บทที่ 21 : ข้อเสนอของแมดเดอลีน
บทที่ 21 : ข้อเสนอของแมดเดอลีน
“นายท่านเจ้าคะ” เสียงของปัญญาประดิษฐ์ดังขึ้นในหูของกิลเลน ชายหนุ่มขานรับเบา ๆ เพื่อรอฟัง “โปรแกรมที่คุณอคาลาเพิ่มมาสามารถแอบดูความสามารถของผู้ถูกเลือกคนอื่น ๆ ได้ด้วยล่ะค่ะ” อินุจิโยะหัวเราะอย่างถูกใจ ไม่ต้องให้เห็นภาพโฮโลแกรม กิลเลนก็สามารถจินตนาการอินุจิโยะหูตั้งตาวาวด้วยความตื่นเต้นได้
“แล้ว ?” กิลเลนถามเสียงแผ่ว แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากเธอ วิดีโอที่แมดเดอลีนเปิดก็ดึงความสนใจของเขาไปก่อน ชายหนุ่มเบิกตากว้าง เมื่อเห็นร่างของผู้ถูกเลือกกำลังต่อกรกับแวนเดียร์เหล่านั้น กิลเลนพยายามเพ่งสายตาดูผ่านกองเพลิงเหล่านั้น คนที่ยืนอยู่ท่ามกลางซากศพของแวนเดียร์เป็นโอเวนนั่นเอง
โอเวนสังเกตเห็นท่าทีของกิลเลนก็ยิ้มเยาะอย่างถูกใจ เขาเป็นคนแรกที่สามารถปลดล็อกพลังขั้นที่สองได้ และในคลิปนั่นกิลเลนจะได้รับรู้ว่าคนที่มีพลังพิเศษอย่างเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ถูกเลือกที่มีคู่หูเป็นแค่หมาอย่างไร
“คนที่ปลดล็อกพลังขั้นที่สองได้กับไม่ได้ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยล่ะ” แมดเดอลีนอธิบายก่อนที่เธอจะหลบไปจากหน้าจอเพื่อให้ผู้ถูกเลือกคนอื่น ๆ สามารถเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจน โอเวนเคยเรียกสัตว์อัญเชิญได้แค่หนูโง่ตัวเล็ก ๆ ตัวเดียวต่อมาด้วยสัตว์ที่โตขึ้นจนจุดที่เรียกตัวอันตรายอย่างหมาป่าออกมาได้ แต่ตอนนี้เขาทำได้ยิ่งกว่านั้นแล้ว
โอเวนยิ้ม เขายังจำการต่อสู้ได้ดี ช่วงเวลาที่พลังของเขาพัฒนาไปมากแล้ว ชายหนุ่มในวิดีโอเรียกหมาป่าขึ้นมาข้างกายจำนวนหนึ่ง มันกระโจนเข้าสังหารแวนเดียร์ที่ลอบทำร้ายเขาจากด้านหลังอย่างโหดเหี้ยม ชายหนุ่มกระโดดออกมาพร้อมกับเสกหมีขึ้นกลางอากาศโดยมีกาซาเนียยืนสนับสนุนอยู่ห่าง ๆ
หมีร้ายทั้งสิบตัวกินพลังงานในการเรียกมากมาย แต่ชายร่างใหญ่ไม่รู้สึกอะไร เขายังเข้าไปร่วมต่อสู้กับสัตว์อัญเชิญเหล่านั้นอีกด้วย
“ด้วยการฝึกหลาย ๆ แบบ อันดับของนายท่านขึ้นมาติดหนึ่งในสิบด้วยล่ะค่ะ” อินุจิโยะชี้แจงหลังจากเห็นกิลเลนนิ่งเงียบไปนาน เธอสามารถตรวจสอบอันดับโดยเทียบจากความแข็งแกร่งได้ แต่ดูเหมือนข่าวดีที่เธอบอกจะไม่สร้างความแปลกใจให้กับกิลเลนสักเท่าไหร่ “แต่ว่า...”
เสียงของอินุจิโยะถูกหยุดลง “สัตว์พวกนี้นอกจากจะช่วยสู้แล้ว ยังสามารถเพิ่มพลังให้กับโอเวนอีกถึงหนึ่งในสิบของพลังของมัน เมื่อโอเวนสามารถใช้มันได้ถึงสิบตัว นั่นทำให้ตัวเขาเองได้รับพลังเท่ากับหมีหนึ่งตัวด้วย” แมดเดอลีนพูดจบ โอเวนก็ใช้หมัดซัดแวนเดียร์ตัวใหญ่กว่าตนเองจนหัวบุบ สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคนที่ยังไม่สามารถปลดพลังขั้นที่สองได้เป็นอย่างดี วิดีโอถูกตัดจบลงแต่เพียงเท่านั้น
“นี่คือเหตุผลที่แมดเดอลีนเคยบอกว่า ความห่างชั้นของคนที่มีพลังขั้นสองกับคนที่มีพลังเพียงขั้นแรก เทียบได้กับความห่างของคนมีพลังพิเศษและคนธรรมดานั่นแหละ”
กิลเลนกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หากคนที่มีคู่หูและซิงโครยังเป็นเพียงคนธรรมดา แล้วเขาล่ะ…
“แต่อันดับของนายท่านที่พุ่งขึ้นมาอาจจะอยู่ได้ไม่นานค่ะ” อินุจิโยะกล่าวเสียงแผ่ว ไม่ต้องรอการประมวลผลใด ๆๆ จากปัญญาประดิษฐ์ที่อคาลาเป็นคนติดตั้งระบบใหม่ให้กิลเลนก็พอจะรู้เหตุผลดี เขาไม่มีคู่หู อย่าว่าแต่ขั้นที่สองเลยขั้นแรกเขาก็ไม่มีโอกาสไปถึง นั่นหมายถึงจะไม่สามารถเทียบเคียงกับคนอื่น ๆ ที่เดินนำหน้าพวกเขาไปได้เลย
การเรียกรวมจบลงแต่เพียงเท่านั้น บีตาทีมคนอื่น ๆ ไม่ได้กังวลเท่าไหร่ ด้วยพลังที่มีอยู่พวกเขาอาจจะยังไม่สามารถสู้กับโอเวนได้ แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่ากันเลย
หลังจากการบรรยายในครั้งนั้น แพทริคก็เรียกทุกคนในกลุ่มฝึกซ้อมอีกหลายครั้งและมันก็เป็นอย่างที่อินุจิโยะคาดไว้กิลเลนทำผลงานได้ไม่ดีนัก ไม่ใช่เพราะเขาไม่พัฒนาขึ้นแต่เป็นเพราะคนอื่นไปเร็วกว่าหลายเท่าด้วยพลังพิเศษที่ใกล้ตื่นอีกระดับหนึ่ง
แล้ววันที่กิลเลนไม่อยากพบก็มาถึง วันทำภารกิจ…
ครั้งนี้เป็นภารกิจกวาดล้างเหมือนเช่นเคย แตกต่างที่มันไม่ใช่ซากตึกซากเมืองเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่เป็นการกวาดล้างแวนเดียร์ที่ยึดป่าแห่งหนึ่งเอาไว้
ป่าที่ถูกแวนเดียร์เขายึดครองจะมีสภาพ “ติดเชื้อ” ต้นไม้ สัตว์ป่า แมลง ทุกอย่างจะถูกเมือกสีดำปกคลุมและเปลี่ยนให้พวกมันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตกึ่งแวนเดียร์ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ป่าทั้งป่ากลายเป็นสีดำ
“บอสของที่นี่ชื่อบลูเบนเจ้าค่ะ เป็นแวนเดียร์บอสไทป์ที่ไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่ก็อย่าประมาทจะดีกว่าเจ้าค่ะ” อินุจิโยะอธิบายในขณะที่ทุกคนมาถึงที่ปฏิบัติภารกิจ ยานของพวกเขาถูกเรียกกลับไปและจะมารับอีกครั้งหลังจากจบภารกิจแล้ว
“ในป่านี้เต็มไปด้วยแวนเดียร์ที่กวนคลื่นสัญญาณได้ เราเลยพึ่งแผนที่ไม่ได้เลย แม้แต่คลื่นแม่เหล็กก็ปั่นป่วนไปหมด” ควินซ์เตือนทุกคนในบีตาทีมให้ระวังตัว ทุกคนก้มลงดูแผนที่ของตนพบว่าจุดแสดงแวนเดียร์ส่องแสงแบบติด ๆ ดับ ๆ นอกจากจะระบุตำแหน่งที่แน่นอนไม่ได้แล้วยังจะดูรำคาญตาเสียเปล่า ๆ
“วิธีที่เร็วที่สุดในการจะหาตัวบอสของป่านี้ก็คงต้องกระจายตัวกันออกไปล่ะนะ ทีมเรากับอัลฟามีคนมากกว่าทีมอื่นบางทีหนึ่งในสองทีมนี้อาจจะเจอมันก่อนก็ได้” เบรนตันเสนอความเห็นแต่ไม่มีใครเห็นด้วยกับเขา
“ป่ากว้างขนาดนี้กะอีกแค่คนมากว่าแค่คนสองคนมันไม่ต่างกันหรอก แถมถ้านับแค่จำนวนอัลฟาทีมที่มีโอเวนอยู่เราก็แพ้จำนวนแล้วไม่ใช่เหรอ” แมรีขัดคอ แต่เบรนตันก็ยอมรับว่าที่เธอว่ามามีเหตุผล ก็โอเวนสามารถใช้พลังพิเศษสร้างหมีขึ้นมาได้เป็นสิบตัวเรื่องจำนวนนี้พวกเขาแพ้อย่างขาดลอย
“อย่ามามัวแต่คิดจะแข่งกันสิ หน้าที่ของพวกเราคือต่อสู้กับแวนเดียร์ต่างหาก” กิลเลนพูดราวกับพยายามย้ำเตือนตัวเองให้เชื่อแบบนั้นจริง ๆ ไม่รู้ทุกคนได้ฟังหรือเปล่า แต่ในทีมก็ยอมหยุดบ่นเรื่องแพ้ชนะไปในที่สุด
อย่างที่ควินซ์บอกทุกคนเอาไว้ แวนเดียร์ในป่านี้ทำให้การสื่อสารเกือบจะกลายเป็นอัมพาต ทั้งการระบุตำแหน่งที่แน่นอนของพวกเดียวกันและศัตรูก็เป็นไปด้วยความทุลักทุเล นั่นรวมไปถึงการติดต่อกับดิกนิตีด้วย ทุกคนพยายามเงี่ยหูฟังเครื่องมือสื่อสารที่ติดไว้ที่หู
“ซ่าา....ตามแผน…ซ่าาาา วาง… แยกกัน… ซ่า” แมดเดอลีนสบถคำหยาบตามมาอีกหลายคำแต่ไม่มีใครจับใจความได้ สัญญาณสื่อสารในตอนนี้แย่ยิ่งกว่าที่เธอคาดเอาไว้มาก และดูเหมือนไม่ได้มีแต่เธอที่หัวเสียกับมัน ทุกคนที่ไม่สามารถติดต่อกับเธอได้ก็ละความพยายามในการฟังและหันไปสนใจกับภารกิจตรงหน้าแทน
ด้านทีมเอปไซลอนที่นำโดยทอดด์ ไทเกอร์ อดีตนักมวยอนาคตไกล พวกเขากำลังพบกับปัญหาหนักจากการถูกดักโจมตีต่อเนื่องจนสมาชิกพลัดหลงไปครึ่งหนึ่ง และตอนนี้พวกที่เหลือก็กำลังมีปัญหากับทิศทาง
“พลัดหลงกับพวกนั้นซะแล้วสิ” รีเบคกา วิลเลียมบอกกับหัวหน้าด้วยความตระหนกในระหว่างที่กลุ่มของพวกเขายังคงวิ่งไม่หยุดแม้จะไม่รู้ทิศก็ตาม
“ต้องกลับไปจุดรวมพลให้ได้ก่อน” นาร์ซีสคาตาลิสต์ของเธอเสนอความเห็นด้วยอาการที่ลนลาน ในขณะที่ไม่ได้ผ่อนแรงที่ฝีเท้าลงเลย พวกเขาทั้งกลุ่มวิ่งฝ่าป่าที่ดำสนิทเพื่อจะไปยังจุดหมายที่ต้องการ เมื่อลองดูแผนที่ซึ่งจะแสดงจุดที่พวกเขาและกลุ่มอื่น ๆ อยู่ จุดมากมายก็ขึ้นกันระเกะระกะไปหมดจนจับทางไม่ได้
“แต่เราไม่รู้ว่ามันคือทางไหน” ทอดด์ตอบถึงเขาจะไม่แสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียง แต่รีเบคกาที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในกลุ่มนี้มาตลอดจับได้ในทันทีว่าเขาเองก็กำลังหวาดกลัวไม่แพ้กัน
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะทุกคน” ไดอาธัสที่ตั้งสติได้ก่อนใครพูดบ้าง “สภาพนี้วิ่งมั่วซั่วก็ไม่มีทางหาพวกที่หลงไปเจอหรอก เราน่าจะใช้พลังของรีเบคกาและนาร์ซีสแทน บางทีกลุ่มบีตาที่น่าจะอยู่ไม่ห่างออกไปอาจจะเจอพวกเราก่อนก็ได้”
“พลังขยายร่าง ถ้าใช้ตอนนี้พวกเราไม่ยิ่งตกเป็นเป้าเหรอ” นาร์ซีสโวยวายเสียงสั่น
“งั้นก็ขยายร่างของฉันแทน” เธอตอบกลับทันทีเหมือนไม่ได้เสียเวลาคิดเลย “ถ้าใช้พลังลมของฉัน ต่อให้โดนแวนเดียร์มารุมก็ไม่น่าจะเสร็จพวกมันง่าย ๆ”
“ไม่ได้!” หนุ่มผิวเข้มตวาด เขาหยุดวิ่งทำให้คนอื่น ๆ ปฏิบัติเช่นเดียวกัน “ถ้าจะมีใครสักคนต้องไปล่อเป้า ก็ควรจะให้ผู้ชายออกไป”
“แต่ว่า…” ไดอาธัสพยายามห้าม แต่ก็ไม่เป็นผลทอดด์ใช้สิทธิ์ความเป็นหัวหน้าออกคำสั่งกับรีเบคกาและนาร์ซีส
สิ้นสุดการถกเถียง ร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสูงเพิ่มขึ้นจนร่างใหญ่ทะลุยอดไม้สีดำสนิทที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณอย่างโดดเด่น เมื่อไม่กี่เดือนก่อนคู่นี้ทำได้เพียงเปลี่ยนหนูตัวเล็ก ๆ ให้มีขนาดพอ ๆ กับสุนัขเท่านั้น แต่ในเวลานี้ทั้งคู่ถึงกับเปลี่ยนมนุษย์หนึ่งคนให้กลายเป็นยักษ์แบบนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น
จริงอย่างที่นาร์ซิสกลัว ร่างใหญ่โตของทอดด์ไม่ได้แค่ทำให้ผู้ถูกเลือกมองเห็นเขาได้ง่ายขึ้น แวนเดียร์จำนวนมหาศาลที่รับรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่น ต่างก็พุ่งไปรวมกันเพื่อรุมกินโต๊ะชายร่างยักษ์ เขาเองก็ไม่รอช้า เสี้ยววินาทีที่รู้ว่าตนตกเป็นเป้าพลังพายุของเขาก็ถูกปล่อยออกไป
แวนเดียร์หลายสิบตัวถูกความเย็นที่เกือบจะถึงศูนย์องศาสัมบูรณ์เล่นงานจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไอความเย็นแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ แต่สิ่งที่ทอดด์คาดไม่ถึงคือมีบางอย่างพุ่งตามฝูงแวนเดียร์เหล่านั้นมา
“บูลเบน!!!” นาร์ซีสตกใจจนแทบสิ้นสติ ความหวาดกลัวทำให้เขาลืมสิ้นทุกอย่าง ลืมไปว่าเป้าหมายของมันควรจะเป็นทอดด์ที่อยู่ในร่างยักษ์ตามแผนการที่วางเอาไว้ ลืมไปว่าเขาควรจะยืนอยู่ข้างรีเบคกาเพื่อคอยสนับสนุนเธอ คาตาลิสต์หนุ่มผู้ขวัญกระเจิงออกวิ่งโดยไม่สนอะไรแล้ว เสียงตะโกนโหวกเหวกของเขาเรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี
บูลเบนแวนเดียร์ระดับบอสที่มีรูปร่างกึ่งระหว่างมังกรและม้า ควบทะยานฝ่าอากาศด้วยความเร็วราวกับจรวดนำวิถี มันเล็งเล่นงานทอดด์เป็นเป้าหมายแรก แต่แล้วเมื่อเห็นเป้าหมายใหม่ที่กำลังแยกตัวออกจากกลุ่มมันก็หักเลี้ยวกลางอากาศและเปลี่ยนทิศไปที่เหยื่อตัวใหม่ทันที
กร๊อบบบ!
เสียงหักลั่นของกระดูกนาร์ซีสทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าอาการของเขาต้องสาหัสแน่ ร่างของเขาถูกมันขว้างลงกับพื้นรีเบคกาเห็นแบบนั้นก็ตอบสนองไปโดยไม่ได้คิด เธอใช้พลังขยายร่างตัวเองเพื่อหยุดบูลเบนที่กำลังวิ่งเข้าไปเล่นงานซ้ำ
ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทอดด์ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขาเห็นนาร์ซีสตะโกนและออกวิ่ง พริบตาเดียวร่างที่บิดเบี้ยวของนาร์ซีสก็กองอยู่กับพื้น ไดอาธัสที่รออยู่ด้านล่างแม้พยายามจะใช้พลังควบคุมลมของเธอช่วยทั้งคู่แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ร่างของรีเบคกาที่กำลังขยายออกพุ่งทะยานเข้าไปซัดกับบลูเบน แต่เมื่อเจ้าแวนเดียร์บอสไทป์เห็นเธอ มันก็เข้าจู่โจม ขย้ำเธออย่างไม่ปราณี
หนึ่งผู้ถูกเลือกและอีกหนึ่งคาตาลิสต์ได้จบชีวิตลงโดยไม่สามารถต่อกรกับศัตรูตนนี้ได้เลย...
“หนีไป” ทอดด์ออกคำสั่ง เขารู้ดีว่าเมื่อรีเบคกาและนาร์ซีสตายไปผลของการขยายร่างก็จะเสื่อมลงในอีกไม่นาน แต่เขาก็คิดจะใช้ร่างนี้สู้กับบูลเบนถ่วงเวลาให้คู่หูของตนหนีไป ไดอาธัสชะงักฝีเท้าที่จะวิ่งเข้าไปนำร่างของทั้งสองกลับมา
‘...ลาก่อน ไดอาธัส…’
ทอดด์เตรียมใจตายและพุ่งสวนออกไป สองมือกำแน่นพลาสมาฟีสต์ที่สวมอยู่ในมือทั้งสองข้างส่องแสงสีฟ้าวาบเทคนิคการชกมวยที่เรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก เขาจะงัดทั้งหมดของมาใช้ที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย
ร่างกึ่งม้ากึ่งมังกรที่วิ่งห้อเข้ามาชะลอฝีเท้าลงอย่างน่าสงสัย และในที่สุดเท้าทั้งสี่นั่นก็หยุดลงก่อนที่ร่างของมันจะร่วงลงไปกระแทกพื้น เงาของใครบางคนอยู่ตรงนั้น ชายที่โผล่เข้ามาช่วยทอดด์เอาไว้ได้ในวินาทีสุดท้าย
“แพทริค… ทำไม..”
“สู้กันซะป่าแทบแตก ไม่เกรงใจกลุ่มอื่นบ้างเลยนะ” หนุ่มแว่นตอบแบบไม่ใส่ใจ เขาเหลียวมองร่างของบูลเบนซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่ามันตายสนิทหลังจากที่ถูกพลังจิตของเขาปั่นสมองจนเละ
ภารกิจจบลงทั้งแบบนั้นโดยที่กิลเลนแทบไม่มีส่วนร่วมใด ๆ หลังจากยืนยันแน่ชัดว่าแพทริคสามารถจัดการกับแวนเดียร์บอสไทป์ได้สำเร็จอย่างง่ายดาย ทุกคนจึงกลับมาที่ดิกนีติด้วยยานของทีมตนเอง เมื่อมาถึงทั้งทีมเอปไซลอนก็ไม่พูดจากับใคร ทอดด์นำร่างที่ไม่น่าดูของทั้งสองไปเพื่อรอทำพิธี ส่วนทีมอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันออกไป
เป็นอีกครั้งที่ภารกิจมีผู้สูญเสีย แม้จะเป็นประสบการณ์ที่เคยได้พบเจอแต่ก็ไม่มีใครสามารถผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปได้โดยง่ายทั้งยานจึงตกอยู่ในความเงียบ ไร้ซึ่งเสียงสนทนาและการเลี้ยงฉลองใด ๆ แม้จะทำภารกิจสำเร็จก็ตามที
