ตอนที่แล้วตอนที่ 20: ฉันไม่ได้อยากฆ่านาย!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 22: บรอธ ผู้สนับสนุน (?)

ตอนที่ 21: บอกใบ้


ตอนที่ 21: บอกใบ้

มูนนี่กัดฟันแน่น เปิดเปลือกตาขึ้นจ้องเฮเซคียาห์ซึ่งโน้มใบหน้าลงไปหา เฮเซคียาห์ชะงัก มือทั้งคู่ของเขาค่อยๆ ปล่อยไหล่ของมูนนี่ เพราะเขารู้ตัวว่า การเขย่ากายของอีกฝ่ายที่บาดเจ็บอยู่ มันไปสร้างความเจ็บปวดให้เพิ่มขึ้นอีก มือของเขาข้างหนึ่งเลื่อนลงไปแตะตรงสีข้างของมูนนี่แทน เลือดของมูนนี่เลอะขึ้นมาเต็มปลายนิ้ว

 

“ฉัน... ฉันไม่อยากให้นายตาย” เฮเซคียาห์ร้อนใจ มองแผลและมองหน้าของอีกฝ่าย

 

เขานึกถึงเมเดียน จึงเหลียวไปมองหา เมเดียนกำลังเดินมาจากทางสุสาน เดินมาอย่างเชื่องช้าและไว้ท่า ยากจะบอกได้ถึงแผนการในใจของเมเดียน

 

“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมาได้ยินมัสตินบอกกับฉันว่า ไม่อยากให้ฉันตาย” มูนนี่หัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ฉันตายไปแล้วหรือเปล่านะ มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อพวกแกฆ่ามนุษย์ได้อย่างไม่ปรานี ไม่เคยเห็นชีวิตของพวกเรามีค่า”

 

“ฉันไม่คิดว่าฉันเป็นมัสตินอีกแล้ว เพราะอย่างที่นายเห็น ฉันสูญเสียเอกลักษณ์ทางกายภาพและความสามารถของเผ่าพันธุ์ไป”

 

“พูดแบบนี้ก็ยิ่งชัด แกเป็นมัสตินจริงๆ” มูนนี่กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง เขาทำท่าจะพยุงร่างกายลุกขึ้น แต่ทำไม่ไหว เลือดจากช่องท้องไหลออกมาทางสีข้างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด

 

เฮเซคียาห์เม้มปาก กระสับกระส่าย เขารู้ดีว่ามูนนี่เสียเลือดไปมาก เพนดูลัมบาดเข้าไปลึก ไม่แน่ว่าอวัยวะอื่นๆ ด้านในอาจได้รับบาดเจ็บด้วย

 

“เธอน่าจะดีใจนะที่ได้รับเกียรติเป็นเพื่อนของมัสติน พวกเขาไม่ให้เกียรติแบบนี้กับมนุษย์มานานแล้ว” เมเดียนมายืนด้านข้างเฮเซคียาห์

 

เฮเซคียาห์วางท่านิ่งแต่จริงๆ เตรียมพร้อมอยู่ในทีหากต้องต่อสู้กับเมเดียน แม้ว่าบรอธได้ส่งเสียงเข้ามาในหัวเขาและรายงานแล้วว่าเมเดียนไม่มีเจตนาร้ายกับพวกเขาทั้งสองคน

 

“ฉันจะบอกความจริงเธอนะมูนนี่ เพื่อนเธอดูคล้ายชาวมัสตินที่ภายนอก แต่เขาก็ไม่ใช่ชาวมัสติน ความคิดของเธอน่ะผิด ส่วนที่คีห์พูดน่ะ ถูกแล้ว” เมเดียนทรุดกายลงนั่งข้างเฮเซคียาห์ “แต่ฉันไม่เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขาหรอกนะ แต่เพราะว่าตอนนี้เขาแตกต่างไปจากที่เคย เขาก็เลยถูกอัปเปหิออกมาจากกลุ่ม เขาไม่มีที่ไป แต่เศวตศาสตราเลือกเขา ดังนั้น ว่ากันโดยทฤษฎีแล้ว เพราะเขามีเศวตศาสตราอยู่ เธอควรนับเขาเป็นมนุษย์เหมือนกับเธอ”

 

“บรอธเป็นเศวตศาสตรา? แน่เหรอ?” มูนนี่มองหน้าเมเดียน และครางออกมา หน้านิ่ว

 

เมเดียนหันไปอีกทางและทำเสียงนกร้อง ฟอร์สทีนเดินตามพื้นอย่างเร็ว ตรงเข้ามาหามูนนี่

 

เฮเซคียาห์รีบยื่นมือออกมาและส่งเสียงขู่นก แต่เมเดียนยึดมือของเฮเซคียาห์เอาไว้และขู่เขากลับด้วยเสียงนก เฮเซคียาห์เกิดสะกิดใจบางอย่าง เขานิ่ง และปล่อยให้ฟอร์สทีนเดินผ่านหน้า มองมันยกเท้าข้างหนึ่งแตะเข้าที่สีข้างของมูนนี่

 

น้ำแข็งปรากฏขึ้นเคลือบบริเวณบาดแผลไว้ มูนนี่สั่นไปทั้งร่าง คงทั้งเจ็บและหนาวเย็น

 

“คุณทำอะไร” ปากของมูนนี่ขยับ ริมฝีปากแห้งเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว

 

“เมื่อนานมาแล้วในดาวบรรพบุรุษของชาวมัสติน ตอนที่พวกเขายังไม่วิวัฒนาการจนฟื้นฟูตัวเองได้ พวกชาวบ้านชาวมัสตินรู้ว่าไอเย็นของวิหคเหมันต์ข่วยปิดแผลฉกรรจ์และห้ามเลือดได้ดีกว่าไฟ” เมเดียนทราบประวัติศาสตร์ข้อนี้เหมือนกับเฮเซคียาห์

 

ฟันของมูนนี่กระทบกัน คงรู้สึกหนาวเย็นเพราะอุณหภูมิร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว

 

“ฉันจะพาเธอออกจากที่นี่ ส่วนเธอ คีห์ อยู่ที่นี่ รอฉันกลับมา” เมเดียนหันมามองเฮเซคียาห์

 

“คุณตั้งใจจะทำอะไรกับเขา” เฮเซคียาห์ทำสีหน้าเอาเรื่อง กำหมัด พร้อมจะชกหน้าอีกฝ่ายถ้าคำตอบที่ได้ไม่น่าพึงพอใจ

 

“ในเซนต์กิลเจน มีผู้ใช้เศวตศาสตราที่มีความสามารถในการรักษา”

 

เมเดียนก้มตัวลง และช้อนร่างของมูนนี่ยกไว้ในอ้อมแขนราวกับมูนนี่เบาไม่ต่างจากขนนก

 

“เดี๋ยวก่อน...” เฮเซคียาห์ต้องการไปด้วย

 

“รออยู่ที่นี่ ฉันพาไปได้แค่คนเดียว” เมเดียนหันมามองเฮเซคียาห์แล้วหมุนตัวจะบินจากไป

 

เฮเซคียาห์ขยับอย่างรวดเร็ว ฉวยข้อเท้าเขาเอาไว้ได้

 

“ปล่อย! ถ้ายังชักช้า เพื่อนเธอจะตายจริงๆ”

 

“มูนนี่...” เฮเซคียาห์ไม่สนใจเมเดียน “รอฉันที่กระท่อม ฉันรู้เรื่องน้องชายของนาย เขายังไม่ตาย”

 

เฮเซคียาห์ปล่อยมือออกจากข้อเท้าของเมเดียน

 

“อะไรนะ?” เสียงของมูนนี่แว่วมาเข้าหู ยืนยันให้เฮเซคียาห์โล่งใจว่าอีกฝ่ายได้ยินเสียงของเขา

 

“ถ้านายอยากรู้เรื่องของน้องชายนาย นายต้องรอฉันอยู่ที่กระท่อม” เฮเซคียาห์ป้องปาก ตะโกนไล่ตามหลังเมเดียนที่ออกบินไปยังอีกด้านของป่าอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

เฮเซคียาห์นั่งรอเมเดียนอยู่ข้างสุสานจนรอบข้างมืดลง และเขาต้องแปลกใจเมื่อหลังท้องฟ้ามืดลงสักประมาณครึ่งชั่วโมง ป้ายหลุมศพของเอเทรัสกลับเรืองแสงขึ้น เช่นเดียวกับรอบข้างที่สว่างไปทั่ว เพราะลูกไฟเล็กๆ ลอยขึ้นจากพื้น มือของเฮเซคียาห์ยื่นออกไปแตะเข้ากับลูกไฟที่เห็น และพบว่ามันสามารถแตกได้เหมือนฟองสบู่

 

เขาลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ มองไปรอบด้าน เท้าพลาดไปเตะวีวี่ที่บรอธปล่อยทิ้งไว้บนพื้นข้างเท้าเขา ส่วนบรอธหลบเท้าเขาไปได้อย่างฉิวเฉียด

 

เฮเซคียาห์ถอนหายใจ ก้มลงจะยื่นมือไปแตะวีวี่ แต่แล้วชะงัก เพราะไม่แน่ใจว่าถ้าแตะต้องแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

 

“นายเก็บวีวี่ไว้ด้านในตัวนายตลอดได้ไหม ฉันกลัวลืม เราต้องเอามันไปคืนมูนนี่”

 

บรอธลอยลงมาและทำตามคำร้องของเฮเซคียาห์ ตัวของมันจึงขยายขนาดขึ้นเล็กน้อยเพราะมีวีวี่อยู่ด้านใน

 

“คีห์!” เสียงของเมเดียนดังมา

 

เฮเซคียาห์เงยหน้า และมองไปทางที่เคยเห็นเมเดียนบินกลับไปพร้อมกับมูนนี่ แต่ไม่เห็นวี่แวว เมื่อเสียงของเมเดียนเรียกเขาอีกครั้ง เฮเซคียาห์เอะใจว่ามาจากป่า ทางทิศทางที่เขาใช้เดินมาจากจุดเทเลพอร์ต เขามองไปทางด้านนั้นแล้วเห็นเมเดียนกำลังเดินมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายหลังในมือ

 

“เป็นยังไงบ้าง” เฮเซคียาห์เปิดปากถามเมื่ออีกฝ่ายเดินมาใกล้และปลดกระเป๋าสะพายหลังลงวางกับพื้น “มูนนี่...”

 

“ปลอดภัยดี ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเหลืออยู่”

 

“เขายังอยู่ที่กระท่อมไหม”

 

“อยู่สิ เธอบอกเขาให้รอไม่ใช่เหรอ”

 

“แล้วคุณกลับมา คุณต้องการอะไร” เฮเซคียาห์รุกอีกฝ่าย กำหมัดแน่น ตอนแรกระหว่างที่รอ ใจของเขาสงบลง แต่พอได้เห็นหน้าเมเดียนแล้ว ตอนนี้เขานึกอยากซัดหน้าของอีกฝ่ายสักหมัด “บอกตรงๆ ผมโมโหกับเรื่องเมื่อตอนบ่าย คุณทำอะไรของคุณ คุณทำให้เรื่องทั้งหมดมันวุ่นวาย”

 

เขาเข้าถึงตัวของอีกฝ่ายได้ และคว้าคอเสื้อขึ้นมา

 

“ใจเย็นๆ นะ”

 

เมเดียนวางมือบนไหล่ของเฮเซคียาห์ แล้วบีบเบาๆ ก่อนเพิ่มแรงบีบมากขึ้นอีกจนเฮเซคียาห์อุทาน และรีบสะบัดไหล่ให้พ้นจากการกุมยึดไว้ของอีกฝ่าย เฮเซคียาห์ขยับไหล่ที่รู้สึกขัดๆ แล้วกัดฟันกรอด ความไม่พอใจในตัวเมเดียนยิ่งเพิ่มขึ้น

 

“ฉันเอาอาหารมาด้วย ซื้อมาจากหมู่บ้านเพราะฉันทำอาหารไม่เป็นเลย” เมเดียนยิ้มให้เฮเซคียาห์

 

สีหน้าของเขาไร้เดียงสา ราวกับไม่มีแผนการชั่วร้ายซ่อนอยู่

 

แต่เฮเซคียาห์ยังจำเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายตอนแฉเรื่องการฟื้นฟูร่างกายของเขาต่อหน้ามูนนี่

 

“คุณมาคุยกับผมให้รู้เรื่องก่อน ผมไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอาหารการกิน”

 

“แต่ฉันตะกละนะ ถ้าฉันไม่ได้กินอะไรก่อน ฉันจะคุยไม่รู้เรื่อง”

 

“เราต้องคุยกัน”

 

“เราต้องกินด้วยกันก่อน”

 

“คุณ!” เฮเซคียาห์ชกหมัดเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างเหลืออด

 

เมเดียนจับหมัดของเขาไว้ในมือเดียว

 

“ฉันบอกว่าเราต้องกินกันก่อน เราก็ต้องกินกันก่อน เข้าใจไหม” มือของเมเดียนออกแรงบีบหมัดของเฮเซคียาห์แน่น เสียงข้อกระดูกของเฮเซคียาห์เสียดสีกันดังเข้าหู เฮเซคียาห์ฝืนที่จะไม่หลับตาลง แต่ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาทำให้ร่างกายหลั่งหยาดน้ำตาซึมออกมาทางหางตา

 

เมื่อเมเดียนปล่อยมือของเฮเซคียาห์ ชายหนุ่มสะบัดเร่าๆ และสูดหายใจเข้าเป็นห้วงๆ

 

“เอาล่ะ...” เมเดียนเอาผ้ารองนั่งปิกนิกมาปูพื้น แล้วขนเอากล่องอาหารออกมาวาง

 

เมเดียนโยนกิ่งของพืชชนิดหนึ่งที่ไส้ในของมันหลังลอกเปลือกสามารถใช้เป็นเจลล้างมือ มายังปลายเท้าของเฮเซคียาห์ ส่วนตัวเขาถูมือ เริ่มลงมือรับประทานอาหารตรงหน้าก่อนโดยไม่สนใจเฮเซคียาห์ ทางด้านเฮเซคียาห์จะประท้วงไม่ยอมแตะต้องอาหาร แต่บรอธเตือนเขาให้รับประทานไปด้วย ไม่อย่างนั้นเขาอาจหิวไส้กิ่ว เพราะไม่แน่ว่าเขาอาจต้องค้างอยู่ในป่านี้ทั้งคืนกับเมเดียน

 

“อา-หร่อย-มั้ย” เมเดียนถามทั้งที่อาหารเต็มปาก เล็บสีดำยาวของเขาดูเหมือนทำให้เขาทุลักทุเลเล็กน้อยในการรับประทานอาหาร

 

เฮเซคียาห์ค่อยๆ หยิบแซนวิสชิ้นหนึ่งมากัด รสชาติงั้นๆ สำหรับเขา

 

“คุณนี่ เห็นแก่กินชะมัด” เขาบ่นสิ่งที่คิดในใจออกมา

 

“ก็นะ ฉันอยู่คนเดียว แล้วทำอาหารไม่ค่อยอร่อย”

 

เฮเซคียาห์พยักหน้าอย่างขอไปที เขานึกถึงตอนแรกที่ออกมาร่อนเร่พเนจรอยู่ในป่า เขาเองทำอาหารไม่เป็นเลย ไม่เคยทำ พอฆ่าสัตว์มา ก็เอามาทำอย่างลวกๆ รสชาติแย่ๆ เทียบกับสมัยนี้แล้ว ฝีมือการทำอาหารของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก

 

“ฉันน่ะ อยู่คนเดียวมานานแล้ว แต่ว่าไม่มีความสามารถด้านนี้เลย หลังจากเมียตาย ลูกบางคนของฉันในตอนนั้นยังเล็กไป ฉันไม่ยอมให้ไปอยู่ในเมืองหลวงที่เขตการปกครองที่ 1 ก็ต้องถึงกับไปหามนุษย์มาช่วยเรื่องอาหารการกิน แล้วก็ลูกคนเล็กของฉันด้วย ตอนนั้นฉันต้องหาแม่นมมาให้ ฉันก็เอาพวกมนุษย์มาช่วย”

 

เฮเซคียาห์มีคำถาม แต่เขาไม่ถาม เขาไม่อยากใส่ใจเมเดียนนัก เมเดียนเคยจะเป็นจะตายอย่างไร มันไม่น่าจะสำคัญอะไรกับชีวิตของเขา

 

“จริงๆ ฉันไม่อยากให้พวกเขากลับเข้าไปในสังคมชาวมัสตินหรอก แต่พวกเขาเหมือนชาวมัสตินมาก ฉันรู้ดีว่าปล่อยให้พวกเขากลับไปเข้าพวกกับชาวมัสตินจะดีกับพวกเขาที่สุด”

 

“ก็แน่ล่ะนะ”

 

“เธอไม่มีคำถามเลยหรือไง เช่นว่าลูกฉันเป็นเลือดผสมแต่กลับเข้าไปในสังคมชาวมัสตินได้ยังไง” เมเดียนถามคำถามที่อยู่ในใจของเฮเซคียาห์

 

“ขอโทษ ผมอิ่มแล้ว” เฮเซคียาห์ลดมือไปเช็ดกับผ้าปูปิกนิก มองไปทางอื่น

 

“เด็กคนนี้นี่นะ เธอไม่อยากรู้เหรอ ฉันกำลังเล่าบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับเธออยู่นะ” เมเดียนเขย่าขาไก่อันใหญ่ที่อยู่ในมือไปมา ริมฝีปากของเขาเห็นได้ชัดว่ามันหน่อยๆ

 

“อะไรล่ะ พูดมาเลยดีกว่า” เฮเซคียาห์รำคาญ

 

“ลูกฉันน่ะ ตอนที่พวกเขาเกิด พวกเขาเหมือนชาวมัสตินก็จริงแต่ว่าผิวไม่เรืองแสงเหมือนกับชาวมัสตินทั่วไป แต่ตอนที่พวกเขากลับมาหาฉัน หลังจากไปอยู่กับพวกมัสติน พวกเขากลับยิ่งดูเหมือนชาวมัสตินจริงๆ ผิวเรืองแสง แล้วก็แน่นอนล่ะว่าเพราะมีเศษไลฟ์ควอตซ์ฝังอยู่ในตัวแล้ว พวกเขาต่างใช้พลังธาตุได้” เมเดียนเอียงคอ สายตาลอยๆ ดูเหมือนเพราะสมองกำลังคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปนานแล้ว “แต่ออร่าของพวกเขา สิ่งที่ฉันเห็น พวกเขาไม่ได้เป็นชาวมัสตินไปเสียทั้งหมด หลานฉันต่างหากที่เป็นชาวมัสตินจริงๆ ไปแล้ว”

 

เมเดียนมองเฮเซคียาห์อย่างสงบ

 

“เธอแน่ใจนะว่าเธอเป็นมัสตินตั้งแต่เกิด เพราะอย่างที่ฉันเคยได้ยินมา เฮเซคียาห์ควรเป็นรัชทายาทที่ตายไปแล้ว แต่เธอกลับยังไม่ตาย เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเธอถูกเลี้ยงมาให้คิดว่าเป็นคนอื่น เธออาจจะเคยเป็นพวกลูกผสมมาก่อน แล้วพอเศวตศาสตราตื่นขึ้น เธอก็เลยกลับไปเป็นสภาพเดิมเหมือนเมื่อตอนแรกเกิด”

 

“ตอนคุณได้ยินข่าวว่าผมตาย ตอนนั้นผมน่าจะอายุเท่าไร” เฮเซคียาห์หันมาสนใจคุยกับเมเดียน

 

“2-3 ปีเท่านั้นเอง ฉันจำเลขอายุแน่นอนไม่ได้”

 

“ผมมีความทรงจำตั้งแต่อายุ 9 เดือนอยู่ ผมเห็นตัวเองเรืองแสงอยู่แต่แรก ยังไงผมก็เป็นชาวมัสตินแต่กำเนิด”

 

“งั้นมันก็แปลกจริงๆ นะ” เมเดียนกัดแทะกระดูกไก่ แล้วเขาก็โยนกระดูกที่แทะเสร็จแล้วลงในกล่องเปล่าตรงหน้า โคลงศีรษะไปมาพร้อมกับพึมพำคำเดิม

 

“เธอถูกปลูกฝังความคิดให้หรือเปล่า แบบว่า เอาความทรงจำของเฮเซคียาห์ตัวจริงมาใส่เอาไว้”

 

“คนรอบข้างผมจะทำแบบนั้นทำไม ให้ผมมาเป็นตัวแทนของรัชทายาทตัวจริงทำไม” เฮเซคียาห์หงุดหงิดกับความคิดของเมเดียนที่ดูเหมือนจะไปกันใหญ่ “นี่คุณจะฟุ้งไปอีกมากไหม ผมน่ะ ไลฟ์ควอตซ์ก็ให้การยอมรับในฐานะรัชทายาท ดังนั้นผมไม่มีทางเป็นตัวปลอม”

 

“แต่ไลฟ์ควอตซ์ในตอนนี้มีคำสั่งให้ประหารเธอนะ บางทีมันอาจจับได้แล้วว่ามีการเล่นตุกติก”

 

เฮเซคียาห์เม้มปาก

 

“มูนนี่...” เขาเปลี่ยนประเด็นไปยังคนในความสนใจ

 

“รายนั้นยังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่เขาไม่เล่าให้เพื่อนที่มาด้วยกันฟังนะว่าเกิดอะไรขึ้น ยัยหนูซาแมนต้ายังไม่รู้อะไรทั้งนั้นนอกจากพวกเธอทดลองสู้กันเองแล้วมูนนี่แพ้เธอเข้า แล้วฉันว่า ยังไงมูนนี่ก็ไม่ปากมากเล่าอะไรอีก”

 

เฮเซคียาห์สบายใจขึ้น เพราะเขาคาดเดาเอาเอง ว่าถ้ามูนนี่เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ซาแมนต้าฟัง ยายนั่นจะต้องด่าทอเขาให้ฟังดูชั่วร้ายขึ้นมาอีก ถ้ามูนนี่ไม่เล่าต่อ อย่างน้อยก็ไม่มีตัวเสี้ยมให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องเลวร้ายไปมากกว่านี้

 

“ฉันขำที่เธอคิดอะไรตื้นๆ ตอนแรกฉันคิดว่าเธอมีแผลสำรองนะรู้ไหมถึงจะสู้กับเขา พอเธอยอมแพ้ง่ายๆ เพราะกลัวแผลจะถูกเห็น ฉันนี่อดปากไม่ได้ ถือโอกาสนี้แฉเธอไป”

 

“ไม่ต้องแฉก็ได้นะ ผมบอกไปแล้วว่าไม่อยากให้เขารู้” เฮเซคียาห์อยากกระโจนใส่อีกฝ่าย และทำร้ายให้สาสมใจ

 

แต่เฮเซคียาห์ระงับโทสะของเขาไว้ก่อน คืนนี้ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง

 

“เธอควรขอบคุณฉัน ต่อแต่นี้ไป เธอกับเขาจะได้ไม่มีอะไรปิดบังกันแล้ว แล้วเธอได้เรียนรู้จากการต่อสู้ครั้งล่าสุดนี้ด้วยว่าเธอจะคิดเองเออเองไม่ได้แล้ว ว่าเธอแค่สะบัดเพนดูลัมไปๆ มาๆ อย่างที่เคยทำแล้วจะเอาชนะคนอื่นได้ ตอนนี้เพนดูลัมอาจเป็นข้อเสียเปรียบของเธอก็ได้ จะสะบัดมันออกไปก็ต้องคิดให้รอบคอบ”

 

“ได้เรียนรู้ก็ใช่ แต่ผมเสียเพื่อนไปเพราะคุณคนเดียว” เฮเซคียาห์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่องอาหารว่างเปล่ากล่องหนึ่ง และจงใจเหวี่ยงมันใส่เมเดียน

 

เมเดียนคว้าจับกล่องอาหารไว้อย่างรวดเร็ว ไม่โดนกระแทกเข้าไป

 

“ฉันคุยกับเขาไปแล้ว บอกว่าเธอถูกพวกเดียวกันไล่ล่าเพราะเปลี่ยนจากมัสตินมาเป็นมนุษย์”

 

“อะไรนะ พูดชัดเจนแบบนั้น” เฮเซคียาห์จะบ้าตาย

 

“อืม แล้วฉันก็โน้มน้าวเขาด้วยว่าเธอคงมีประโยชน์กับพวกมนุษย์บ้างล่ะ เพราะเธอเคยเป็นมัสตินมาก่อน” เมเดียนยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่มุมปากของเขา ครีมชีสสำหรับจิ้มแท่งขนมปังติดอยู่ เขาเอานิ้วโป้งตัวเองเข้าปากแล้วดูดเบาๆ ก่อนจะพูดต่อโดยไม่มองหน้าเฮเซคียาห์

 

“ให้ตายเถอะ ให้ตาย...” เฮเซคียาห์แทบจะเต้นพล่านเพราะความโกธาในตัวเมเดียน และความพลุ่งพล่านที่อยากแล่นไปคุยกับมูนนี่

 

“โว้ย! ก็แค่มนุษย์คนเดียว ทำไมผมวุ่นวายขนาดนี้”

 

“นั่นสิ” เมเดียนยังผสมโรงต่อ

 

เฮเซคียาห์ถลันเข้าไปหาอีกฝ่าย และหวดหมัดเข้าไปตรงๆ อย่างเหลืออด แต่เมเดียนจับหมัดเขาไว้ได้อีก และเหวี่ยงเขาออกไปห่างๆ

 

“เธอวาทศิลป์เก่งจะตาย หลอกให้เขารอเธออยู่ที่กระท่อม ระหว่างไปเจอเขาก็คิดไว้ จะพูดยังไงเพื่อรักษามิตรภาพไว้”

 

“เขาสูญเสียความไว้ใจที่ให้กับผมไปแล้ว”

 

“ก็ไม่แน่หรอกนะ” เมเดียนลุกขึ้น แล้วเขาเดินไปใกล้ป้ายหลุมศพ

 

หินหลุมศพเปลี่ยนเป็นสีขาว เช่นเดียวกับต้นไม้สูงตระหง่านถัดไปทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งมีภาพของเฮเซคียาห์และมูนนี่ตอนสู้กันปรากฏขึ้น แล้วภาพนั้นเคลื่อนไหวช้าลง มีการซูมเข้าไปให้เห็นมูนนี่ตอนที่ถลันเข้ามาหาเฮเซคียาห์พร้อมกับมีด

 

“เธอดูดีๆ นะ บรอธเองก็น่าจะรู้ มูนนี่ก็ไม่ได้ออกแรงเต็มที่ตั้งแต่แรก ช่วงแรกเขาก็ลังเลนิดๆ หน่อยๆ”

 

“...” เฮเซคียาห์มองบันทึกการต่อสู้ของเขากับมูนนี่

 

“มันน่าแปลกและมีน้ำหนักว่าเขาให้ความสำคัญกับเธอ เพราะเดิมมูนนี่เป็นผู้ใช้เศวตศาสตราที่คิดว่าการฆ่าพวกมัสตินเป็นหน้าที่ เขาถูกฝึกมาอย่างเข้มงวดตั้งแต่ก่อนเศวตศาสตราจะตื่นขึ้นภายใต้องค์กรใหญ่แห่งหนึ่ง และมีผลงานโดดเด่นในช่วงอายุ 15-18 ปี” เมเดียนทราบประวัติของมูนนี่ในส่วนที่มูนนี่ไม่เคยเล่าให้เฮเซคียาห์ฟัง

 

“เขาเคยบอกผมว่าเขาไม่อยากเข้าร่วมกองกำลังต่อต้าน จะยึดการทำอาชีพซีคเกอร์อย่างเดียว ใครจะไปนึกว่า...”

 

“เขาออกมาเป็นซีคเกอร์ทีหลัง มีข่าวลือกระฉ่อนว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี น้องชายของเขาหายตัวไป เขาพากลุ่มของตัวเองบุกรุกเข้าไปในสถานที่ราชการของชาวมัสติน แถวทะเลสาบมาซูเรียน เพื่อหาน้องของเขา คนทั้งกลุ่มตายหมด เหลือแค่เขาคนเดียวรอดมาได้ และเบื้องบนขององค์กรตำหนิเขาอย่างรุนแรง ต่อมาสไตส์การต่อสู้ของเขาในช่วงหลังๆ ค่อนข้างรุนแรงและหุนหัน ทีมที่ทำงานกับเขาช่วงหลังมักพลาดบ่อยๆ ตอนหลังเขาออกจากองค์กร มาเป็นซีคเกอร์ และไม่มีข่าวว่ากลับไปยุ่งกับงานสังหารพวกมัสตินอีก”

 

“เขาเล่าเกี่ยวกับตัวเองให้คุณฟังเหรอ”

 

“เปล่า ฉันแค่ไปถามๆ มา จนรู้ว่าเขาเป็นใคร”

 

“ถามใคร?”

 

“ก็ถามไปเรื่อยๆ ฉันรู้จักผู้ใช้เศวตศาสตราหลายคนที่พอหาข้อมูลมาเล่าต่อให้ฉันฟังได้”

 

“แววตาที่มองมา ท่าทางที่แสดงออกของเขา” เฮเซคียาห์ถอนหายใจแรง แล้วเงยหน้ามองไปบนภาพการต่อสู้ของพวกเขาที่ถูกบันทึกไว้และกำลังเล่นซ้ำโดยต้นสนซีคัวยาจัมโบ้ “เขาอาจลังเลอยู่บ้างแต่ก็แค่ตอนต้น หลังจากนั้นก็สู้มาเต็มที่ เขามีความแค้นมากมายซ่อนไว้ในใจรอสะสางกับเผ่าพันธุ์ของผม”

 

“พวกเธอแค่มาเกิดมาต่างกัน ในเผ่าพันธุ์ที่มองอีกฝ่ายต่างกัน” เมเดียนมองหน้าเฮเซคียาห์อย่างพินิจพิเคราะห์ “เธอเพิ่งเคยได้อยู่ใกล้ชิดมนุษย์ แล้วก็รู้ว่ามีมนุษย์ที่ไม่ได้แย่ซะทีเดียว แล้วมูนนี่ก็เหมือนกัน เขาก็เพิ่งเคยอยู่ใกล้อะไรแบบเธอ แล้วเธอก็ไม่ได้เลวร้าย พวกเธอทั้งคู่อาจจะยังพอคุยกันได้นะ ฉันไม่คิดว่ามิตรภาพของเธอแหลกสลายไปแล้วทั้งหมดหรอก”

 

“พูดปลอบใจเก่งนะ” เฮเซคียาห์เอ่ยเย้ยๆ เมเดียน และขณะเดียวกันก็หยันตัวเอง

 

“ลองคุยกับเพื่อนของเธอดูก่อน” เมเดียนแนะนำด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน วางตัวเป็นผู้ใหญ่ “ยกสิ่งดีๆ ที่เธอทำให้เขาได้มาพูด เธอรู้เรื่องน้องชายเขาก็บอกไป แล้วเวลาพูดให้ตระหนักด้วยว่า เธอต้องพูดกับเขาอย่างมนุษย์ ไม่ใช่ในฐานะคนจากเผ่าพันธุ์มัสติน”

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด