ตอนที่แล้วตอนที่ 20 พัฒนาการ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 22 แสงสว่างจากดวงประทีป

ตอนที่ 21 ประมุขเสวี่ย


ตอนที่ 21 ประมุขเสวี่ย

 

ตั้งแต่เด็กแล้ว...ที่เหอไป๋เทียนมักได้ยินเรื่องเล่าถึงคุณงามความดีและความสามารถอันเก่งกาจของของหลานซิ่นหลิงมาจากปากของบิดาของตนบ่อยๆ และเขาเองก็มักจะสงสัยอยู่เสมอว่าคนเก่งเช่นนั้นจะมีภาพลักษณ์เป็นเช่นไร

พอเห็นว่าภายนอกของหลานซิ่นหลิงเป็นเช่นนี้จะบอกว่าผิดจากที่คิดไว้ นั่นคงจะเป็นอะไรที่ใกล้เคียงที่สุด

ทว่า...

เหอไป๋เทียนมองภาพการทำลายล้างตรงหน้าแล้วได้แต่ทึ่ง ปากแทบอ้าค้าง พะงาบๆ เป็นปลาน้อยขาดน้ำ เขาแทบไม่ทำอะไรสักอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างหลานซิ่นหลิงเพียงคนเดียว...ไม่สิ แค่มือขวาข้างเดียวก็ควบคุมได้จนเกือบหมด และทั้งหมดนั้นทำให้เหอไป๋เทียนเข้าใจในทันทีว่าทำไมคน ๆ นี้ถึงได้รับการขนานนามจนกลายเป็นตำนาน!

แต่ต่อให้หลานซิ่นหลิงจัดการไปมากเท่าไร ศัตรูก็ไม่มีทีท่าว่าจะหมดไปสักที

“ผู้อาวุโสหลานขอรับ” เหอไป๋เทียนเอ่ยพึมพำออกมาระหว่างถอยหลังตั้งท่าป้องกันภัย น้ำแข็งจากพลังของหานหลิ่งเริ่มเกาะที่ฝ่ามือของเขาแล้ว

“ดูเหมือนว่าจะ มากันไม่จบสิ้นเลยนะขอรับ”

เหอไป๋เทียนชักเริ่มกังวล จำนวนมากขนาดนี้ เขากลัวว่าจะมีหลุดรอดสายตาแล้วกระจายไปยังน่านน้ำต่างๆ

หลานซิ่นหลิงเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เหอไป๋เทียนกล่าว เขานิ่งไปเล็กน้อยมีสีหน้าที่กำลังครุ่นคิด เขารู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้มันก็ไม่ต่างจากการเสียเวลาเปล่า ปราบมากเท่าใดก็จะกลับขึ้นมามากเท่าเท่านั้น...ควรหาอะไรสักอย่างที่จัดการได้ง่ายและรวดเร็วกว่าการปล่อยพลังซัด

อะไรบางอย่างที่ไม่ต้องเปลืองแรง...

“ท่านสามารถดึงพลังของกระบี่เล่มนั้นได้มากขนาดไหนขอรับ?” หลานซิ่นหลิงเอ่ยเสียงสุภาพ แม้ร่วมสู้ด้วยกันไม่นาน แต่เขาก็พอรู้สึกได้ว่าพลังของกระบี่เล่มนั้นโดนกดเอาไว้ ให้ผู้เป็นนายใช้ได้ไม่เต็มที่เท่าไรนัก ดวงตาสีดำเหลือบมองน้ำแข็งที่เกาะมือเหอไป๋เทียนเล็กน้อย พลางวาดมือกลางอากาศเป็นลักษณะคล้ายกับอักขระของคาถาสร้างอาณาเขต

“ก็...ข้าคิดว่าไม่ได้มากสักเท่าไรนักขอรับ” เหอไป๋เทียนตอบตามตรง

“เช่นนั้น...ข้าควรถามใหม่” หลานซิ่นหลิงเอ่ย ต่อให้สุภาพสักเท่าใด แต่ความนิ่งสงบโดยธรรมชาตินั้นก็ทำให้เหอไป๋เทียนยิ้มด้วยไปด้วยหน้าแห้งไปด้วย เกร็งอย่างถึงที่สุด เป็นความนิ่งที่ต่างจากหงเกอ...เหอไป๋เทียนคิดว่าคนๆ นี้มีความน่ายำเกรงอย่างบอกไม่ถูก

เข้าใจหงเกอแล้วขอรับ! คนๆ นี้น่ากลัวเป็นบ้าเลยขอรับ!

“ท่านลองดึงความสามารถของกระบี่เล่มนี้เท่าที่พอจะทำไหวได้ไหมขอรับ?” หลานซิ่นหลิงเอ่ยถามอีกครั้ง แค่หันมองมาเหอไป๋เทียนก็ยืดตัวขึ้นตรง แล้วพยักหน้ารับทันทีอย่างรวดเร็ว

หลานซิ่นหลิงขยับตัวออกเล็กน้อย เขาค่อยๆ เดินไปด้านหลังของเหอไป๋เทียน เพื่อให้เห็นว่าเบื้องของเด็กชายตอนนี้มีอักขระแสงที่เขาวาดเมื่อครู่ลอยอยู่บนอากาศ

“เพ่งมองไปยังอักขระนั้น แล้วดึงพลังทั้งหมดเท่าที่ทำได้ไปยังจุดนั้นขอรับ”

ต่อให้ไม่เข้าใจสิ่งที่หลานซิ่นหลิงพูดแต่เขาก็ลงมือทำ เด็กชายหลับตาลง พยายามที่จะดึงพลังของหานหลิ่งออกมาเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แต่กระนั้นแล้วความชาจากมือข้างขวาก็ทำให้ตนเสียสมาธิ ความเจ็บปวดแล่นแปล่บเข้าสู่ประสาทสัมผัสเร็ว ราวกับถูกของแหลมเสียดเข้าเนื้อ

“ใช้ใจตัวเอง ใช้พลังที่เป็นจุดเด่นของท่าน ทำความเข้าใจกับมัน” หลานซิ่นหลิงเอ่ยระหว่างมองเหอไป๋เทียน

เมื่อลองทำตามสิ่งที่หลานซิ่นหลิงสอน ตั้งสมาธิให้มั่น ให้พลังของตัวเองตอบรับกับหานหลิ่ง เมื่อลองทำเช่นนั้นพลังของเขาก็ค่อยๆ หลอมรวมกับกระบี่ แม้จะเพียงทีละนิด ละน้อย แต่ก็กลมกลืนกว่าเมื่อก่อน พยายามเข้าใจถึงแก่นของมัน ไม่ใช่แค่สักแต่ใช้...ไม่ใช่แค่เพียงอ้อนวอนขอพลัง แต่เขาต้องใช้ใจตัวเองในการเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของกระบี่เล่มนี้

“ในที่สุดก็เข้าใจแล้วรึ...”

เหอไป๋เทียนชะงัก เขารู้สึกราวกับได้ยินเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นในหัว แต่ก่อนจะได้ตกใจ พลังของหานหลิ่งก็ถูกปล่อยออกไป มันปะทะเข้ากลับอักขระที่หลานซิ่นหลิงวาดอย่างรวดเร็ว!

น่าแปลกใจ ที่พอหลังจากซัดพลังเมื่อครู่นี้ออกไป มือขวาของเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว

ทันใดนั้นเอง มวลไอเย็นที่หนาแน่นก็ก่อตัวขึ้นมาเป็นหมอกหนา เกล็ดน้ำแข็งค่อยๆ รวมตัวกลายเป็นม่านน้ำแข็งที่แข็งแกร่ง กินอาณาเขตเป็นบริเวณกว้าง มันแช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวรวมถึงสาหร่ายหัวผี พอมันเข้าใกล้พลังที่เหอไป๋เทียนสร้าง มันก็กลายเป็นน้ำแข็งและสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว

ม่านป้องกันผสานกับพลังน้ำแข็งได้อย่างลงตัว มันกลายเป็นอาณาเขตที่อันตรายพร้อมที่จะแช่แข็งผู้รุกรานเข้ามาใกล้

“ท่านทำได้ดีขอรับ” หลานซิ่นหลิงกล่าวชม ดวงตาสีดำทอดมองสาหร่ายหัวผีที่โดนแช่แข็งและตายไปเองโดยไม่ต้องทำอะไร ลมหายใจบางเบาค่อยๆ ถอนออกมา โชคดีที่ทฤษฏีที่ตนคาดคะเนนั้นใช้การได้

“โปรดจดจำ และนำสิ่งที่ทำในวันนี้ไปใช้ในคราวหลังนะขอรับ” เขาค่อยๆ สอนอีกฝ่าย ต่อให้ออกมานอกรั้วสำนัก ก็ยังคงวางมาดเป็นอาจารย์ไม่เปลี่ยน

เหอไป๋เทียนมองคนด้านข้าง เด็กชายพยักหน้ารับ เขาตั้งใจฟังและทำตาม เข้าใจในตอนนั้นว่าทำไมหลานซิ่นหลิงถึงได้เป็นอาจารย์ที่ได้รับความเคารพจากศิษย์เสวี่ยรวมถึงศิษย์ต่างสำนักมากมายนัก ต่อให้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาก็ยังมองคนออกและสั่งสอนส่วนที่ขาดหาย สมกับเป็นอาจารย์ที่น่านับถือ

หลานซิ่นหลิงมองเด็กชายก็พาให้คิดถึงใครบางคนสมัยเด็ก เขาพยักหน้าเบาๆ สีหน้าจับอารมณ์ยากเกินกว่าที่จะบอกว่าจริง ๆ ก็เอ็นดูเหอไป๋เทียนอยู่ไม่ใช่น้อย

พลันชายหนุ่มก็ชะงักไป เขาดันเหอไปเทียนไปด้านหลัง รู้สึกถึงพลังมืดบางอย่างคละคลุ้งอย่างไม่มีสัญญาณบอกกล่าว

ซ้ำพลังมืดนั้นเป็นพลังที่เขาคุ้นเคยดี!

แต่แล้ว ยังไม่ทันที่หลานซิ่นหลิงจะได้ทำอะไร สาหร่ายหัวผีนั้นก็เริ่มมีปฏิกริยาประหลาด!

ไม่สิ ไม่ใช่มันที่ผิดปกติ แต่เป็น ‘หัวที่ติดอยู่’ กับตัวสาหร่ายหัวผีพวกนั้นต่างหาก

หัวที่ทั้งเพิ่งตายไปก็ดี ใกล้เน่าแล้วก็ดี หรือแม้แต่กลายเป็นกะโหลกแล้วก็ดี ซากศพเหล่านั้นเบิกตาขึ้นกว้าง ปากอ้าออก ขากรรไกรขยับกัดรัวๆ จนฟันที่ยังพอจะหลงเหลืออยู่ในปากกระทบส่งเสียงดังกึกๆ พวกมันเริ่มกัดกินตัวสาหร่ายหัวผี ทั้งดึง ทั้งกระชาก ฉีกเส้นสายสีดำแกมเขียวออกอย่างรวดเร็วราวทั้งหิวโหย ทั้งบ้าคลั่ง เป็นภาพที่ไม่น่ามองเป็นอย่างมาก

ซ้ำไม่ใช่เกิดขึ้นแค่กับตัวเดียว แต่เป็นกับสาหร่ายหัวผี ทุกตัว ที่อยู่ในบริเวณนั้นทั้งหมด ไม่นานนักพวกมันก็ถูกกัดจนกลายเป็นซากชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่วงลงสู่แม่น้ำไปจนหมด

เหอไป๋เทียนที่ไม่เคยเห็นภาพเหล่านั้นมาก่อนก็ตกใจ ขาเริ่มอ่อนแรงจนหลานซิ่นหลิงจึงรีบอุ้มเหอไป๋เทียนขึ้นมา เขาไม่ฟังแม้แต่เสียงร้องประท้วงด้วยความตกใจของเด็กชาย ดวงตาสีดำมองดุจนอีกฝ่ายต้องเงียบกริบ ก่อนรีบใช้วิชา ท่องกระบี่แล้วเหินอากาศพุ่งตัวไปยังทิศนั้นด้วยความรวดเร็วทันที

เขารู้ได้ทันทีว่าใครกันที่สามารถใช้วิชาควบคุณศพได้เช่นนี้

นอกจากเป็นศิษย์เอกแล้ว ยังเป็นศิษย์จอมก่อเรื่องไม่เคยเปลี่ยน

 

เสวี่ยหงเยว่ยังคงไร้สติ

แม้ร่างของเขาจะขึ้นมาจากน้ำแล้วก็ตาม แต่เสวี่ยหงเยว่ที่กำลังปลดปล่อยพลังบางอย่างออกมาไม่ยอมหยุดนั้นกลับไม่สามารถฝืนให้ตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมา

พาให้คนมองนั้นหงุดหงิด

เพี๊ยะ!!

นั่นคือเสียงของฝ่ามือที่หวดไปตบหน้าของเสวี่ยหงเยว่อย่างรวดเร็วและรุนแรง เรียกสติที่หายไปของชายหนุ่มให้กลับคืนมาแทบจะทันที เสวี่ยหงเยว่รีบลุกขึ้นดวงตาสีแดงมองซ้าย มองขวา และไปรอบๆ ตัวเองอย่างเลิกลัก

เพราะสิ่งที่เห็นในตอนนี้นั้น คือตัวเขานอนอยู่กึ่งกลางโดมแสงขนาดใหญ่ กินพื้นที่เหนือน้ำเป็นวงกว้างซ้ำยังถูกสาหร่ายพันโดมเอาไว้ราวกับเป็นหมูท่ามกลางสาหร่ายห่อไม่มีผิด

เชี่ยอะไรวะเนี่ย!!

“กำลังคิดอยู่เชียว ว่าหากเจ้าไม่ตื่นอีกทีนี้ ข้าจะเปลี่ยนจากใช้อวัยวะส่วนบนตบเป็นส่วนล่างถีบ...” เสียงหนึ่งดังแว่วมาจากด้านหลัง พร้อมกับร่างของชายสวมชุดปักไหม โพกปิดหน้าเหลือแค่ตาอย่างคนเมืองชุมชมแถบยอดเขา เสวี่ยหงเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ถอยออกมาอย่างไม่มั่นใจว่าคนตรงหน้านั้นเป็นมิตรหรือศัตรู

หน้าก็มองไม่ชัด ทำสีหน้าแบบไหนก็ไม่รู้ เกิดไม่ใช่มิตรขึ้นมาจะทำยังไง

“ท่าทางแบบนั้น...ข้าเจ็บปวดนะ” เสียงบีบเล็กแล้วหัวเราะคิกคัก

“ประมุขเสวี่ย...ลืมข้าไปแล้วหรือขอรับ”

“เจ้าคือใคร...” เสวี่ยหงเยว่ถามเสียงนิ่ง...ก่อนที่จะนิ่งไป...ใช่...นิ่งไปแล้ว

เดี๋ยวนะ เมื่อกี้มันเรียกตูว่าอะไรนะ!

เมื่อจับหน้าจับเสื้อผ้าก็พบว่าเปียกไปหมด ซ้ำเมื่อมองเส้นผมของตัวเอง แล้วดวงตาสีแดงก็ถึงกับเบิกกว้างออกมาด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด

สีขาว...

ความรู้สึกฉิบหายแล้วถึงกับลอยอัดกลางแสกหน้าของเสวี่ยหงเยว่เมื่อเขาพบว่าสีย้อมที่ใช้ย้อมผมของตัวเองลอกออกมา!!

เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหงเยว่นิ่งไปแล้วชายคนนั้นก็หลุดขำออกมาเบาๆ เขาค่อยๆ ปลดผ้าคลุมหน้าของตนออก เผยให้เห็นถึงใบหน้าที่แท้จริงของตน

ซึ่งเป็นใบหน้าที่เสวี่ยหงเยว่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก

“เอาล่ะ ก่อนที่จะตกใจไปมากกว่านี้....” ชายคนนั้นเอามือชี้ที่อกตัวเอง คล้ายจะสื่อถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เสวี่ยหงเยว่ค่อยๆ เอามือแตะออกตัวเอง ความรู้สึกร้อนวูบทำให้เขาสะดุ้ง รีบดึงสร้อยที่ตนใช้คล้องคอออกมา ทันที

เพราะบางอย่างที่อยู่ในล็อคเกตนั้นกำลังเปล่งแสงออกมา!

เพราะสิ่งที่เขาใส่ในล็อคเกตนี้ก็คืออัญมณีสีดำที่ขโมยมาจากถ้ำใต้น้ำตกนั่นเอง!

เสวี่ยหงเยว่กำมือแน่นเข้า เขาพอรู้แล้วว่าการที่พลังในร่างกายของเขาปั่นป่วนเมื่อครู่นี้ คงเกิดจากอัญมณีกำลังมีปฏิกริยาตอบสนองกับอันตรายที่เกิดขึ้นกับตัวของเขาอยู่

“เจ้าต้องขอบคุณมันนะ” ชายคนนั้นก้าวออกมาก่อนจะยื่นมือไปด้านหน้า เหลียวหลังมองเสวี่ยหงเยว่เล็กน้อยพร้อมกับยิ้มยิงฟังให้อย่างน่ารัก

...ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วล่ะก็นะ

“หลังจากนี้ข้าจะคลายม่านนี้ออกแล้ว เจ้าน่ะต้องช่วยเหลือตัวเองแล้วล่ะ”

มือของชายคนนั้นค่อยๆ ดูดพลังจากโดมแสงนั้นเข้ามา แสงสว่างค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดไปพร้อมกับ..

กับ...

ชายคนนั้นปล่อยพลังใส่ไปทางด้านหน้าอย่างเต็มแรงจนบอสสาหร่ายหัวผีแตกกระจาย!

พื้นแสงค่อยๆ ขยับ สูงขึ้นจากผิวน้ำเรื่อย ๆ จนในตอนนี้ลอยอยู่บนฟ้า ที่เท้าของทั้งสองคนในตอนนี้มีพลังบางงานใสสะอาดอย่างคอยลอยโอบอุ้มให้ได้ยืนแทนพื้น

“ซิ่นหลิงจะมาในอีกไม่นานนี้ ข้าคิดว่าเจ้าควรรีบจัดการกับเจ้าพวกนั้น....” ชายคนนั้นพูดจบก็กระโดดลงไปด้านล่างและหายไปทางทิศหนึ่งอย่างรวดเร็ว โดยทิ้งให้เสวี่ยหงเยว่ยืนอยู่บนพื้นแสงนั้นอยู่คนเดียว

เสวี่ยหงเยว่ถึงกับทำหน้าเครียดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่ใช่ความว้าวุ่น หรือกังวลที่ตัวเองโดนทิ้งให้รับมืออยู่คนเดียว แต่เขาเครียดก็เพราะพอก้มลงมองไปยังด้านล่างแล้วก็ดันเจอกับอะไรที่มันสุดจะบรรยายให้เห็นอยู่เนี่ยแหละ

เพราะในตอนนี้...สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเขาอยู่ตอนนี้

ก็คือภาพของสาหร่ายหัวผีที่กำลังโดนหัวศพกัดกินไม่เป็นซาก! โคตรเป็นแมทซ์ที่สมน้ำสมเนื้อ!

เสวี่ยหงเยว่เห็นได้ถึงการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่านดุจดังศึกวันทรงชัย ระหว่างหัวไร้ร่าง vs. สาหร่ายหัวผี ต่อหน้าต่อตา เขาแทบอยากกรีดร้องว่าเวรแล้วไง แต่ก็ไม่ทันแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก ต่อให้เขาพอจะรู้ว่าตัวเองเป็นคนปลุกศพพวกนั้นมาเพราะอัญมณีมีปฏิกริยาก็ตามที

เสวี่ยหงเยว่เหงื่อแตกพราก ในเวลานี้ไม่ควรเอาแต่ดู เขาต้องจัดการเรื่องตอนนี้ก่อนมันจะบานปลาย ทว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากอะไรก่อน ถึงเคยปลุกศพมาเดินได้แต่ตอนนั้นมีแค่บิดาของเขาแค่ตนเดียว ไม่ใช่หัวศพแถมจำนวนระดับเกือบเป็นน้อง ๆ กองทัพ ชวนอุทานว่า what the fuxx เช่นนี้

ตามตำราที่เคยอ่านมา การควบคุมศพในจำนวนมากระดับทัพจะต้องมีสื่อกลางในการใช้ช่วยสื่อสารระหว่างพลังของผู้ใช้กับศพ

ไอเท็มวิเศษ? คทา? หนังสือคัมภีร์? เครื่องดนตรี? ใกล้ตัวเขาตอนนี้ไม่มีอะไรสักอย่างที่สามารถใช้เป็นสื่อระหว่างพลังของเขากับศพพวกนั้นได้เลยแม้แต่น้อย

ที่เหลือก็มีแค่...

เสียงเพลงค่อยๆ ดังออกมาอย่างเชื่องช้า เสวี่ยหงเยว่จับจ้องภาพที่อยู่เบื้องหน้าเขาลองเลียนแบบวิธีการนิยายที่เคยอ่านมา ตามนิยายแนวแฟนตาซีหรือกำลังภายในที่เคยอ่ายโดยมากวิชาคุมทัพศพมักจะใช้เสียงดนตรีเป็นสื่อกลางด้วยกันทั้งนั้น

แต่ตอนนี้เขาไร้เครื่องดนตรี สิ่งที่พอจะทำใช้เป็นสื่อการในการใช้พลังนี้ได้ก็คือเสียงของตัวเองเท่านั้น

กราบเรียนรุ่นพี่ตัวร้ายหรือบทอะไรก็ตามที่มีความสามารถในการควบคุมทัพศพ จะบอกว่าผมเป็นมนุษย์ขี้ลอกก็ได้ แต่ผมขอก็อปวิธีหน่อยเถอะ คิดหาหาหนทางไม่ออกแล้วจริงๆ !

สายลมเบาบางพัดผ่านเส้นผมสีขาว พาให้พลิ้วไหวไปคล้ายไปตามท่วงทำเพลงที่เสวี่ยหงเยว่ฮัมบทเพลง

และหัวศพพวกนั้นก็เชื่อฟังเขาโดยง่ายทันที...

 

เหอไป๋เทียนได้ยินถึงเสียงเพลงที่ลอยล่องมาตามลม ซ้ำยังเมื่อหัวศพพวกนั้นได้ยินเสียง มันก็หยุดอาละวาด แล้วกัดกินสาหร่ายหัวผีอย่างเป็นระเบียบ (?) มากขึ้น ทำให้รู้เอาเดี๋ยวนั้นว่าผู้บังคับคงได้ใช้เสียงเพลงนี้เป็นสื่อกลางในการควบคุม

เด็กชายเพิ่งเคยเห็นคนใช้วิชานี้เป็นครั้งแรก ทั้งตื่นตาตื่นใจ และรู้สึกสลดหดหู่เช่นกัน เพราะศพพวกนั้นถูกควบคุมให้ทำตามคำสั่งโดยใครบางคนโดนไม่ทันได้ถามถึงความยินยอมอะไร

แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดความคิด เมื่อหลานซิ่นหลิงวางจนเกือบเรียกได้ว่าทิ้งเหอไป๋เทียนลงกับแม่น้ำ ซึ่งในตอนแรกเด็กชายเหวอ ตกใจเพราะถึงว่าจะจม

ทว่าไม่ใช่ น่าแปลกใจนักแทนที่เขาจะจมลงกลับสามารถยืนได้ ราวกับว่ามีใครใช้พลังปูทางรอไว้ให้ก่อนแล้ว หลานซิ่นหลิงค่อยๆ ทิ้งตัวเองลงยืนกับพื้นน้ำ คล้ายเหอไป๋เทียนได้ยินคนอายุมากกว่าพึมพำอะไรบางอย่าง พร้อมกับทำสีหน้าเหนื่อยหนาระอาใจออกมา

"อาณาเขตถูกกางเอาไว้กั้นเอาไว้ พวกเราคงไม่อาจจะเข้าไปได้ขอรับ"

เหอไป๋เทียนได้แต่ทำหน้าฉงนนัก เพราะม่านป้องกันทำให้เขามองสิ่งที่เห็นด้านในอาณาเขตไม่ชัดเจนนัก จะเกิดอะไรบ้างเขาจับต้นชนปลายไม่ถูก ดวงตาสีทองมองไปรอบๆ คล้ายจะมองหาหงเกอว่ากำลังทำอะไรอยู่ในนั้น ทว่ากลับมองไม่เห็น

และเมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน...

ก็เห็นถึงภาพของชายผมขาวผมขาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนอากาศ ขับกล่อมบทเพลงให้ซาพศพไร้หัวเชื่อฟังอยู่ในอาณัติ...

เหอไป๋เทียนไม่อาจมองเห็นได้ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร เนื่องจากระยะห่างของความสูงที่อีกฝ่ายยืนอยู่นั้นมีมาก ซ้ำจุดที่ตนยืนอยู่ยังเห็นได้เพียงแค่แผ่นหลังเท่านั้น ต่อให้เพ่งมองเช่นไรก็ก็ไม่อาจจะมองเห็นใบหน้านั้นได้อย่างชัดเจน

แต่เขาก็พอรู้...ต่อให้ไม่เคยได้พบหน้ากันเลยก็ตาม

สายเลือดของเสวี่ยนั้นจะมีจุดเด่นคือเส้นผมสีขาวราวกับหิมะ

คนๆ นั้น...

คือประมุขเสวี่ย...

 

เสวี่ยหงเยว่ค่อยๆ หยุดการควบคุมลงเมื่อเห็นว่าศพหัวพวกนั้นจัดการกับสาหร่ายหัวผีไปจนหมดแล้ว ชายหนุ่มทอดสายตามองไปรอบๆ เห็นถึงซากของความวุ่นวาย ซากสาหร่าย ซากศพที่เริ่มหมดสภาพ ค่อยๆ ล้มลงกลับกายเป็นหัวนิ่งๆ ธรรมดาอีกครั้ง

เขาคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว...

ทันใดนั้นเองพื้นแสงที่เขายืนอยู่ก็หายไป เสวี่ยหงเยว่ร่วงลงสู่พื้นน้ำด้านล่างอย่างรวดเร็ว เขาดำผุดดำว่ายจากน้ำคลานขึ้นมานั่งหอบบนฝั่ง กอสาหร่ายหรือก็พันหัวไปหมด จนกระทั้งมือหนึ่งช่วยดึงเขาไว้ให้มานั่งข้างๆ ได้อย่างปลอดภัยซึ่งคนนั้นก็คือชายในชุดพื้นเมืองนั้นนั่นเอง

เสวี่ยหงเยว่นึกอยากจะด่าก็ด่าไม่ออก ต่อให้ทำตัวน่าหมั่นไส้ใส่สักแค่ไหนแค่ตัวมันก็ช่วยเขาเอาไว้เยอะอยู่พอควร เลยระบายอารมณ์ด้วยการแงะซากสาหร่ายออกจากหัว พลางคิดหนักว่าจะทำอย่างไรต่อ ตอนที่ควบคุมศพเขาเห็นเหอไป๋เทียนอยู่แว้บๆ นอกม่านป้องกัน ถ้าม่านคลายเมื่อไรคงได้มาเห็นเขาสภาพหัวขาวนี่แน่นๆ

“เอ้า...” ชายคนนั้นพูดจบก็เอาผ้าโผกหัวของตนมาพันๆ หัวให้กับเสวี่ยหงเยว่ เส้นผมสีขาวนั้นถูกเก็บเข้าไปในผ้าโผกจนหมด เรียกได้ว่าเรียกร้อย ไม่มีเหลือซึ่งความหัวหงอก

“วิชาแปลงกายซ่อนผมอย่างไรเล่า...”

พูดออกมาพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไม่สนสีหน้าคู่สนทนาแม้แต่น้อย

“เจ้าติดหนี้ข้าหลายคราแล้วนะ เสวี่ยหงเยว่”

เสวี่ยหงเยว่กลอกตา แม้อยากจะกระทุ้งศอกใส่สักเท่าไร แต่เขาก็ต้องทำตัวสงบ เพราะตนติดหนี้ค้างอีกฝ่ายไว้เยอะจริงๆ อย่างที่ว่ามานั่นแหละ

“ข้าจะคลายอาณาเขตแล้วนะ...” ชายคนนั้นกล่าว แล้วก็ดีดนิ้วเบาๆ ให้ม่านอาณาเขตคลายตัวลง พร้อมกับที่ได้วิ่งหายไปยังทิศหนึ่งอย่างรวดเร็ว

เป็นไปดังคาด เหอไป๋เทียนและหลานซิ่นหลิงรีบเข้ามาหาอย่างรวดเร็วทันทีที่บรรยากาศเริ่มคลายตัว เด็กชายดูจะจับไม่ได้ เขาแค่ถามว่าทำไมถึงเอาผ้ามาโพกหัวแล้วประมุขเสวี่ยหายไปไหน ซึ่งเสวี่ยหงเยว่ทำได้แต่ยิ้ม บอกว่าตัวเองเปียกเลยขอผ้ามาคลุมหัวกับประมุขเสวี่ยนั้นพอเสร็จภารกิจก็ขอตัวทันทีเพราะต้องไปจัดการงานอื่น ๆ ต่อจากนี้

ไม่รู้ว่าจะเชื่อหรือเปล่าแต่ก็เป็นคำแก้ต่างที่ดีที่สุดเท่าที่คิดออกมาแล้ว

เมื่อคิดว่าทุกอย่างกำลังจะจบและตั้งใจจะเดินทางกลับที่พักอยู่นั้นเอง พวกเขาก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นสาหร่ายกอหนึ่งบนพื้นเริ่มขยับตัว!

ทว่าพอตั้งท่าพร้อมสู้แล้วพวกเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียง 'อู๊ด!!' อย่างเกี้ยวกราดดังขึ้น พร้อมกับที่เจ้าก้อนจิ๋วนั้นสลัดรัวๆ จนสาหร่ายหลุดกระเด็น

เจ้าเสี่ยวจูนั่นเอง...

หมูจิ๋วส่งเสียงอู๊ดๆ กระทืบขาหน้าลงพื้นรัวๆ ใส่ คล้ายโมโหที่ทิ้งมันไว้ เหอไป๋เทียนเลยรีบอุ้มขึ้นมาโอ๋ ตบๆ สีข้างแล้วง้อด้วยการบอกว่าเดี๋ยวจะหาอะไรอร่อยๆ ให้กินนะ ภาพที่เห็นทำให้เสวี่ยหงเยว่ถอนใจอย่างโล่งอก เพราะนึกว่าจะพลัดหลงกับมันเสียแล้ว

พลันนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงจำนวนคนหมู่มากกำลังเดินทางมา ตัดสินใจเอาได้เดี๋ยวนั้นว่านั่นคือเจ้าหน้าที่ประจำเมืองนั่นเอง

ออกมาตอนจบ สมกับเป็นบทเจ้าพนักงาน ไม่ว่านิยายเรื่องใดก็เหมือนกัน ทำงานตรงบทกันดีจริงๆ Thank you three time

ทำให้พวกเขาต้องรีบหนี ก่อนที่เจ้าหน้าที่ในเมืองจะมาถึงจุดที่พวกเขาอยู่

เสวี่ยหงเยว่ก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วออกตัวใส่เกียร์หมาหนีทันที กลับไปถึงห้องเขาจะไม่ทำอะไรเลยนอกจากนอน ตอนนี้เขาเหนื่อยกับคืนนี้มากเกินกว่าจะทำอะไรต่อแล้ว

พรุ่งนี้...ต้องโดนงานกระจาดใหญ่สาดใส่จนคอหักแน่ๆ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด