ตอนที่ 21 ฝากด้วยนะ
ตอนที่ 21 ฝากด้วยนะ
“เท่าที่จำได้ก็ประมาณนี้ค่ะ”
การสอบปากคำสิ้นสุดลง เฟย์นะให้ความร่วมมือในการหาข้อมูลต่างๆ อย่างดีเท่าที่เธอจะตอบได้ ด้วยความเกรงใจที่มีต่อตระกูลยูคิฮารุ ทำให้คนจากกองปราบวิญญาณต้องเดินทางมาสอบสวนด้วยตัวเองถึงที่
“ขอบคุณครับ ถึงตอนนี้พลังวิญญาณในตัวคุณเฟย์นะจะบริสุทธิ์แล้ว แต่ยังไงก็คงต้องขอความร่วมมือให้ไปที่ศูนย์วิจัยพลังวิญญาณของเราด้วย เพราะพลังก่อนหน้านี้ของคุณเฟย์นะเป็นรูปแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย”
ฟอแกนด์ซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะสอบสวนกล่าวปิดท้ายก่อนการสอบปากคำจะจบสิ้นลง
“ม่ายยย ปล่อยผมล๊งงง”
ทันทีที่เฟย์นะเดินออกจากห้องที่เตรียมไว้สำหรับการสอบปากคำมายังห้องโถงใหญ่ เสียงหัวเราะเอะอะก็ดังไปทั่วห้องรับแขกของบ้าน มันเป็นภาพแปลกตาที่หญิงสาวไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
เด็กชายน่าจะวัยสิบกลางๆ กำลังจับเบาะที่นั่งอยู่ไว้แน่นเพื่อประคองตัว เพราะมันกำลังลอยหมุนอยู่กลางอากาศ พวกผู้ชายที่โตกว่านั้นดูจะหัวเราะลั่นกันมากกว่าจะช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นลงมา มีเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งกำลังพิจารณาขนมหน้าตาแปลกๆ ที่ถูกยกออกมารับแขกในจานตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่สนใจรอบข้าง แต่แล้วเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นทำท่าจะหล่นจากเบาะลงมา ผู้ชายคนหนึ่งก็หายหัวไปหิ้วเขาไว้ทันก่อนจะร่วงสู่พื้น
เด็กหนุ่มวิ่งมาหลบข้างหลังเคนเซย์ที่กำลังนั่งหัวเราะราวกับหาที่พึ่ง หญิงสาวสวมแว่นเบาะนั่งด้านข้างเคนเซย์นั้นคือรุ่นพี่คนหนึ่งที่อยู่สถาบันเดียวกันกับพวกเธอ เฟย์นะไม่เคยเห็นภาพเคนเซย์ในมุมแบบนี้มาก่อนเลย เขากลับกลายดูเป็นคนสนุกสนานสบายๆ ผิดจากท่าทางขี้เก๊กตลอดเวลาที่เธอเคยเจอที่โรงเรียน
โลกใบใหม่ที่เฟย์นะก้าวเข้ามา เห็นอะไรต่างๆ กับตาขนาดนี้แล้ว เธอก็ไม่มีข้อโต้แย้งที่จะไม่เชื่อพวกเขาอีกต่อไป
“อ๊ะ สอบปากคำกันเสร็จแล้วนี่นา”
เมื่อชาเกลพูดขึ้น เสียงเอะอะก็เงียบลงก่อนที่ทุกคนจะพร้อมใจกันหันหน้าไปมองหญิงสาวผมสีบลอนด์ทองเป็นตาเดียว
เฟย์นะชะงักไปทำตัวไม่ถูก จนเคนเซย์ลุกขึ้นเดินเข้าไปหา สวนทางกับฟอแกนด์ เอ็ดเวิร์ด กับหัวหน้าหน่วย K-1 และ K-2 ที่เดินกลับมารวมกลุ่มกับบรรดาลูกน้องในสังกัดของตัวเอง ยูทากะมองตามหลังเคนเซย์ไปตาละห้อยจนคนรอบข้างนึกเห็นใจเลยทีเดียว
“อยากไปนั่งคุยกันสักหน่อยมั้ย ที่อยู่ตรงนั้นส่วนใหญ่เป็นคนในหน่วยของฉันเอง แต่ถ้ายังไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะ กลับไปพักผ่อนเลยก็ได้”
“เอ่อ... ขอโทษด้วยนะ เอาไว้คราวหน้าได้มั้ย”
เฟย์นะอึกอัก เธอไม่มีอารมณ์ไปเฮฮาอะไรกับใครทั้งนั้นในตอนนี้เลย
“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก กลับไปพักเถอะเดี๋ยวฉันไปส่งที่หน้าห้อง”
หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเก้ๆ กังๆ เธอหันไปโค้งลาทุกคนที่อยู่กลางโถงห้องนั่งเล่นอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินออกไป อันที่จริงเฟย์นะก็ไม่ได้อยากรบกวนให้ใครไปส่ง เพียงแต่บ้านหลังนี้กว้างจนเธอยังจำทางกลับห้องไม่ได้
สายตาคู่หนึ่งจ้องมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ไกลๆ อย่างเศร้าสร้อย...