กิลเลนเดินเหม่อลอยอยู่ที่ทางเดิน ซีโรเซียกลับไปที่ห้องนานแล้ว ที่ยังคงอยู่ตรงนี้มีเพียงเขาและบากะอินุเท่านั้น เจ้าหมาติดอาวุธก็ไม่ได้รู้สึกต่างจากกิลเลนเท่าไหร่นัก มันพยายามเบียดตัวเองไปกับเจ้านายของมันเพื่อเรียกความสนใจ
แต่เหมือนเสียงประกาศเรียกกิลเลนเข้าไปพบในห้องทำงานของแมดเดเดอลีนจะทำให้เขาได้สติ กิลเลนเดินไปยังห้องนั้นทันที
“รออยู่นี่นะ” เขาบอกกับบากะอินุ มันยอมทำตามแม้จะไม่พอใจนัก กิลเลนเข้าไปในห้องที่แมดเดอลีนรออยู่ก่อนแล้ว เขายืนอยู่โดยมีโต๊ะทำงานของเธอคั่นกลาง ไม่ต้องร่ำรอให้เสียเวลา แมดเดอลีนเข้าเรื่องทันที
“กิลเลน ฉันอยากให้นายคิดเรื่องซีโรเซียอีกที” เธอประสานมือรองใต้คาง จ้องมองมาที่กิลเลน แต่ดูเหมือนเธอจะคาดเดาคำตอบได้อยู่แล้ว “คิดดี ๆ อีกสักครั้งเถอะ”
กิลเลนมองไปที่พื้น คิ้วของเขาขมวดเพราะกำลังใช้ความคิด เสียงของการสนทนาก่อนทำภารกิจหวนมาอีกครั้ง คำสัญญาและคำสาบานที่เขาได้ให้ไว้กับซีโรเซียยังคงวนเวียนอยู่ในหัว จริงอยู่ที่เขาสามารถบังคับให้เธอซิงโครได้ แต่กิลเลนเลือกที่จะไม่ปฏิบัติเช่นนั้น ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เธอต้องสูญเสียคู่หูเพราะเขาด้วยแล้ว…
“ไม่ครับ ผมจะไม่ซิงโครกับซีโรเซีย”
“คิดดูอีกทีเถอะ” เธอพูด กิลเลนส่ายหัวยังคงให้คำตอบเช่นเดิม
“ผมกับบากะอินุยังสู้ไหว ส่วนซีโรเซียเองก็สามารถสนับสนุนผมได้” กิลเลนอธิบาย แม้ในการต่อสู้ที่ผ่านมาเขาจะไม่ค่อยมีส่วนร่วมก็ตาม แต่ชายหนุ่มเชื่อว่าเขาทั้งสามจะยังคงมีประโยชน์และสามารถช่วยทีมทำภารกิจได้แม้จะไร้ซึ่งพลังพิเศษก็ตาม
“นายเองก็รู้” แมดเดอลีนพูดเสียงหนักแน่น กิลเลนสบตากับเธอ และพบว่าประโยคถัดมาเป็นประโยคที่เขาไม่อยากได้ยินเป็นที่สุด “นายตามพวกที่ซิงโครไม่ทันหรอก พวกเขามีคาตาลิสต์และปลดล็อกพลังขั้นที่สองได้แล้ว”
“เรื่องนั้น...”
“ถ้านายยังยืนยันว่าจะไม่ซิงโครกับซีโรเซีย ฉันก็จะไม่พูดเรื่องนี้อีก” แมดเดอลีนพิงตัวเองกับพนักเก้าอี้ “แต่หลังจากที่ทุกคนปลดล็อกพลังขั้นที่สองได้หมดแล้ว...”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบรอฟังว่าเธอจะพูดอะไร แมดเดอลีนถอนหายใจ เธอรู้สึกไม่อยากทำเช่นนี้เลย กิลเลนเองเคยเป็นกำลังสำคัญให้กับแนวหน้า เขามีประสาทสัมผัสและพละกำลังที่ดีเยี่ยม ก่อนที่ทุกคนจะนำหน้าเขาไปนับร้อยก้าวด้วยพลังของคาตาลิสต์ที่เขาไม่มี
“นายควรจะค้นหาตัวเอง ว่าแท้จริงสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไรกันแน่ นายทำเพื่ออะไร เพื่อใคร”
กิลเลนยังคงไม่เข้าใจ เขาเอียงคอมองแมดเดอลีนอย่างสงสัย เธอไม่ได้สบตาของกิลเลนยามเมื่อพูดประโยคถัดมา
“ฉันจะปลดประจำการนาย นายจะต้องลงจากดิกนิตี”