บทที่ 21 : ศรคันใหม่
บทที่ 21 : ศรคันใหม่
.ในบรรยากาศน่าอึดอัดชวนให้ใจหายภายหลังถ้อยคำจากปากของหุ่นสงคราม เด็กหนุ่มอายุย่างสิบเจ็ดเข่าอ่อนหมดเรียวหมดแรงเมื่อรู้ว่าความฝันในฐานะนักผจญภัยของเขามาถึงทางตันแล้วในปีนี้ ด้วยอย่างไรก็คงไม่มีทางผ่านอุปสรรคที่ชื่อว่าการสอบไปได้อย่างแน่นอน เพราะคนที่เขาต้องสู้ด้วยนั้นไม่ใช่นักผจญภัยฝึกหัดแต่เหนือชั้นกว่านั้น ความจริงต้องพูดว่าไม่ใช่คนด้วยซ้ำไป แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หนุ่มน้อยเข่าอ่อน หากแต่เป็นสิ่งที่ฮอรัสเอ่ยขึ้นมาต่างหากเพราะมันหมายถึงอีกฝ่ายจะเอาจริง
ทว่าตอนนั้นเองระหว่างที่หนุ่มน้อยกลืนน้ำลาย แล้วหายใจระรัวพยายามลดความรู้สึกต่างๆ ที่ก่อตัวขึ้นมาในหัวจนเครียดไปหมด พลันเขาก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามือเย็นเฉียบที่สัมผัสลงมาบนไหล่อย่างแผ่วเบา
“ไม่ต้องกลัว ไม่ฆ่าหรอก... ถึงให้ฆ่าได้ก็ไม่ฆ่าหรอ” ฮอรัสว่าพร้อมกับมองมาด้วยใบหน้าเยือกเย็นที่คล้ายจะพยายามลดทอนความตึงเครียดและความน่าหวาดหวั่นลงแล้วเพื่อปลอบใจแต่ไม่สำเร็จ เพราะมันกลายเป็นฟังดูเหมือนนักล่าที่กำลังเหยียดหยามเหยือเสียมากกว่า
หนุ่มน้อยได้เห็นได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ หลุบคออ่อนถอยห่างจากดวงมณีนิลที่จ้องเขม็งเข้ามา แม้จะรู้เจตนาของอีกฝ่าย และยกย่องฮฮรัสเป็นวีรบุรุษ ทว่ามันก็เตือนให้เขานึกถึงสมญาปีศาจที่ทุกคนเรียกขาน
กระนั้นสายตาสีนิลผิดมนุษย์มนาของหุ่นสงครามในตอนนี้ ก็ไม่ได้น่ากลัวเทียบเท่ากับดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ดวงกลมโตแบบเอลฟ์ ที่จิกแข็งมองมา เพราะสายตาคู่นั้นคือสัญญาณความไม่พอใจอย่างรุนแรง
ไม่ว่าด้วยความที่ยังไม่ประสาเรื่องการเข้าสังคมเท่าไหร่นัก หรือเพราะหลงลืมมารยาทที่พ่อแม่สอนอย่างไรก็ตาม สุดท้ายหนุ่มน้อยก็พลั้งปากกล่าววาจาที่ไม่ควรออกมา เพราะต่อให้มันไม่ใช่ข่าวลือการทึกทักความสัมพันธ์ของผู้อื่น โดยเฉพาะที่ไม่ได้สนิทกันก็เป็นเรื่องเสียมารยาท และยิ่งร้ายแรงหากเกินเลยกลายเป็นการส่อเสียดถึงเรื่องใต้สะดือกับเพศแม่ ไม่แปลกที่เอเดลจะโกรธ และแน่นอนว่าไม่มีใครช่วยเขาในเรื่องนี้ได้ เพราะแม้แต่พนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์อีกคนก็เข้าข้างเอเดลเต็มที่
และเป็นนั้นตอนเองที่หุ่นสงครามหัวทึบ ใช้สมองซึ่งหล่อเลี้ยงด้วยสายธารอาเคน่าประมวลเหตุการณ์ที่เกินขึ้นอยู่ชั่วครู่จึงเข้าใจในที่สุดว่าบางอย่างกำลังกวนใจเอเดล และหนุ่มน้อยนั้นคือสาเหตุ ถึงเขาจะไม่เข้าใจรายละเอียดนักก็ตาม
“ขอโทษสิ ถ้าขอโทษคุณเอเดลอาจจะหายโกรธ”
ฮอรัสแนะนำกับหนุ่มน้อยผ่านประสบการณ์และสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากเอลีอา ด้วยเสียงเรียบเฉยเหมือนอย่างเคย เพียงแต่สำหรับหนุ่มน้อยนั้นมันคือเสียงที่ทรงพลังน่าเคารพอย่างที่สุดเพราะมันคือเสียงของคนที่เขาชื่นชมและสรรพนามให้เป็นรุ่นพี่ไปแล้ว
เช่นนั้นเองเขาจึงรีบโน้มตัวกล่าวขอโทษท่าทางปะกาปะกัง และเป็นตอนนั้นเองที่สาวเจ้ายักไหล่คล้ายว่ากำลังจะเปลี่ยนใจ แต่แล้วก็ถูกขัดจังหวะจากสาวตัวเล็กอีกคนที่วิ่งกระเตาะกระแตะเข้ามาพร้อมเอกสารพะรุงพะรังในมือ
“คุณเอเดล ฮอรัส ฉันกำลังมีเรื่องอยากจะคุยกับทั้งสองคนพอดีเลยค่ะ” นักวิเคราะห์ร่างเล็กเอ่ย ขณะที่เขย่งขาเพื่อเอื่อมเอาเอกสารทั้งหลายที่ถืออยู่ขึ้นไปวางบนเคาน์เตอร์ให้กับพนักงานสาวสานต่อ
ซึ่งทั้งหมดนั้นคือรายละเอียดฉบับสมบูรณ์ของแบบทดสอบในปีนี้ที่พนักงานสาวสวยผู้เป็นหน้าเป็นตาของสมาคมจะต้องคอยแนะนำพร่ำบอกพวกนักผจญภัยฝึกหัด และดูเหมือนความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในนั้นจะทำให้เธอถึงกับเลิกคิ้วตาโตด้วยความประหลาดใจถึงความเหมาะเจาะบังเอิญ
“มีภารกิจด่วนรึเปล่า” เอเดลเห็นหนังตาหย่อน กับหน้าสดไร้เครื่องสำอางเช่นนั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงยังไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืน
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ แค่ต้องเปลี่ยนแผนที่คุยกันไว้นิดหน่อย” ไอน์ เงยศีรษะพูดกับเอเดล พลางใช้มือลูบใบหน้าของตัวเองเบาๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นคำถาม
“หมายถึง?”
“หมายถึงฮอรัสจะต้องลงทดสอบรอบที่สองค่ะ” เธอตอบพร้อมกับชำเลืองมองหุ่นสงครามครู่หนึ่งที่ดูจะไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการเปลี่ยนกำหนดการนี้ เพราะเขาก็ยังนิ่งเงียบเป็นคนพูดน้อย ถามคำตอบคำและชอบทำตัวเป็นก้อนหินริมทาง พรางตัวไปกับฉากหลังของเหตุการณ์ไม่ต่างจากปกติทั่วไปที่มักจะแสดงออก
“อืม... ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นี่ จับคู่ฮอรัสกับหมอนี่เลยไง” ฝ่ายเอเดลได้ยินไอน์ว่าดังนั้นก็ไม่ได้ติดใจอะไรเช่นกัน เธอเพียงแค่เหลือบตาไปยังหนุ่มน้อยจากต่างหมู่บ้านแล้วพูดแกมขบขัน แต่ทำเอาหนุ่มน้อยต้องกลืนน้ำลาย
ทว่านอกจากหนุ่มน้อยที่ไม่ขำแล้ว ก็ยังมีนักวิเคราะห์ตัวเล็กอีกคนที่แสดงสีหน้าเหยเกปะปนไปกับอาการของคนอดนอน
“เรื่องคู่ประลองของฮอรัส...” สาวน้อยเอ่ยเบาๆ ในลำคอพลางใช้นิ้วเกาๆ ขมับ “คนที่จะต้องจับคู่ประลองกับเขาคือคุณเอเดลนั่นแหละค่ะ”
“เอ๋!!” เอเดลได้ยินไอน์พูดเช่นนั้นก็ถึงกับสะดุ้งโหยงอย่างไม่คาดคิดและไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่แสดงอาการตื่นเต้นตกใจขึ้นมาเพราะแม้แต่หนุ่มน้อยข้างๆ เองก็ทำตาโตด้วยความรู้สึกหลากหลายทั้งโล่งใจและสับสนงงงวย “เดี๋ยวสิ ทำไมล่ะ ไหนว่าให้ฉันเป็นกรรมการไง.. ละ แล้วฉันก็สอบผ่านมาตั้งหลายปีแล้วด้วย”
สาวเจ้าพูดต่อติดขัดไม่เข้าใจว่าจู่ๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนกระทั่งคนที่น่าจะเข้าใจสถานการณ์น้อยที่สุดอย่างหุ่นสงครามพูดขึ้นอย่างไร้ความรู้สึกแทนคำตอบ และเป็นคำตอบที่ทำให้สาวเจ้าถึงกับตาข้าง
“เพราะคุณจะต้องมาเป็นคู่พาร์ทเนอร์ของผม” ฮอรัสพูดเรียบๆ แต่ทำให้ทุกคนผงะ กระทั่งต้นเรื่องอย่างไอน์ก็ยังงงว่าเขารู้ได้ยังไง
“ห๊ะ! คู่อะไร ทำไมฉันจะต้องไปเป็นคู่พาทร์เนอร์อะไรนั่นให้นายด้วย” เอเดลที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดดังนั้นก็อุทานออกมาด้วยความไม่เข้าใจ เพราะคำนี้มีความหมายหลากหลายขึ้นอยู่กับบริบท
แต่ในฐานะนักผจญภัย เธอเองก็รู้แก่ใจว่ามันหมายถึงการจัดกลุ่มของนักผจญภัย ใช้นักผจญภัยที่เข้าขากันได้เป็นอย่างดีสองคน ซึ่งนั่นหมายความว่ามันไม่ใช่กลุ่มเฉพาะกิจทว่าเป็นรูปแบบของกลุ่มระยะยาวซึ่งจะมีการลงทะเบียนให้จัดระดับศักยภาพของทั้งกลุ่มแยกออกจากระดับของอัตตะศิลารายบุคคลอีกทีหนึ่ง
"แล้วนี่นายไปรู้เรื่องนี้ได้ไง”
“ผมอ่านจากเอกสาร” ฮอรัสตอบเรียบง่าย แต่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงอีกครั้ง
เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเรียนภาษาของยุคนี้มากจากเอลีอาแล้วก็จริง แต่เอกสารที่เขาว่าคือเอกสารชุดเดียวกันกับที่นักวิเคราะห์หอบมาวางไว้ให้กับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์นั่นเอง ลำพังเอามาอ่านใกล้ๆ ตัวอักษรก็เล็กจ้อยแล้ว ทว่าฮอรัสกลับสามารถอ่านพวกมันได้อย่างครบถ้วนโดยไม่จับต้องหรือเดินเข้าไปใกล้ๆ ด้วยซ้ำ
มันคือการบ่งบอกว่าการแสดงออกอันนิ่งเฉย กลืนไปกับสถานการณ์ของเขานั้น แท้จริงยังคงเก็บรายละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างหมดจดจนน่ากลัว อีกทั้งดวงตาสีดำมืดนั้นก็ยังบอกไม่ได้ว่ามันจับจ้องอะไรเป็นพิเศษหรือไม่
พานทำให้พนักงานสาวเผลอกัดริมฝีปากกลัวว่าตัวเองจะทำอะไรน่าอายออกไประหว่างที่หุ่นสงครามผู้นี้อยู่ใกล้ๆ บ้างรึเปล่า เพราะเขาคงเก็บครบหมดทุกรายละเอียด เผลอไผลแค่พูดน้ำลายกระเด็นออกไป กี่เม็ดตุ๊กตาสงครามตนนี้ก็อาจจะรู้... หากว่าจำนวนเม็ดหยดน้ำลายมันสำคัญนักละก็
นักวิเคราะห์เองพอได้ยินคำตอบของฮอรัส ก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับเอเดล
“ก็ตามนั้นแหละค่ะ ขอโทษจริงๆ ที่ปุบปับแบบนี้ แต่ในฐานะนักวิเคราะห์และคนที่ต้องรับผิดชอบในการเอาฮอรัสมาเข้าสังกัดนักผจญภัย ฉันจำเป็นต้องแน่ใจว่าเขาจะไม่ออกนอกลู่นอกทาง หรือทำให้ตัวเองตกเป็นอันตราย แถมคงเขียนรายงานว่าเราเอาเขามาเข้าสังกัดเฉยๆ โดยไม่มีใครจับตาดูไม่ได้ มันจะง่ายกว่า ถ้ามีนักผจญภัยอีกคนคอยจับตาดูเขา” ไอน์อธิบาย สื่อความหมายอย่างชัดเจนว่าหน้าที่ในการคอยเฝ้าจับตาดูฮอรัสนั้นยังไงก็ต้องเป็น เอเดล
ด้วยเหตุผลหลากหลายข้อ ทั้งเรื่องที่เธอถือเป็นนักผจญภัยที่ฝีมือดีที่สุดของเทรียลในตอนนี้ อีกทั้งเธอยังเป็นคนที่ดูจะพูดสื่อสารกับฮอรัสรู้เรื่องที่สุดรองลงมาจากเอลีอา
รวมไปถึงความเข้ากันได้ของสไตล์ ซึ่งคนหนึ่งนั้นถนัดการต่อสู้ระยะไกล ลอบเร้นเก็บข้อมูลและมีพื้นฐานของการเป็นนักผจญภัยแน่นเกือบทุกสาขาทั้งกู้ภัย ไกล่เกลี่ย สนับสนุน ส่วนอีกคนก็อย่างที่รู้กันว่าทักษะการต่อสู้ระยะประชิดนั้นเหนือชั้นเป็นปีศาจไปแล้ว รวมทั้งน่าจะเชี่ยวชาญงานล่าสังหารเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าอสูรดูเหมือนเขาจะรู้จักพวกมันเป็นอย่างดีเกือบทุกชนิด ถือว่าเป็นสไตล์ที่เมื่อจับคู่กันแม้จะไม่ได้เสริมข้อเด่นใดๆ แต่เป็นการลบข้อด้อยออกไปจนหมด กลายเป็นกลุ่มที่สามารถทำงานได้อย่างรอบด้าน
เอเดลพอจะเข้าใจเหตุผลของนักวิเคราะห์สาวอยู่บ้างก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เธอไม่เคยคิดเรื่องการตั้งกลุ่มของตัวเองมาก่อนเพราะมักจะเลือกภารกิจที่ทำคนเดียวได้ หรือไม่อย่างนั้นหากจำเป็นก็แค่ตั้งกลุ่มเฉพาะกิจขึ้นมาเป็นครั้งๆ ไป ด้วยไม่ว่าใครในเทรียลก็อยากทำงานร่วมกับคนที่มีประสบการณ์สูงอย่างเธออยู่แล้ว
แต่เธอเคยเห็นความสามารถของฮอรัสมาก่อน มันเหนือกว่าเธอไปมาก ขนาดยังไม่ได้เริ่มทดสอบหรือแตะต้องอัตตะศิลาก็รู้แล้วว่าอย่างน้อยๆ ก็ชั้นไพลินแน่นอน และประสบการณ์ในการร่วมงานกับนักผจญภัยระดับอัญมณีจากสภามา มันสอนว่าเธอมีแต่จะเป็นตัวถ่วง
ทว่าสถานการณ์คราวนี้มันต่างกัน ตรงที่ฮอรัสไม่ใช่นักผจญภัยอาชีพ ลำพังจะใช้ชีวิตในสังคมกับคนอื่นๆ ยังไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว ต้องให้เอลีอาคอยพร่ำบอกพร่ำสอน เช่นนั้นยังไงก็คงต้องมีพี่เลี้ยง
เพียงแต่สิ่งที่กวนใจครึ่งเอลฟ์อย่างเธอมันเป็นอีกเรื่องต่างหาก
“...แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ฉันต้องกลับไปสอบอีกล่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” เอเดลพ่นลมหายใจยอมรับเรื่องที่ว่ายังไงเธอก็หนีเจ้าหุ่นสงครามตนนี้ไม่พ้น แต่อย่างไรมันก็ไม่ได้ตอบคำถามจริงๆ ของเธอ
“เรื่องนั้นคือฉันต้องทดสอบความเข้ากันได้ของทั้งสองคนน่ะค่ะ” ไอน์พูดพร้อมกับแสดงท่าทางมีพิรุธผิดปกติ แต่เอเดลไม่เอะใจเพราะคิดว่าคงเป็นอาการของคนที่อดนอน จนกระทั่งได้เห็นรอยยิ้มแป้นแล้นจากใบหน้าของสาวชาวช่าง “แต่ที่สำคัญคือคุณเอเดลเองต้องทดสอบศรคันใหม่ด้วย”
“หืม... ฉันไม่ได้มีธนูคันใหม่สักหน่อย” สาวเจ้าแสดงท่าทีฉงน พลางหรี่ตามองลงไปยังนักวิเคราะห์เพราะเอะใจแล้วว่านอกเหนือจากเรื่องกำหนดการ ยังมีบางอย่างที่อีกฝ่ายแอบทำลับหลัง
“มีสิ” และตอนนั้นเองเสียงทุ้มต่ำแหบแห้งจะดังขึ้นไม่ไกล พร้อมกับร่างของช่างเหล็กชราผู้เป็นบิดาของนักวิเคราะห์สาว เขาเดินเข้ามายังกลุ่มสนธนานั้นพร้อมกับกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวเกือบเมตรครึ่ง กว้างครึ่งเมตร แต่หนาเพียงคืบกว่าๆ “นี่ไงล่ะคันศรใหม่ของเจ้า”
ชายแก่ร่างว่าพร้อมกับเปิดกล่องไม้ออก เผยให้เห็นสิ่งที่เก็บรักษาเอาไว้ด้านในซึ่งเป็นคันธนูสีขาวสะอาดคล้ายกับคันเดิมของเอเดลแต่ก็แค่เรื่องสีเท่านั้น เพราะรายละเอียดหรือรูปลักษณ์ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ศรคันเดิมของเอเดลเป็นธนูปีกโค้งกลับ (Recurve) ขนาดสั้น ดั้งเดิมแบบเอลฟ์ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากวัสดุชั้นยอดจากไม้เมเปิลยักษ์เท่านั้น ทว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของนางนั้นคือสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดการวิวัฒผสมผสานกันของอารยะ เพราะมันคือธนูแบบทดกำลังซึ่งใช้กลไกทดแรงของลูกรอกและเพลาลูกเบี้ยวบนปีกธนูทำให้มันยิงได้แม่นยำกว่าและรุนแรงกว่าโดยที่ออกแรงน้อยกว่า กลไกเหล่านี้ควรจะเป็นผลงานจากสติปัญญาของชาวช่างหัวก้าวหน้า
แต่กลายเป็นว่าชาวช่างหัวโบราณผู้นี้ยอมทิ้งความทะนงตัวสร้างมันขึ้น รวมทั้งใส่ความเป็นยอดฝีมือของตัวเองลงไปเพิ่มเติม แต่นั่นยังไม่พอเพราะต่อให้เป็นช่างทำอาวุธระดับเขา แต่เพียงแค่กลไกและความเข้าใจในตัวอาวุธนั้นไม่เพียงพอให้มันสมบูรณ์แบบ สังเกตได้จากอักขระเวทอันซับซ้อนจนน่ากลัวว่ามันอาจกลายเป็นของต้องสาปนั้นเองที่บ่งบอก ว่าแม้แต่คนอย่างช่างเหล็กชราก็สามารถยอมละทิ้งทิฐิความอวดดีของตัวเองแล้วส่งงานศิลป์ชิ้นนี้ไปให้กับผู้ที่เชี่ยวชาญงานเวทมนตร์กว่า สานต่องานให้สมบูรณ์แบบ
และดูท่ามันก็เพิ่งจะส่งกลับมาถึงหมาดๆ ไม่นานนี้เองสองพ่อลูกถึงได้เพิ่งจะมาเปลี่ยนแปลงกำหนดการต่างๆ อย่างกะทันหันเช่นนี้
“นะ นี่มัน... ห่ะ ให้ฉันหรอคะ” เอเดลที่โตมากับวิชาธนูของทั้งพ่อที่เป็นนักผจญภัยและแม่ที่เป็นเอฟล์ได้เห็นคันศรระดับเหนือจินตนาการเช่นนี้ก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“เปล่าข้าจะเอามาขายให้แสนเหรียญทอง... เจ้าโง่รึไง! ก็ให้นะสิถามได้!” ช่างเหล็กชราได้ยินแบบนั้น ก็ตะคอกแกมหยอกล้อออกไป ด้วยรู้จักสาวเจ้าดี ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดต่อเกี่ยวกับตัวเธอและของขวัญชิ้นนี้
“เอเดล ทักษะของเจ้าน่ะความจริงยอดเยี่ยม ทั้งประสบการณ์ในฐานะนักผจญภัยก็อาจมากซะยิ่งกว่าระดับอัญมณีบางคนเสียด้วยซ้ำ เจ้าคือคนที่เข้าใจความหมายของนักผจญภัยดีกว่าใคร เป็นนักผจญภัยในสายเลือดเหมือนกับพ่อของเจ้า แต่เจ้าไม่ควรจบอยู่บนกำแพงหยกเหมือนกับเขา เจ้ายังพัฒนาขึ้นได้อีก” ช่างเหล็กเอ่ยออกมาถึงอุปมาอุปมัยของสิ่งที่เรียกว่ากำแพงหยก หรือความจริงก็คืออัตตะศิลาชั้นหยกซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายของระดับหิน ขีดจำกัดที่คนทั่วไปจะไม่อาจข้ามไปได้ด้วยหลากหลายหมื่นพันเหตุผล ทว่าก็ยังมีอีกทางหนึ่งที่เป็นไปได้ นอกเหนือจากการฝึกฝนทำลายขีดจำกัดและวิธีนั้นคือการใช้ทางลัด "ถ้าสังขารร่างกายมันมาถึงทางตัน เจ้าก็อาจจะต้องหันไปพัฒนาเรื่องอื่นแทน มาดูกันว่าศรฤดูหนาวคันใหม่ของเจ้ามันจะทำให้เจ้าทำลายกำแพงหยกแล้วก้าวขึ้นไปอยู่ร่วมกับระดับอัญมณีได้มั้ย... "