“กลับกันได้แล้ว”
คำสั่งจากฟอแกนด์นั้นราวกับประกาศหมดเวลาทำการของสวนสนุก เด็กๆ ทุกคนในกองลุกขึ้นเตรียมตัวกลับด้วยสีหน้าเซ็งๆ ที่ต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว
“ของฝากของเธอล่ะ”
เฮคเตอร์เดินเข้ามาบอกกับโซอีที่กำลังรีบกินขนมตรงหน้าให้หมดด้วยความเสียดาย ได้ยินดังนั้นแล้วหญิงสาวร่างเล็กถึงนึกได้ ก่อนจะหันไปมองห่อขนมซึ่งแพ็คใส่กล่องมาอย่างสวยงามวางอยู่ด้านหลัง เธอมัวแต่ตื่นเต้นกับขนมหน้าตาแปลกๆ จนลืมเอาของตัวเองให้ทางนี้ไปเลย และแน่นอนว่าข้างในก็แอบหย่อนนามบัตรไว้แล้วเรียบร้อย
“แย่แล้วลืมไปเลย ฝากไว้ให้แทนจะเสียมารยาทมั้ยนะ”
แต่เมื่อมองซ้ายแลขวา โซอีกลับไม่เห็นเงาเจ้าของบ้านแม้แต่สาวรับใช้อยู่แถวนี้เลยสักคน
“งั้นพวกนายรอให้เคนเซย์กลับออกมาก่อนก็ได้ ขามาก็หายตัวมากันสองคนอยู่แล้ว ถึงหายตัวกลับไปก่อนก็ยังไม่มีใครกลับถึงออฟฟิศอยู่ดีนั่นแหละ” ชาเกลกล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินตามคนกลุ่มใหญ่ออกไป
ห้องโถงรับแขกอันกว้างใหญ่เหลือเพียงความเงียบสงบกับคนสองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน และดูเหมือนจะไม่มีใครเริ่มชวนใครคุยกันเลย
“อ้าว ตายจริง กลับกันหมดแล้วเหรอคะ”
ตอนนั้นเอง เสียงของหญิงสาววัยกลางคนที่ยังดูอ่อนวัยอย่างเหลือเชื่อก็ดังขึ้นทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ขึ้น หลังจากออกมารับแขกในตอนแรกแล้ว นายหญิงใหญ่ของบ้านก็กลับไปเตรียมเครื่องดื่มกับขนมรับแขกให้เด็กรับใช้ยกออกมาเสิร์ฟ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของลูกชาย ก่อนจะออกมาส่องดูอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าเสียงเริ่มเงียบไป
“เสร็จธุระแล้วทางเราก็คงต้องกลับไปทำงานต่อครับ แต่พอดีว่า...” เฮคเตอร์ลุกขึ้นนั่งท่าใหม่แบบเก็บขายืดตัวตรงให้เรียบร้อย แล้วหันไปสะกิดโซอี
“คือ...พอรู้ว่าจะได้มาที่นี่ฉันก็เลยทำขนมมาฝากค่ะ หวังว่าจะถูกปากนะคะ อีกกล่องรบกวนฝากให้คุณเฟย์นะด้วยได้มั้ยคะ ในเวลาที่เราต้องการพลังขนมหวานน่าจะพอช่วยได้บ้างค่ะ”
โซอีกุลีกุจอหันไปหยิบขนมกล่องใหญ่สองกล่องออกมายื่นให้เจ้าของบ้านทันที
“โถ ไม่น่าลำบากเลย ขอบคุณมากๆ ค่ะ เดี๋ยวจะส่งตรงให้ถึงมือหนูเฟย์นะเลย ทำเองด้วย ปกติชอบทำขนมเหรอคะ ไม่รู้ขนมทางเราจะถูกปากบ้างหรือเปล่านะ”
“อร่อยมากเลยค่ะ อร่อยจนอยากหัดทำขึ้นมาเลย”
ท่านแม่ของเคนเซย์ทำหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเชิญชวนด้วยความยินดี
“จริงเหรอจ๊ะ เอาไว้มาหัดทำขนมกันให้ได้นะ ฉันอยากมีลูกสาวน่ารักๆ เอาไว้สอนทำขนมมานานแล้ว แต่เคนเซย์ก็เป็นลูกชาย หลานสาวคนเดียววันๆ ก็เอาแต่ซ้อมฟันดาบไม่เคยเข้าครัว เคยคาดหวังว่าจะมีลูกสะใภ้น่ารักๆ ไว้ชวนไปเข้าครัวกัน แต่ฟังประวัติหนูเฟย์นะดูแล้วก็คงอยากไปโรงฝึกมากกว่าเหมือนกัน ฉันเศร้าใจมากๆ เลยค่ะ ถ้าไม่รังเกียจมาที่นี่บ่อยๆ ก็ได้แล้วหัดทำขนมกันนะจ๊ะ”
โซอีกับเฮคเตอร์ได้แต่กะพริบตาปริบๆ เมื่อฟังคำระบายราวกับเป็นทุกข์อย่างหนักนั้น
“ขอบคุณมากๆ เลยนะคะที่ชวน ฉันดีใจและอยากมามากค่ะ แต่เพราะตอนนี้สถานการณ์ของพวกนักสะกดวิญญาณไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ฉันต้องอยู่ในที่ที่มีม่านพลังป้องกันดิคเคนส์ หรือไม่ก็อยู่กับคนของหน่วยเคซีโร่ตลอดเวลาค่ะ”
แม้จะเสียดายโอกาสนั้น แต่โซอีก็ไม่อยากเอาแต่ใจจนสร้างภาระให้กับใครเพิ่ม
“อ้าว เคนเซย์ไม่เคยบอกเหรอว่าที่นี่ก็มีเหมือนกัน ไม่อยากอวดเลยนะจ๊ะ แต่ม่านพลังป้องกันของที่นี่แข็งแกร่งที่สุดในคาเรมยิ่งกว่าที่กองปราบวิญญาณแน่นอน”
“เอ๋ จริงเหรอคะ” โซอีถามขึ้นพร้อมกับหันไปมองเฮคเตอร์ทันที
“ใช่แล้ว ม่านพลังป้องกันที่นี่แข็งแรงที่สุดแล้ว” เมื่อเฮคเตอร์เป็นผู้ไขความกระจ่างนั้นให้ โซอีก็อ้าปากค้างอย่างยินดี แล้วเผยความต้องการออกมาทันที
“ไม่ทราบว่าที่นี่รับคนทำงานในครัวเพิ่มมั้ยคะ”
“หา...เดี๋ยวก่อน นี่เธอ...”
เฮคเตอร์ตกใจมากพอกับนายหญิงใหญ่ของบ้านที่อยู่ๆ โซอีก็ยกมือสมัครทำงานเอาดื้อๆ
“เอ่อ...คนครัวเราก็ไม่ได้ขาดแคลนอะไรจ้ะ”
ร่างของหญิงสาวลีบฟ่อลงทันทีเมื่อได้ยินคำตอบนั้น
“นั่นสินะคะ อยู่ๆ ก็พูดออกมาแบบนี้ ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจด้วยนะคะ”
“ไม่หรอกจ้ะ อย่าคิดมากเลย เราไม่ได้ขาดคนครัวหรือคนงานก็จริง แต่ถ้าหนูโซอีอยากจะมาพักที่นี่ชั่วคราวเราก็ยินดีต้อนรับในฐานะแขกนะจ๊ะ”
โซอีอมยิ้มกว้าง ในขณะเฮคเตอร์ยังอึ้งไปเมื่ออยู่ๆ ท่านแม่ของเคนเซย์ก็รับมุกยัยเปี๊ยกนี่ไปด้วยเสียอย่างนั้น
“มะ...มาอยู่ได้จริงๆ เหรอคะ”
“ได้อยู่แล้ว บ้านเรายังมีห้องว่างอีกตั้งเยอะแยะ ม่านพลังป้องกันก็แน่นหนา คนในตระกูลก็เป็นนักปราบวิญญาณกันทั้งนั้น รับรองว่าปลอดภัยแน่นอน”
“เอาไว้ผมจะลองปรึกษาทางหัวหน้าหน่วยของเราดูก่อนนะครับ”
ตกดึกคืนนั้น ขณะที่เคนเซย์กำลังจะหลับตานอนด้วยความเหนื่อยล้า อยู่ๆ ใบหน้าของใครคนหนึ่งก็โผล่มายืนที่ด้านบนของฟูกเหนือศีรษะให้สะดุ้งตกใจเล่นๆ
“นี่นาย...โผล่มาดีๆ ก็ได้ทำไมต้องทำให้ตกใจด้วยฟะ”
เคนเซย์เปลี่ยนร่างเข้าโหมดมิติวิญญาณแล้วลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับหันไปดุวิญญาณของทิมซึ่งกำลังยืนหัวเราะ
“มีเรื่องขอให้นายช่วยสักหน่อย”
เคนเซย์ทำหน้าเหม็นเบื่อแล้วทำท่าจะล้มตัวลงนอนทันที
“ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะไปแล้วล่ะ”
คุณชายของบ้านลุกพรวดขึ้นมานั่งอีกครั้งเมื่อได้ฟัง
“นายจะไปไหน”
“ไปตามทางที่วิญญาณควรจะไป นายบอกเองนี่ว่ายังมีอีกขั้นหนึ่งเบื้องหลังโลกของวิญญาณ คนเราต้องชดใช้กรรมดีชั่วของตัวเองก่อนใช่มั้ย ถึงกลับไปเวียนว่ายตายเกิดในระบบใหม่ ฉันก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรไว้เยอะแยะนะ อาจจะได้มาเกิดใหม่เร็วๆ นี้ก็ได้”
“ดะ...เดี๋ยวก่อนนะทิม นายจะไปโดยไม่บอกเฟย์นะแบบนี้น่ะเหรอ”
“บอกสิ ฉันถึงต้องมาขอให้นายช่วยไง เฟย์นะยังใช้พลังเข้าโหมดวิญญาณไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ เราถึงยังคุยกันไม่ได้”
“จะให้ฉันไปเป็นล่ามให้บอกพวกนายบอกรักเพื่อล่ำลากันเนี่ยนะ”
“นอกจากนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้วนี่ นายบอกเองว่าเฟย์นะอาจจะต้องฝึกเป็นปี กว่าจะถึงตอนนั้นวิญญาณฉันก็สลายไปก่อนพอดี”
“นายถึงต้องไปนั่งว่างๆ เซ็งๆ ในป้ายวิญญาณในห้องนั้นไงล่ะ เพื่อรอวันนั้นไง หรือต่อให้คุยกันไม่ได้พวกนายก็ยังไปหากันมองเห็นกันได้นี่นา”
“ถ้าฉันยังอยู่กับเฟย์นะตลอดเวลา แล้วเมื่อไหร่เธอจะเปิดใจให้นายได้ซะทีล่ะ”
“เฮ้... ขนาดเป็นวิญญาณแล้วคิดจะทำเท่ไปถึงไหนกัน ฉันไม่ได้ต้องการให้นายมาเห็นใจขนาดนั้นหรอกนะ”
“ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าทำเพื่อนาย โทษทีที่ต้องบอกแบบนี้นะ แต่มีแค่พวกเราสองคนเท่านั้นแหละที่รู้กันดีว่าเราสำคัญต่อกันและกันมากแค่ไหน ฉันไม่อยากโผล่ออกมาไปให้เธอเห็นบ่อยๆ เพราะเฟย์นะจะไม่มีทางหยุดร้องไห้ หรือใช้ชีวิตก้าวไปต่อได้ถ้าฉันยังอยู่ตรงนี้ หลายวันมานี้ฉันได้คุยกับท่านเจ้าบ้านของนายมากมาย ฉันเห็นอะไรหลายอย่างที่ทำให้ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าฉันตายไปจากโลกของพวกนายแล้ว เพราะฉะนั้น...เคนเซย์ แค่ครั้งสุดท้ายนี้เท่านั้น ช่วยฉันหน่อยจะได้มั้ย”
เคนเซย์ได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่ แม้จะทำท่ารำคาญใจแต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากที่นอนแต่โดยดี
เสียงเคาะประตูห้องนอนที่ดังขึ้นทำเอาเฟย์นะรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา วันนี้เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวต้องนอนคนเดียวในห้องนี้ เพราะพ่อของเธอที่กลับไปทำงานต้องสะสางงานที่กองค้างจนเลิกดึกดื่น เฟย์นะจึงบอกให้บิดากลับไปนอนที่บ้านตัวเองซึ่งใกล้กว่า เพราะเธอเองก็หายดีแล้วไม่ได้ต้องการการดูแลอะไรเป็นพิเศษ
ยิ่งเมื่อเสียงที่บอกกล่าวด้านหลังประตูเป็นเสียงของเคนเซย์ด้วยแล้ว เฟย์นะก็ยิ่งอยากแกล้งหลับไม่อยากเปิดไปใหญ่
“ทิมมาหาเธอน่ะ ฉันแค่มาเป็นล่ามให้ชั่วคราว”
แต่แล้ว เมื่อได้ยินประโยคนั้นเฟย์นะก็ลุกจากที่นอนพุ่งไปเปิดประตูออกในทันที ตั้งตื่นฟื้นขึ้นมาครั้งแรกแล้วเจอทิม จากนั้นเฟย์นะก็ไม่เห็นเขาอีกเลย
ร่างโปร่งใสของแฟนหนุ่มที่คิดถึงตลอดเวลาอยู่ตรงหน้านี้แล้วจริงๆ เฟย์นะยังคงเผลอยกมือขึ้นจะกอดเขาและร่างกายของเธอก็ทะลุผ่านร่างอันว่างเปล่านั้นไปเช่นเคย
“อยากร้องไห้ก็ร้องให้พอใจ... เอ่อ...ทิมฝากบอกมาแบบนั้น”
เฟย์นะหันใบหน้าที่นองด้วยน้ำตาไปยังเคนเซย์ เขากำลังเดินไปนั่งบนโซฟาหันหลังให้พวกเธอ จริงสินะ...ก่อนหน้านี้เขาก็เคยบอกว่าได้คุยกับทิมและสอบถามเรื่องราวคร่าวๆ มาแล้ว
“ต้องทำยังไงฉันถึงจะคุยกับเขาแบบนายได้”
“ก็อย่างที่บอกไป เธอต้องฝึกพลังเข้าโหมดมิติวิญญาณให้ได้ก่อน ยิ่งทำได้เร็วก็จะยิ่งคุยกันได้เร็วขึ้นเท่านั้น”
“แล้วฉันต้องฝึกนานแค่ไหนกว่าจะทำได้แบบนั้น”
“สามเดือน ครึ่งปี หนึ่งปี แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน แต่เท่าที่เคยได้ยินมาไม่มีใครน้อยกว่าสามเดือน”
“แล้ววิญญาณของทิมจะอยู่แบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน”
“......ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในสภาพไหนด้วย ถ้ายอมทนเบื่ออยู่ในป้ายวิญญาณในห้องเก็บพลังวิญญาณดีๆ ไม่ออกมาเพ่นพ่านแบบนี้ก็อาจจะอยู่จนรอเธอได้ ถ้ายังเดินไปเดินมาแบบนี้เรื่อยๆ น่าจะทนได้สุดๆ อีกไม่กี่วัน”
“กลับไปอยู่ในป้ายนะ นายบอกให้เขากลับไปเลย แล้วบอกว่าฉันจะรีบตั้งใจฝึกให้เร็วที่สุดแล้วจะไปหาเขาเอง”
ทิมมองหน้าแฟนสาวแล้วเขาก็เข้าใจเธอดี สุดท้ายก่อนจะจากไปนี้ เขาเองก็อยากพบ อยากพูดคุยกับเธอตรงๆ อีกสักครั้งเหมือนกัน
“ไม่มีหนทางอื่นๆ ที่จะทำให้ฉันคุยกับเฟย์นะได้จริงๆ เหรอ”
ทิมหันไปถามเคนเซย์ที่นั่งหันหลังอยู่ที่โซฟา ชายหนุ่มเจ้าของห้องได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่แล้วหันกลับมามองทั้งคู่ แต่เมื่ออยู่ๆ นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาก็แช่งตัวเองในใจว่าไม่น่าหันไปมองแต่แรกเลย
แต่ว่า...หากนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ อย่างน้อยนี่ก็คงเป็นสิ่งสุดท้ายแล้วที่เขาจะทำเพื่อสองคนนี้ได้
“อันที่จริงก็พอจะมีอยู่นะ” เฟย์นะเบิกตากว้างขึ้น ก่อนจะวิ่งไปคุกเข่าขอร้องเคนเซย์ในทันที
“ได้โปรดเถอะนะ บอกพวกเราด้วย ต่อให้ต้องทำอะไรฉันก็จะทำทุกอย่างเลย”
เคนเซย์รีบลุกขึ้นจากโซฟาถอยห่างออกมาเมื่อเห็นเฟย์นะทำถึงขนาดนั้น
“ลุกขึ้นก่อนเฟย์นะ เธอไม่ต้องทำอะไรหรอก ทิมต่างหากที่ต้องทำ ฉันขอคุยกับเขาแป๊ปนึง”
เคนเซย์หันไปมองที่ทิมอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังที่สุดในรอบวัน
“บอกไว้ก่อนเลยนะ ฉันไม่แนะนำวิธีนี้เด็ดขาดแค่บอกว่ามันน่าจะทำได้เท่านั้น ฉันจะยอมให้นายสิงฉันชั่วคราว”
“สิง...สิงนายน่ะเหรอ สิงคนนี่มันทำยังไง”
“โดยปกติแล้วฉันเป็นคนที่มีพลังวิญญาณสูงมาก วิญญาณธรรมดาอย่างนายที่เพิ่งตายไม่มีพลังพอจะสิงฉันได้หรอก แต่มันก็ไม่เกี่ยวกันถ้าฉันเป็นคนยินยอมให้นายสิงเอง ก็แค่เดินมาเข้าร่างฉันเท่านั้นแหละนอกนั้นจะเตรียมการไว้ให้”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากเคนเซย์ ขอบคุณนายจริงๆ”
“ฟังให้จบก่อนค่อยตัดสินใจ บอกก่อนเลยนะ การสิงเป็นเรื่องผิดกฎธรรมชาติ มันก็เหมือนการละเมิดกฎที่จะต้องมีบทลงโทษนั่นแหละ ทันทีที่นายเริ่มสิงมนุษย์วิญญาณของนายจะเริ่มมีจุดปนเปื้อนสีดำ แล้วมันจะค่อยๆ ลุกลามขยายไปเรื่อยๆ จนแก้ไขอะไรไม่ได้ถ้านายยังไม่ยอมหยุดการสิงนั้น สุดท้ายนายก็จะกลายเป็นดิคเคนส์ไป การสิงมันยังมีช่วงเวลาและตัวแปรอื่นๆ ให้จุดสีดำนั้นเบาบางได้ ไม่เหมือนการดูดพลังชีวิตมนุษย์ที่เป็นการผิดกฎที่แรงที่สุด แบบนั้นวิญญาณนายจะกลายเป็นสีดำในทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น ถ้านายตัดสินใจจะสิงฉัน ตอนที่นายออกจากร่างฉันเมื่อไหร่ฉันจะส่งนายไปโลกหน้าทันที เพื่อป้องกันไม่ให้จุดสีดำนั้นลุกลามไปมากกว่านั้น ไม่งั้นกรรมชั่วทางวิญญาณของนายอาจจะหนักขึ้น”
“ตกลง” ทิมตอบกลับมาแทบจะในทันที
“ก่อนตอบช่วยคิดให้มันดีๆ ก่อนได้มั้ย คิดน่ะ”
“ไหนๆ ฉันก็ตั้งใจไปต่ออยู่แล้วไม่เห็นต้องคิดมากเลย ถ้ามีหนทางที่จะทำอะไรสักอย่างได้ เป็นนายก็คงทำเหมือนฉันนี่แหละ”
เคนเซย์ได้แต่ถอนใจอีกรอบเมื่อได้ฟัง ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหรอก เพราะเป็นเขาเขาก็ทำเหมือนกันจริงๆ นั่นแหละ เคนเซย์หันไปมองนาฬิกาแขวนในห้อง ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
“นายมีเวลาประมาณหกชั่วโมง อย่าให้เกินนั้น ฟ้าเริ่มสว่างเมื่อไหร่ก็รีบออกมา ถ้าช้าเกินกว่านั้นต่อให้นายไม่ยอมออก พลังสลายวิญญาณในตัวฉันจะผลักวิญญาณนายที่เริ่มมีจุดสีดำลุกลามออกมาเอง ต่อจากนั้นก็...”
“เข้าใจแล้ว หยุดพล่ามซะที ฉันจะทำตามอย่างเคร่งครัดตกลงไหม จะเริ่มได้รึยัง”
เคนเซย์หันไปบอกเฟย์นะคร่าวๆ ว่าจากนี้พวกเขาทั้งสองจะทำอะไร และไม่รอให้หญิงสาวได้เอ่ยปากห้ามปรามอะไร เคนเซย์ก็ส่งสัญญาณทิมให้ลงมือทันที
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเฟย์นะอย่างชัดเจน ร่างวิญญาณของทิมวิ่งเข้าไปอยู่ในร่างของเคนเซย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ราวกับโลกรอบตัวหญิงสาวหยุดหมุนไปชั่วขณะ จนกระทั่งเมื่อร่างตัวแทนลืมตาขึ้นมา
“เสียดายจัง สุดท้ายก็อดแอบไปจดทะเบียนสมรสเลย”
ข้อความที่เฟย์นะมั่นใจว่ามีแต่เพียงเธอกับเขาเท่านั้นที่รู้ หญิงสาววิ่งกระโดดเข้ากอดชายหนุ่มคนตรงหน้าทันที
แม้ทิมจะขัดใจนิดหน่อยที่เจ้าบ้านั่นคงจะได้กำไร หากเขายกมือกอดเฟย์นะหรือทำอะไรเธอภายใต้ร่างนี้เข้า แต่ก็เอาเถอะ เขาเองก็อยากกอดเธอแล้วเหลือเกิน เสียงร้องไห้ของเฟย์นะดังระงม เมื่ออยู่กับทิมแล้วเฟย์นะไม่เคยอดกลั้นความรู้สึกใดๆ
ทิมพาเฟย์นะเดินไปนั่งเล่นที่ระเบียงไม้นอกห้องนอน หยิบผ้าห่มผืนหนามาห่มร่างทั้งสองที่เฟย์นะอยู่ในอ้อมกอดของทิมจากด้านหลัง สองคนคุยเรื่องสัพเพเหระย้อนอดีตไปมากมาย มีทั้งเรื่องชวนให้หัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน
“ฉันรักเธอเฟย์นะ เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าฉันคงหลงรักเธอตั้งแต่สมัยเรายังร้องอ้อแอ้ใส่กัน”
เฟย์นะที่นอนหลับตาซบอยู่บนอกของแฟนหนุ่มได้แต่ยิ้มกว้าง ลองจินตนาการเป็นภาพแล้วมันช่างน่ารักเหลือเกิน
“ฉันก็รักทิม รักที่สุด... รักจนคงจะรักคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว”
“......ฉันตายแล้ว หลังออกจากร่างนี้ฉันจะไปแล้ว ฉันมาลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย อ่า ก่อนไปคงจะต้องไปหาพ่อกับแม่ก่อนสักหน่อยด้วย”
หญิงสาวกุมมือของเขาไว้แน่นแล้วยกมือนั้นมาแนบที่ริมฝีปาก
“คงอีกไม่นาน รอเวลาสักวันให้พ่อไปก่อน แล้วฉันจะตามทุกคนไป”
“ไม่ต้องรีบหรอก ฉันจะรอเธออยู่อีกโลกหนึ่งแน่นอน ฉันรู้ว่าเธอรักฉัน และรักมากพอที่จะไม่ยอมเปิดใจให้ใครอื่นอีกถ้าฉันยังวนเวียนอยู่แบบนี้ต่อไป เฟย์นะ... ไม่ต้องฝืนพยายามลืมฉันหรอก ก็แค่เก็บมันเอาสักแห่งในใจก็พอแล้ว เธอเป็นคนใจกว้าง เชื่อเถอะ ว่าสักวันความพยายามของใครบางคนจะทำให้พื้นที่ตรงนั้นเต็มขึ้นมาใหม่ได้”
เฟย์นะไม่ตอบ เธอเพียงหลับตากุมเสื้อเขาไว้แน่นไม่อยากให้เสี้ยวเวลานี้ขยับเดินไปข้างหน้าอีกแล้ว
ที่ขอบฟ้าเริ่มเห็นแสงสว่างทอขึ้นรำไร ทิมในร่างเคนเซย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นแล้วอุ้มร่างของเฟย์นะกลับเข้าไปในห้อง ก่อนจะวางหญิงสาวไว้บนฟูกนอนหนานุ่มอย่างเบามือที่สุด
“ฉันดีใจมากๆ มีความสุขมากๆ ที่เราได้ใช้เวลาร่วมกันมากมาย ถึงจะเสียดายที่ทุกอย่างต้องหยุดตรงนี้ แต่เท่านี้มันก็มากเกินพอแล้วจริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะเฟย์นะ ลาก่อน...”
ทิมก้มลงจูบหญิงสาวที่หลับตาอยู่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของเคนเซย์จะเกิดแสงสว่างวาบพุ่งออกจากตัว
“จะแข็งทื่ออยู่ท่านั้นไปนานถึงเมื่อไหร่ ฉันโผล่ออกจากร่างแกแล้ว ไอ้คนฉวยโอกาส”
เสียงของทิมดังขึ้นจากด้านหลังจนเคนเซย์เงยหน้าขึ้นมา แทนที่จะมามีเวลาถกเถียงกันแต่เคนเซย์มีสิ่งอื่นให้ต้องรีบทำกว่านั้นมาก เมื่อเขาเริ่มมองเห็นจุดสีดำในร่างของทิมชัดเจน
“มีอะไรอยากจะสั่งเสียอีกมั้ย”
“ขอแวบกลับบ้านสักหน่อยแล้วค่อยไปได้มั้ย”
“ได้ ฉันจะให้ผู้นำนางพากลับบ้านก่อนไปส่งในที่ที่ควรไป”
“ขอบคุณ”
“ขอโทษนะ ฉันคิดว่าอันที่จริงฉันอาจจะตั้งใจแย่งแฟนนายมาด้วยวีนี้”
ทิมเพียงหัวเราะยิ้มกว้าง เอ่ยคำสุดท้ายไว้ก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหายไปพร้อมกับแสงจากฟ้าที่สาดส่องลงมา
“ไอ้บ้า ถ้าเป็นฉันฉันก็ทำแบบนี้เหมือนกัน ฝากทุกอย่างไว้ที่นายด้วยนะ...เพื่อน”