู้ทั้งหมดนี้กำลังจะจบลงง่าย ๆ ผู้บรรยายสดหันไปหาฟาร์ชูลันก่อนจะเอ่ยถามเธอถึงเรื่องสำคัญที่สุด

“คุณได้รับสิทธิ์ในการท้าชิงตำแหน่งกับเจ้าตำหนักคนใดก็ได้ คุณจะใช้สิทธิ์นั้นกับใครครับ?”

“เจ้าตำหนักอัคคี ฟาร์เชน”

ฟาร์ชูลันตอบแบบไม่ต้องคิด และมีเสียงผู้ชมจำนวนมากฮือฮาขึ้นมาทันใด

ฟาร์เชนซึ่งนั่งอยู่ด้านบนที่นั่งของเจ้าตำหนักเดาะลิ้นไม่พอใจ พลางคิดไปว่านี่มันตรงกับที่คิดเอาไว้เลยไม่ใช่เหรอ

“การต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่คุณพักผ่อนจนหายเหนื่อยและรักษาอาการบาดเจ็บเสร็จแล้ว ขอให้โชคดีครับ” ถึงอย่างไรกติกาการแข่งขันก็ไม่ได้หย่อนยานหรือใจร้ายจนเกินไป แม้การต่อสู้จะเกิดขึ้นในวันนี้ แต่ฟาร์ชูลันก็ยังได้รับสิทธิในการฟื้นฟูความเหนื่อยล้าทางกาย รวมถึงความพร้อมในอีกหลาย ๆ ด้าน

 

โถงทางเดินระหว่างทางเข้าออกสนามประลอง ในขณะนี้มีคนสองคนยืนอยู่ ทั้งคู่จ้องตาสบกันโดยไม่มีใครหลีกสายตาให้ใคร

สองคนที่กล่าวถึงคือฟาน ผู้เดินออกจากลานประลองมาได้ในสภาพที่ยังมีบาดแผลติดอยู่ตามร่างกาย

ส่วนอีกคนกลับเป็นซิลเฟร์ผู้เป็นถึงเจ้าตำหนักวายุ แล้วเขามาทำอะไรที่นี่?

“เจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการประลองครั้งนี้ทำไม หรือแค่อยากเล่นสนุก?” ซิลเฟร์เอ่ยถามชายหนุ่มเบื้องหน้า สีหน้าของฟานดูไม่ยี่หระในการเตรียมคำตอบเลยสักนิด

“ข้าแค่อยากพิสูจน์ว่าพลังเวทมนตร์ร้ายกาจเพียงใด ก็เท่านั้น” ฟานตอบกลับอย่างเรียบง่าย สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด นั่นทำให้ซิลเฟร์รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา

“จุดประสงค์ของเจ้าคือการวัดระดับพลังของแม่มด? ทั้งที่พวกเรามีกฎเหล็กในการห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแข่งขันในทุกกรณี เจ้าก็รู้นี่ ถ้าอยากวัดความสามารถล่ะก็ ค่อยแสดงออกในโอกาสอื่นก็ได้ไม่ใช่รึไง” น้ำเสียงของซิลเฟร์แสดงออกอย่างรุนแรงว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทั้งที่เป็นอย่างนั้นเขาก็ยังไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม

ซิลเฟร์คือผู้ที่รักการต่อสู้อย่างที่สุด การที่ไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันแบบนี้เพราะมีเหตุผลว่าตัวเขาคือเจ้าตำหนัก มันช่างเป็นอะไรที่ชวนให้หงุดหงิดจนเกินกว่าจะหาคำใดมาบรรยายได้ แต่สิ่งที่ฟานทำกลับยิ่งทำให้ซิลเฟร์หงุดหงิดยิ่งกว่า หงุดหงิดจนแทบจะบันดาลโทสะออกมาด้วยการใช้กำลังอยู่แล้ว

แต่เหตุผลบางอย่างช่วยหยุดไม่ให้เขาทำแบบนั้นได้

นั่นก็เพราะว่า...

“เหตุผลของข้าก็มีแค่นั้น” ฟานตอบกลับสั้น ๆ ก่อนจะเดินผ่านตัวซิลเฟร์ไป ชายผิวแทนรีบตะโกนไล่หลังตามมา นัยน์ตาสีเขียวอ่อนยิ่งฉายแววดุดันยิ่งขึ้น

“จะอยู่ในสภาพนั้นไปถึงเมื่อไหร่กัน!”

คำพูดของซิลเฟร์ เหมือนทำให้ฟานพึ่งจะนึกถึงเรื่องนึ้ขึ้นมาได้ ฟานหันกลับไปมองซิลเฟร์เพียงครั้งเดียวราวกับจะตอบรับว่า ‘เข้าใจแล้ว’

แล้วในวินาทีนั้นเอง สายลมรอบข้างฟานก็ค่อย ๆ ขยับไหวอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนแปลงสภาพจนกลายเป็นร่างกายที่เล็กลง โครงหน้าที่เรียวสวยอยู่แล้วพอเจอความเปลี่ยนแปลงเข้าไปยิ่งเรียวเล็กมากขึ้น แววตาเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่สีของนัยน์ตายังคงเดิม ทรวดทรงองเอวของฟานเปลี่ยนสภาพจนกลายเป็นคนอื่น

ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นแทนที่ชายหนุ่มชื่อฟาน ก็คือเจ้าตำหนักเมฆา ฟลอร์เลนนั่นเอง

“ไปก่อนนะ”

กล่าวสั้น ๆ แล้วก็จากซิลเฟร์ไปอย่างเรียบง่าย

ที่แท้ฟานก็คือฟลอร์เลนปลอมตัวมาเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการแข่งขันนั่นเอง ถ้าอย่างนั้นฟลอร์เลนที่นั่งประจำตำแหน่งอยู่บนที่นั่งของเจ้าตำหนักนั่นล่ะ เป็นใครกัน?

คำตอบง่าย ๆ คือฟลอร์เลนคนนั้นเป็นร่างเสมือนจริงที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีต และทำหน้าที่แทนตัวเธอซึ่งคอยส่งสำนึกควบคุมร่างนั้นอยู่ตลอดเวลาจนถ้าไม่สังเกตให้ดีล่ะก็จะไม่มีทางรู้ได้เด็ดขาดว่าไม่ใช่ตัวจริง

นี่ก็คือเหตุผลที่ซิลเฟร์เอาแต่หงุดหงิดมาตลอด แล้วพอมาถามหาคำตอบเขาก็ยังได้รับคำตอบที่ไม่ชวนให้รู้สึกพึงพอใจขึ้นมาสักเท่าไหร่

แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา มวลหมู่เมฆที่สว่างด้วยแสงอาทิตย์บัดนี้พลันถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดบางอย่าง

‘ภัยร้าย’ เคลื่อนตัวมาถึงแล้ว

ลางสังหรณ์ของซิลเฟร์บ่งบอกว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้...

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด