ตอนที่ 20 ดีดีกันไว้
ตอนที่ 20 ดีดีกันไว้
ลินจิตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางจึงตื่นแต่เช้า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยแตงกวาที่ฝานเป็นแว่นบาง ๆ ซึ่งใช้มาสก์หน้าตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อหันหน้าไปยังฟูกข้าง ๆ ก็พบว่าชุนยังไม่ตื่น เห็นใบหน้าหลับสบายของพ่อเสือ ลินจิก็ไม่อยากรบกวนจึงย่องออกจากห้องเบา ๆ
เหล่าคนใช้หนุ่มสาวตื่นทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ เห็นใบหน้าไม่คุ้นตาซึ่งเต็มไปด้วยลวดลายสีเขียวอ่อนปนแก่จึงเข้าใจผิดว่าเป็นปีศาจตุ๊กแก พวกเขาจึงรีบวิ่งไปคว้าข้าวสารปลุกเสกที่อยู่ใกล้ตัวปาใส่ปีศาจร้ายทันที
“เจ้าปีศาจคิดจะมาบุกรุกงั้นรึ”
“โอ๊ย!”
“ความชั่วร้ายจงหายไป”
“โอ๊ย! โอ๊ย!”
ลินจิยกแขนบัง ก้าวถอยหลัง ร้องอย่างเจ็บปวด ก่อนจะทรุดลงก้นกระแทกพื้น จากนั้นแผงแตงกวามาสก์หน้าก็หลุดล่อนเป็นแผ่นห้อยต่องแต่งอยู่ใต้คาง
เหล่าคนใช้เบิกตากว้าง อ้าปากหวอ หยุดชะงักทันที
“ท่านเทพ… อภัยให้ข้าด้วย ข้าคิดว่าเป็นปีศาจตุ๊กแก”
คนใช้หนุ่มเก็บข้าวสารในมือกลับใส่เข้าถุงผ้า ก่อนจะวางลงบนโต๊ะไม้เตรียมอาหาร จากนั้นก็วิ่งเร่เข้ามาคุกเข่าประคองร่างลินจิทางด้านซ้าย
“ว๊าย! ขอโทษค่า ข้าคิดว่าเป็นปีศาจชั่วช้าเข้ามาบุกรุก”
สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างเตาฟืนก็เข้ามาประคองร่างลินจิทางด้านขวาเช่นกัน
ลินจิเดาะลิ้นเสียงดัง แล้วดึงมือขวาออกอย่างไม่พอใจ ทำให้สาวใช้สะดุ้งตกใจ ยกมือปิดปากอย่างงุนงง
จากนั้นลินจิก็หันไปทางคนใช้หนุ่มหน้าตาดี ซึ่งมีคางแหลม หน้าได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน แม้ตาจะชั้นเดียวแต่คิ้วก็ดกดำ ผมสั้นตั้ง หน้าตาอินเทรนด์
“โอ๊ย! เจ็บจังลุกไม่ไหว ช่วยพยุงผมไปห้องน้ำหน่อยได้ไหมครับ”
ลินจิแสร้งโอดครวญทำทีบาดเจ็บ พลางเอนร่างไปซบอกของคนใช้หนุ่ม สาวใช้เห็นแบบนั้นก็แปลกใจ ไม่คิดว่าเทพเจ้าจะทำท่าทีสนิทสนมกับสามีของหล่อนได้ไวขนาดนี้
เธอเงยหน้ามองสามี ก่อนจะก้มลงมองเทพเจ้าอีกครั้ง
“เอ่อ… ท่านเทพคะ เดี๋ยวสามีของข้าต้องไปหาฟืน ให้ข้าช่วยพยุงท่านแทนไหมคะ”
ว่าแล้วเธอก็ยื่นมือ
ทันใดนั้นลินจิก็รีบหดมือกลับทันที ก่อนจะใช้สองแขนคล้องคอคนใช้หนุ่ม บอกอย่างดื้อรั้นว่า…
“ไม่เอา!”
“ข้าต้องไปหาฟืนเพิ่มจริง ๆ ขอรับ ไม้ในโรงเก็บฟืนใกล้จะหมดแล้ว”
คนใช้หนุ่มปิดตายิ้มเจื่อนอย่างลำบากใจ พลางยกแขนข้างหนึ่งพยายามแงะมือตุ๊กแกออก แต่ลินจิก็คว้าหมับกำมือคนใช้หนุ่มไว้แน่น พลางมองไปยังคนใช้สาว
“นี่! เธอน่ะ ไปหาฟืนได้แล้ว ช่วย ๆ สามีหน่อย”
เมื่อลินจิพูดเช่นนั้น สาวใช้ก็สะดุ้งตกใจ จากนั้นคนใช้หนุ่มก็ยิ้มแหยอธิบาย
“เอ่อ… ท่าน… คือ… ภรรยาของข้ากำลังตั้งครรภ์ขอรับ ให้ทำงานหนักแบบนั้นคงไม่ไหว”
ลินจิมองหน้าคนใช้หนุ่มกับคนใช้สาวสลับกัน จากนั้นก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วลุกขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่รู้ว่าคนใช้หนุ่มทำอะไรบางอย่างจนได้กลายเป็นพ่อคน จึงเดินปึงปังตรงไปยังห้องอาบน้ำ
“อ้าว! ท่านเทพหายดีแล้วหรือขอรับ”
คนใช้หนุ่มยื่นมือออกไปพลางตะโกนเรียก ส่วนสาวใช้ก็มองตามหลังเทพเจ้าตาปริบ ๆ
…
หลังจากกินอาหารเช้าที่บ้านของชายชรา ชุนและลินจิก็แสดงการขอบคุณก่อนมุ่งหน้าไปยัง ‘หุบเขารกกะ’ โดยมีชายชราและเหล่าคนใช้ออกมาส่งถึงปากทางออกของหมู่บ้าน
“ขอบคุณสำหรับอาหารและที่นอนมากนะครับ”
“ขอบคุณพวกท่านมาก”
ชุนค้อมศีรษะให้ ส่วนลินจิก็ยิ้มมุมปากพลางเหล่มองคนใช้หนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง
คนใช้หนุ่มเห็นสายตาของลินจิราวกับยักษ์มาร จึงก้มหน้าก่อนเดินไปหลบด้านหลังของชายชรา ขณะนั้นชุนก็เหล่ตามองลินจิเช่นเดียวกัน
ชายชราเม้มปากพยักหน้าอย่างยินดี ส่ายมือช้า ๆ ประมาณว่า ‘ไม่เป็นไร’ จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“หุบเขารกกะอยู่ทางตอนเหนือ อย่างไรพวกท่านก็ต้องผ่านสุสานเปี๊ยกโกะก่อน แบบนั้นจะไม่เป็นการย้อนไปย้อนมาหรือขอรับ”
เมื่อได้ยินชายชราถามเช่นนั้น ลินจิจึงกระตุกผ้าคลุมด้านหลังของชุนหนึ่งครั้ง แล้วเงยหน้าถาม
“เอายังไงดีครับคุณชุน”
“เจ้าว่ายังไงดีล่ะ”
ชุนก้มมองหน้าขาวที่กำลังย่นหน้าผาก ลินจิเหม่อมองไปยังป่าด้านข้างพลางกอดอกครุ่นคิด ก่อนจะหันกลับมาตอบ
“ไหน ๆ ก็ต้องผ่านสุสานอยู่แล้ว แวะก่อนสักหน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอกครับ หุบเขารกกะมีไอพิษรุนแรง ยังไงอุรามิก็เข้าไปไม่ได้หรอก”
ชุนขมวดคิ้ว แม้ตนจะรู้จัก ‘เอวิน’ แต่พลังของเอวินซึ่งถูกอุรามิควบคุมร่างอยู่นั้นแตกต่างไปจากเดิม
การต่อสู้กับอุรามิครั้งก่อน ทำให้ชุนทราบว่า พลังของอุรามิร้ายกาจยิ่งนัก ไม่แน่ควันพิษของหุบเขารกกะอาจจะไม่มีผลกับอุรามิก็เป็นได้ ถ้าฝ่ายนั้นสามารถปลดผนึกเพกัสได้ก่อนพวกตน อาจนำไปสู่หายนะครั้งใหญ่ อีกทั้งศัตรูเป็นประเภทที่ฆ่าไม่ตาย ซึ่งทำให้ชุนสงสัยเรื่องนี้ยิ่งนัก
คิดได้เช่นนั้นชุนจึงพยักหน้า ตอบกลับว่า…
“อย่างไรก็ต้องผ่านสุสาน แวะไปตรวจตราสักหน่อยอย่างที่เจ้าว่าก็ดีเหมือนกัน”
ทั้งคู่โค้งคำนับขอบคุณชายชราอีกครั้ง ส่วนชายชรากับเหล่าคนใช้ก็ค้อมศีรษะรับเช่นกัน จากนั้นลินจิและชุนก็เริ่มออกเดินทางไปยังทิศเหนือ โดยตกลงกันว่าจะแวะสำรวจที่สุสานก่อน แล้วค่อยมุ่งตรงไปยังหุบเขารกกะ
ชุนและลินจิมุ่งหน้าสู่สุสานเปี๊ยกโกะ พวกเขาเดินผ่านเส้นทางบนภูเขาที่มีแต่ต้นหญ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ สลับกับผืนดิน อาจเพราะเป็นทางที่ชาวบ้านใช้สัญจร ต้นหญ้าที่ขึ้นบนพื้นจึงถูกเหยียบย่ำจนเหลืออ๋อย ระหว่างโขดหินน้อยใหญ่ ลินจิก็กวาดตาสำรวจเผื่อจะพบอะไรแปลก ๆ
สำหรับลินจิแล้ว ที่นี่ถือว่าบรรยากาศดีมาก แม้จะไม่มีข้าวของเครื่องใช้ หรือเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก แต่ธรรมชาติก็ช่วยทำให้จิตใจของเขาเบาสบาย ต่างจากโลกเดิมของตนซึ่งมีรถราและผู้คนเดินกันพลุกพล่าน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นลินจิก็รู้สึกคิดถึงบ้านอยู่ดี
ลินจิส่ายหัวเพื่อสลัดความคิด
“เจ้าเป็นอะไร”
“อ๋อ เปล่าครับ”
เขาตอบชุนอย่างไม่ใส่ใจ การโอดครวญปัญหากับผู้อื่นต้องคำนึงถึงสถานการณ์ ลินจิรู้ดีว่าทุกคนล้วนมีปัญหาส่วนตัวกันทั้งนั้น อย่างน้อยระหว่างเดินทางอยู่ในโลกที่แสนอันตรายเช่นนี้ เขาต้องรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเอง และออกตามหาผลึกดวงดาวให้ครบ คิดได้เช่นนั้นลินจิจึงเปลี่ยนเรื่องทันที
“…ร้อนยังไงก็ไม่รู้”
ลินจิพูดกับชุนที่เดินนำอยู่ข้างหน้า แต่ก็ไม่มีคำตอบใด ๆ กลับมาทั้งสิ้น
“แถวนี่อากาศอุ่นเป็นพิเศษหรือเปล่า รู้อะไรบ้างไหมครับคุณชุน”
“ก็เจ้าอยู่ไม่สุข เดี๋ยวเดินเดี๋ยววิ่ง จะไม่ร้อนได้ยังไง”
“คุณชุนเป็นผู้ใช้เวทควบคุมธาตุใช่เปล่าครับ”
ชุนพยักหน้าหนึ่งครั้ง
“ถ้าควบคุมน้ำแข็งได้ล่ะก็ ช่วยเสกออกมาให้ผมสักก้อนได้รึเปล่า แบบนั้นจะขอบคุณมากเลยล่ะครับ”
“ข้าไม่มีเวทน้ำแข็ง”
“ถ้าอย่างนั้นเอาเวทลมก็ได้ครับ ให้ลมพัดโชยเบา ๆ ก็พอ ผมร้อนมากเลย”
“…”
ชุนส่ายหน้า ลินจิก็ยู่หน้าทันที
“มีพลังเวทซะเปล่า หัดใช้ให้เป็นประโยชน์บ้างสิครับ”
ชุนเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับเสียงของลินจิที่พูดไม่หยุด จริงอยู่ที่เขาเป็นผู้ใช้เวท แต่ก็สามารถควบคุมเวทได้เพียงสี่ธาตุซึ่งนับว่าเยอะแล้ว
เวทธาตุที่ชุนใช้ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ และ สายฟ้า
ส่วนเวทน้ำแข็งและเวทลมนับเป็นอีกวิชาหนึ่งที่นอกเหนือจากความสามารถของชุน ซึ่งปกติแล้วผู้ใช้เวทสามารถควบคุมได้อย่างมากเพียงสองธาตุเท่านั้น
ขณะที่คิดว่า ตนควบคุมได้ถึงสี่ธาตุ แต่เทพตนนี้กลับพูดจาราวกับตนไม่เอาไหน ชุนก็หันขวับเดินกระแทกเท้าทันที
“ใช้ให้เป็นประโยชน์ใช่มั้ย งั้นข้าจะย่างเจ้าเป็นอาหารซะ”
ว่าแล้วจิตสังหารสีแดงก็พวยพุ่งปกคลุมกายของชุน ฝ่ามือห้อมล้อมด้วยเปลวเพลิง
ลินจิเห็นท่าไม่ดี จึงหยุดเดินพร้อมกับกลืนน้ำลายดังอึก จากนั้นก็รีบเปิดเขตอาคมพลางส่ายไม้ส่ายมือ
อันที่จริงเขาแค่ร้อนเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนายั่วยุให้ชุนโมโหเลย
“ดะ…เดี๋ยวก่อนสิครับ คุณชุนเคยบอกว่าเก็บพลังไว้ใช้ยามจำเป็นนี่นา เอาน่า ๆ ไม่อยากใช้ก็ไม่เป็นไร ร้อนแค่นี้ผมทนได้ครับ”
ลินจิยิ้มเจื่อน
ส่วนชุนพอเห็นท่าทีเชิงยอมแพ้ของอีกฝ่ายก็เดินกำหมัดฮึดฮัดหันหลังกลับไป จิตสังหารสีแดงและเปลวเพลิงผล็อยมอดดับลง เมื่อครู่เขาแค่ต้องการทำให้ลินจิหยุดปากพูดเพียงเท่านั้น
“เฮ้อ…”
ลินจิจึงพ่นลมหายใจส่งเสียงเล็กเสียงน้อยออกมา มองบุรุษขี้โมโหเดินสะบัดผ้าคลุมอยู่ด้านหน้า เมื่อมั่นใจว่าพ้นขีดอันตราย เขาก็เปลี่ยนท่าทีเป็นลั้ลลาแล้วเร่งฝีเท้าไปเดินอยู่ข้าง ๆ ชุน
ลินจิเงยหน้ามองคนร่างสูงเล็กน้อย ก่อนจะก้มต่ำลง
…คุณชุนคงไม่ทำร้ายเราหรอก ฝ่ายนั้นชอบทำตัวข่มขู่ก็จริง แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาบาดเจ็บจริง ๆ เลยสักครั้ง เลวร้ายสุดก็แค่โดนกดหัวเข้ากับอกจนกะโหลกแทบแหลก
…อี๋ย
คิดถึงตรงนี้ลินจิก็ส่ายหัว พึมพำกับตัวเองว่า ปีศาจชัด ๆ
ขณะนั้นชุนก็ปรายตามองเทพอัญเชิญของตนที่เดินเหม่ออยู่ข้าง ๆ เมื่อครู่เขาเห็นอีกฝ่ายทำท่ายอมแพ้ จึงไม่อยากเปลืองกำลัง จู่ ๆ ความคิดชั่ววูบก็แล่นเข้าหัวโดยพลัน เทพเจ้าตนนี้เคยแกล้งเขาไว้เยอะมากมาย ตอนอยู่ตำหนักโมโมะก็สร้างเรื่องหลอกล่อให้ตนแต่งชุดสตรีแล้วบอกให้ทำท่าแปลก ๆ แถมยังถูกหลอกด่าอีกตั้งหลายครั้งนับไม่ถ้วน
ขณะนั้น เส้นเลือดบนขมับของชุนก็ปูดโปน
ชุนเดินไปพลาง สังเกตลินจิไปพลาง พยายามใช้ความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์ของตน อย่างน้อยเขาก็ควรจะสงบสติอารมณ์ เพราะการควบคุมพลังเวทจำเป็นต้องใช้สมาธิ หากปล่อยให้เรื่องหมองหม่นค้างคาในใจ อาจส่งผลกระทบต่อการควบคุมพลังเวทได้
รู้ตัวเช่นนั้นชุนจึงพยายามควบคุมลมหายใจให้ช้าลง กระทั่งสงบสติอารมณ์ของตนไว้ได้จึงสามารถขบคิดได้มากขึ้น พอมองย้อนกลับก็พบว่า ตนก็เคยทำรุนแรงกับลินจิไว้เช่นกัน และบางครั้งอาจจะรุนแรงเกินไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นความไม่สบายใจก็ผุดขึ้นมา
ระหว่างก้าวขาไปพร้อม ๆ กัน ลินจิก็รู้ตัวว่าถูกจับจ้อง แต่ก็แสร้งเดินหน้ายิ้มตากแดด ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร
“นี่!”
ชุนเรียกโดยไม่หันมอง ลินจิจึงเงยหน้าขานรับด้วยเสียงน่ารักสดใส ว่า…
“ครับ!”
“เจ้าเกลียดข้ารึเปล่า”
มือหนาชูนิ้วชี้เกาแก้ม ปรายตามองไปทางอื่น ส่วนลินจิได้ยินชุนพูดเช่นนั้นก็เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ ระหว่างที่ทั้งสองก้าวขาอยู่นั้น ลินจิก็ยังไม่ตอบอะไร เมื่อความเงียบเข้าปกคลุมชุนจึงหันมา
สองสายตาประสานกัน แววตาของทั้งคู่สั่นไหว
“คือ… เจ้าโกรธข้าบ้างรึเปล่า”
ลินจิยิ้มตาปิด ส่ายหน้า เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออก เขานึกไม่ถึงว่าชุนจะกล้าถามเรื่องแบบนี้ออกมา เมื่อลืมตาลินจิก็หันมองไปด้านหน้าแล้วก้มลงอย่างเขิน ๆ ก่อนจะมองตรงไปข้างหน้า
“ไม่หรอกครับ เวลาโกรธมันรู้สึกอึดอัดจะตายไป ยังไงผมต้องช่วยคุณชุนออกตามหาผลึกดวงดาวนี่นา ทิ้งอารมณ์แย่ ๆ ไว้แบบนั้นคงไม่ดีต่อจิตใจแน่ ๆ เลยครับ”
จากนั้นเขาก็ยกมุมปากให้ชุนอีกครั้ง
ชุนอ้าอ้าปากค้างเล็กน้อยพร้อมเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเบนหน้าหนีอย่างทำอะไรไม่ถูก พูดเสียงเบาว่า…
“ถะ… ถ้าโกรธ ข้าก็ขอโทษ”
“อื้ม…”
ลินจิยิ้มพยักหน้าสองครั้ง
ก่อนหน้านี้ลินจิยังเคยคิดว่าชุนดุร้ายราวกับปีศาจ แต่เขาคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ บางทีความสดใสของลินจิอาจจะช่วยเจือจางความแข็งกระด้างของชุน โดยที่ทั้งคู่ไม่ทันรู้ตัว
…
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงยอดเขา ทิวทัศน์กว้างใหญ่ไพศาลก็แผ่อยู่เบื้องหน้า
ผืนป่าแผ่กว้างตั้งแต่เชิงเขาจนไปถึงภูเขาอีกลูกหนึ่ง มีทางเดินแคบและคดเคี้ยวผ่าใจกลางป่า อีกฟากหนึ่งเป็นทะเลหมอกสีเทา นั่นคือสุสานซึ่งเป็นทั้งหลุมฝังศพของ ‘เปี๊ยกโกะ’ และสถานที่ผนึก ‘เพกัส’ เอาไว้
ชุนชี้นิ้วไปยังทะเลหมอกที่ปรากฏอยู่ไกล ๆ
“สุสานของเปี๊ยกโกะอยู่ตรงนั้น ดูจากสภาพแล้วเขตอาคมป้องกันปีศาจน่าจะอ่อนกำลังลงมาก อีกทั้งยังมีหมอกควันแปลก ๆ”
“แปลว่าเจ้าสำนักไม่ได้โกหกพวกเราสินะครับ”
“ก็คงจะอย่างนั้น”
ชุนตอบพลางจับคางหยุดมองอยู่พักหนึ่ง พึมพำว่า…
“กางเขตอาคมด้วยสิ ไม่แน่นั่นอาจจะเป็นหมอกพิษ”
“ครับ”
ลินจิพยักหน้าสองครั้งอย่างจริงจังแล้วกางเขตอาคมป้องกันตามคำสั่ง จากนั้นก็ปรากฏแสงทองโปร่งใสทรงกลมล้อมรอบกายของทั้งสองทันที
จากตรงนี้มองไม่ค่อยเห็นเส้นทางเพราะได้รับอิทธิพลจากหมอกควัน ผืนดินเต็มไปด้วยโครงกระดูกของสัตว์ ต้นหญ้าและพุ่มไม้เหี่ยวแห้งจนกลายเป็นสีน้ำตาล เมื่อหมอกควันลอยปะทะกับเขตอาคมของลินจิ ก็เกิดประกายสายฟ้าลั่นดังเปรี๊ยะเบา ๆ
ขณะที่ทั้งสองเข้าใกล้ ’สุสานเปี๊ยกโกะ’ ความเข้มข้นของหมอกควันก็ทวีคูณ ชุนรู้สึกถึงอันตรายจึงหยุดกึกพร้อมยกแขนซ้ายขวางหน้าลินจิทันที
“อ๊ะ! อะไรเหรอครับ”