ซัพที่29: ฮุ่ยอยู่ร์จิน สุดยอดนักประพันธ์
ซัพที่29: ฮุ่ยอยู่ร์จิน สุดยอดนักประพันธ์
“แค่กๆๆ ค่อกๆ” จื่อจงสำลักเหล้าออกมา ไม่คิดว่าจินหลงจะพูดอะไรเช่นนี้
เมิ่งชงหยวนยังคงอ่านตำราไม่สนใจ เมื่อจื่อจงหายสำลัก จึงต่อว่าออกมาอย่างรุนแรง
“อยู่ร์หาน! เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า ไม่รู้หรือไงว่าโทษใหญ่หลวงเพียงใด!” จินหลงวางจอกเหล้าที่หมดแล้วลง ก่อนจะเงยหน้ามองจื่อจงด้วยรอยยิ้ม
“ก็ข้าไม่ได้พูดโกหกนี่ จะไปมีโทษอะไร” จินหลงไม่สะทกสะท้าน เก็บจอกเหล้าเข้าที่
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะอยู่ร์หาน ห้ามเจ้าพูดเช่นนี้อีก” จื่อจงเป็นกังวล เมิ่งชงหยวนจึงลุกขึ้นนั่ง
“อย่างที่องค์ชายพูดนั่นแหละ พระองค์มิได้โกหก” เมิ่งชงหยวนช่วยยืนยัน จื่อจงมองหน้าทั้งคู่สลับไปมา ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่ ข้าไม่เชื่อ ไม่เชื่อแน่ๆ เรื่องแบบนี้มันเหลือเชื่อไปแล้ว” จื่อจงยังคงไม่ยอมรับ จินหลงจึงหยิบตราราชวงศ์ขึ้นมาให้จื่อจงดู
“นี่เป็นหยกประจำตัวข้า เป็นหลักฐานแสดงฐานะ” อีกฝ่ายรับไปดู ก่อนจะเงยหน้ามองจินหลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ของแบบนี้ข้าดูไม่รู้หรอกนะ” โอเคจบ!!
ก่อนถึงเมืองไม่นาน เอ้อหู่และหลานถิงจึงแบกท่านหมอกระโดดข้ามประตูเมืองไป ปล่อยให้หลานหรงและจื่อจงคุมรถม้าทั้งสองคันกลับเมือง
เมื่อกลับถึงโรงหมอเจ้าตัวแสบจึงขอแยกตัวกลับวัง วันนี้เขาเจอเรื่องวุ่นวายมามากเกินพอแล้ว ขอกลับไปนอนชิลๆ ตีพุงอยู่ในห้องดีกว่า
จินหลงกระโดดลงจากต้นไม้ด้านหลังเรือนรับรอง ก่อนจะเดินเข้ามาด้านในด้วยท่าทางราวกับไม่ได้หายไปไหน ทว่าเมื่อเข้าห้องมาก็พบแต่ความว่างเปล่า
แล้ว..คุณชายอู๋หายไปไหน?
จินหลงเดินไปที่โต๊ะ คิดจะหยิบต้นฉบับมาอ่านและแก้ไขอีกครั้งก่อนจะนำมาเข้าเล่มด้วยตัวเอง ทว่าไม่ว่าเขาจะหาเท่าไรก็ไม่พบ
..หรือจะยังอยู่กับคุณชายอู๋?!
ทันทีที่คิดได้เจ้าตัวแสบก็รีบวิ่งออกไปด้านนอกห้อง มองหาเป้าหมาย เมื่อไม่พบก็รีบถามหาจากนางกำนัล
“ซูเม่ยๆ เจ้าเห็นเจียงสงบ้างไหม?!” องค์ชายสี่รีบถามซูเม่ยที่กำลังกวาดสวน
“หม่อมฉันได้ยินว่าคุณชายอู๋จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้น่ะเพคะ” เจ้าตัวแสบตาเหลือก อ้าปากค้าง
แล้วต้นฉบับเขาล่ะ?!
“แล้วเจียงสงเอากระดาษที่เป็นปึกๆ ไปไว้ไหน ข้าจะเอากระดาษปึกนั้น” ซูเม่ยครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนนึกขึ้นได้
“หม่อมฉันจำได้ว่าเห็นคุณชายอู๋ถือไปด้วยนะเพคะ แต่ป่านนี้ก็น่าจะถึงวังแล้ว”
กรี๊ดดดดดดดดด บ้าไปแล้วเหรออออ คุณชายอู๋จะถือนิยายข้าไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อทำม๊ายยย
เจ้าตัวแสบหน้าซีด รีบติดเกียร์วิ่งไปที่วังหลวงทันใด
“ข้าจะไปตามเจียงสงกลับมา!!”
จินหลงวิ่งหน้าตั้งกระโดดข้ามกำแพงไม่สนใจเสียงร้องของเหล่าทหาร ดวงตาคู่น้อยมองไปตามเส้นทางที่เจียงสงควรผ่าน หวังจะพบเจ้าองครักษ์ตัวแสบที่ขโมยนิยายเขาออกมาจากเรือนรับรอง
อย่าให้เจอนะโว้ยยยย มีตายยยย งานนี้มีประหารคนแน่!
จินหลงวิ่งไปจนใกล้ถึงท้องพระโรง มองดูจำนวนขั้นบันไดตรงหน้าแล้วนึกอยากร้องไห้
ทำไมต้องออกแบบมาให้สูงเวอร์สูงวังสูงอลังการแบบนี้ด้วย! ไม่เห็นใจคนเดินขึ้นบ้างหรือไง คิดว่าคนเราทุกคนจะมีแรงปีนขึ้นบันไดแบบนี้เหมือนกันหมดเหรอ?! หัดนึกถึงสนมหรือเด็กตัวน้อยๆ อย่างข้าที่ต้องมาปีนบันไดแล้วเก๊กหน้าหล่อเก๊กหน้าสวยว่าไม่เหนื่อยแบบนี้บ้างจะได้ไหมมม
เจ้าตัวแสบนึกโวยวายไปวิ่งขึ้นบันไดไป เมื่อทหารด้านหน้าเห็นจินหลงจึงรีบทำความเคารพ แต่ไม่ทันจะได้ร้องห้ามไม่ให้จินหลงเข้าไป เจ้าตัวแสบก็กระโดดพุ่งเข้าไปเป็นที่เรียบร้อย
“พ่อจ๋า!!” จินหลงแหกปากลั่น เห็นฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์ มีเจียงสงยืนอยู่ด้านหน้า พระองค์เงยหน้าขึ้นมา ก่อนสงสัญญาณบอกทหารด้านหลังไม่ต้องลากจินหลงออกไป
“จินหลงเจ้ามาพอดี พ่อเพิ่งอ่านงานเขียนของเจ้าจบไปเมื่อครู่นี้เอง” จินหลงชะงักค้างเป็นหุ่นขี้ผึ้ง กระพริบตาปริบๆ หันไปมองเจียงสงที่นิ่งเฉยราวกับไม่รู้เรื่อง
“เสด็จพ่องานเขียนของข้านั้นมิได้ดีเด่นอะไร ขออภัยหากทำให้เสด็จพ่อทรงกริ้ว กระหม่อมไม่คิดว่าองครักษ์ของกระหม่อมจะนำมาให้เสด็จพ่อทรงอ่าน” จินหลงถ่อมตัว ต่างจากในใจที่อยากจับเจียงสงมาสับเป็นหมื่นๆ ชิ้น
“ไม่ ไม่เคยจินหลง ผลงานของลูกนั้นยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ทุกบรรทัดล้วนเต็มไปด้วยจินตนาการ” ฮ่องเต้ทรงเอ่ยชมจินหลงด้วยความปลื้มปิติ เจ้าตัวแสบกระพริบตาปริบๆ
นี่ถ้าเขาเขียนนิยายเกี่ยวกับโลกเดิมคงได้หาว่าบ้าแหง ตัวอักษรหลายตัวยังไม่มีในยุคนี้ด้วย
“หากผลงานของข้าทำให้เสด็จพ่อพึงพอใจได้ ข้าก็ยินดียิ่งพะยะค่ะ” จินหลงนึกหาหนทางเอานิยายกลับคืนมา
“ข้าไม่เพียงแต่พึงพอใจ ข้าจะสั่งการให้มีการคัดลอกผลงานของเจ้าเพื่อเผยแพร่ผลงานเจ้าไปทั่วแคว้น” เจ้าตัวแสบแทบกรามค้าง
“เสด็จพ่อ แต่ผลงานหม่อมฉันมิคู่ควรหรอก” จินหลงรีบค้าน
“หากผลงานเจ้าไม่คู่ควร ก็มิมีผลงานใดคู่ควร” ฮ่องเต้หัวเราะเสียงดังด้วยความยินดี
อย่างน้อยองค์ชายสี่ก็จะไม่ถูกตราหน้าว่าไร้ค่าอีกต่อไป
จินหลงแทบน้ำตาตกใน หันไปมองตัวการที่ทำเขาได้อย่างแสบสัน จริงอยู่ว่าการมีคนชมชอบผลงานถึงเพียงนี้ ย่อมเป็นเรื่องหน้ายินดีของคนเขียน แต่...ต้องไม่ใช่นิยายที่เขาเขียนขึ้นเพื่อจะแกล้งเจียงสงเซ่!!
“แต่จะใช้ชื่อเจ้าเป็นนามปากกาก็ไม่ดีนัก ไว้นิยายเจ้าโด่งดังค่อยประกาศเสียดีกว่า ว่าเจ้าเป็นผู้ประพันธ์ ไหนเจ้าลองคิดนามปากกามาซิ” ท่าทางตื่นเต้นของผู้เป็นพ่อทำให้จินหลงได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่มีทางเลือก
เอายังไงดีล่ะ..ใช้นามปากกาจากโลกเดิมก็ไม่ดีนัก
ชื่อในชาติแรกคือ หยางฮุ่ยหลง ชาติสองคือ เหออยู่ร์หาน ชาติสามคือเจิ้งจินหลง เช่นนั้นก็...
“ฮุ่ยอยู่ร์จินพะยะค่ะ”
ทันทีที่มาถึงเรือนรับรองและกลับเข้าห้องมาเรียบร้อย เจ้าตัวแสบจัดการกระโดดเตะไปที่คอราชองครักษ์ทันที โชคดีที่อีกฝ่ายยกแขนขึ้นกันได้อย่างทันท่วงที
“เจ้าเอานิยายข้าไปให้เสด็จพ่อทำม๊ายยย” จินหลงแหกปากลั่นเขวี้ยงปาสิ่งของใส่เจียงสง โดยมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องหลบได้
“กระหม่อมเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหายจึงนำไปมอบให้ฝ่าบาท องค์ชายน่าจะทรงดีพระทัยนะพะยะค่ะ” เจียงสงฉีกยิ้มใช้มือรับสิ่งของที่จินหลงโยนมา
น่าดีใจตรงไหนล่ะนั่น นี่กลายเป็นว่าเสด็จพ่อหันกลับมาสนใจเขาอีกแล้วมิใช่เหรอ!
“ไม่ดีๆๆๆ ไม่ดีเลย!” เจียงสงขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“ข้าไม่เห็นเข้าใจ การที่ท่านสามารถเติมเต็มท้องพระโรงได้ย่อมเป็นเรื่องดีทั้งต่อตัวท่านและตำแหน่งรัชทายาท” นั่นแหละที่ไม่ดี!
“ข้าบอกว่าไม่ดีก็คือไม่ดี! ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว!” เจ้าตัวแสบงอแงปีนขึ้นเตียงมุดใต้ผ้าห่ม ขดเป็นก้อนและหันหลังให้เจียงสง
องครักษ์วัยเยาว์ไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้แต่บอกว่า
“ก็ระหว่างที่ข้ากำลังอ่านอยู่นั้น มีขันทีแปลกหน้ามาเรียกหาพระองค์ ข้าไม่รู้จะตอบเช่นไรจึงบอกไปว่าพระองค์ออกไปหาแรงบันดาลใจเขียนหนังสือ พอขันทีผู้นั้นได้อ่าน ก็วิ่งโร่ไปทูลฝ่าบาท ข้าจึงจำต้องมอบให้ฝ่าบาทดู” เจียงสงเกาหัวพยายามอธิบาย
“แต่เจ้าก็ควรรอขอข้าไม่ใช่หรือไง” จินหลงยังคงโกรธอยู่
“ก็พระองค์ไม่อยู่ให้กระหม่อมขอไหมล่ะพะยะค่ะ สถานการณ์ยิ่งจวนตัวยิ่งไม่มีทางเลือก” เจียงสงถอนหายใจ จินหลงนิ่งคิดตาม
ถึงจะเข้าใจ..แต่มันก็ไม่พอใจอะ!!
เนื่องจากโดนฮ่องเต้เร่งรัด ไม่นานหนังสือของจินหลงจึงออกมาสู่ท้องตลาด พร้อมเสียงฮือฮาจากทั่วสารทิศ เจ้าตัวแสบนั่งฟังขันทีรายงานยอดขายในเดือนแรกด้วยท่าทางเฉยเมย จนหากนักเขียนจากโลกเดิมมาเห็นคงจะหมั่นไส้อยากกระทืบให้ตายนัก
นี่ใคร? นี่ใคร๊?! เหออยู่ร์หาน นักเขียนดังจากต่างโลกเลยนะ เป็นไปไม่ได้ที่จะยอดเบๆ
จินหลงนึกอยากกระยิ้มกระย่องสะบัดผมอยู่ในใจ นึกดีใจที่ยุคนี้ไม่มีนักเขียนคู่แข่ง
เจียงสงฟังตัวเลขด้วยความตื่นตะลึง ไม่คิดว่ายอดขายหนังสือจะได้มากเพียงนี้
“องค์ชาย ข้าคิดว่าพระองค์ควรเขียนหลายๆ เรื่องนะ” จินหลงหันไปมองเจียงสงดวงสายตาเฉยชา
“ไม่เอา” มาต่างโลกทั้งที ทำไมข้าต้องมานั่งเขียนนิยายด้วยล่ะ ชาตินี้ไม่เห็นต้องเขียนนิยายกู้ศักดิ์ศรีชาติก่อนเลยนี่
“ทูลองค์ชาย ฝ่าบาททรงกล่าวว่า หากพระองค์ทรงประพันธ์หนังสือออกมาสามารถเติมเต็มพระคลังได้ ฝ่าบาทจะยินดีมอบตำหนักให้พระองค์พะยะค่ะ” ขันทีผู้รายงานเอ่ยออกมา ทำให้จินหลงที่นอนกลิ้งอยู่นั้นถึงกับลุกพรวดขึ้นมามองหน้าเขาอย่างตื่นตะลึง
ตลกน่า ตำหนักมันไม่ใช่ว่าจะมอบให้ได้ง่ายๆ อย่างนี้นี่
“ทำไมเสด็จพ่อสายเปย์ถึงเพียงนั้น?” จินหลงไม่อยากเชื่อหัวตัวเอง แม้ศัพท์องค์ชายสี่จะฟังยาก แต่ขันทีผู้น้อยก็พอจะเดาออก
“ทูลองค์ชาย ผลงานที่พระองค์ประพันธ์ออกมานั้น ไม่เพียงแต่นอกวังที่โด่งดัง ทั้งยังเป็นที่นิยมของเหล่าสนมหรือแม้กระทั่งกุ้ยเฟยและฮองเฮา ทั้งยังมีแต่ผู้ที่ต้องการอ่านผลงานต่อๆ ไปของพระองค์อีก” เจ้าตัวแสบกระพริบตาปริบๆ ลุกขึ้นยืนทันที
“งั้นข้าจะรัวเขียนให้เลย!”
เงินก็ได้ ตำหนักก็ได้ ชื่อเสียงก็ได้ ดีงามที่สวดดดดด
เจียงสงหรี่ตามององค์ชายตัวแสบที่มีท่าทีต่างจากเดือนก่อนลิบลับ เดือนที่แล้วองค์ชายแสนจะเกรี้ยวกราดต่อว่าเขาเรื่องที่ทำโดยพลการ ทว่าตอนนี้กลับดูยินดียิ่ง
เจ้าตัวแสบไม่รู้สึกถึงสายตาของเจียงสงแม้สักนิด ตอนนี้เขากำลังร้อยเรียงบทประพันธ์เรื่องราวของฮ่องเต้หยางฮุ่ยหลงและฮองเฮาหลิวออกมา ในเมื่อหนังสือเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างชื่อให้เขาในชาติก่อน ชาตินี้ก็ต้องสร้างชื่อได้เหมือนกัน
วันต่อมา จินหลงยังคงหนีออกจากวังอีกเช่นเคย ปล่อยให้เจียงสงต้องหัวหมุนในการตามหาเขาทั้งนอกวังและในวัง แต่ไม่ว่ายังไง วันนี้เขาก็ต้องไปหาตระกูลจินให้ได้
เพราะวันนี้คือวันแต่งงานของเอ้อหู่และหลานหรง!
จินหลงรีบมุ่งตรงไปยังตระกูลด้วยความตื่นเต้นดีใจ โดยไม่ลืมหาซื้อของติดไม้ติดมือไปให้คู่บ่าวสาวคู่แรกของตระกูลด้วย
งานแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย โดยมีจินหลงเป็นผู้ออกแบบ ดอกไม้มากมายถูกประดับประดาไปทั่ว ทั้งบนต้นไม้ บนพื้น หรือบนกระท่อม
ชุดแต่งงานของหลานหรงเป็นสีขาวล้วนแม้จะถูกตัดจากผ้าเก่า แต่เธอก็ไม่ได้รังเกียจมัน ทั้งยังดีใจที่น้องๆ ในตระกูลช่วยตัดเย็บ ส่วนชุดของเอ้อหู่นั้น ดูเป็นชุดสีดำที่แปลกตา
องค์ชายตัวแสบจัดสถานที่พิธีคล้ายกับพิธีของยุโรป ที่มีเก้าอี้ที่นั่งและทางเดินทอดยาว และให้หยางเค่อทำหน้าที่เป็นบาทหลวงอ่านคำสาบาน
..ทว่าดูหน้าที่นี่จะหนักไปสำหรับเด็กชายนัก
จินหลงหันไปมองหยางเค่อที่พยายามท่องจำบทของตัวเอง ก่อนจะหันไปถามจื่อจง
“ท่านพี่จื่อจง ทำไมท่านพี่ไม่อ่านเอง?” จื่อจงก้มมองน้องชายร่วมสาบาน ที่ตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นองค์ชายจริงหรือไม่ หรือจงใจแกล้งเขาเล่น
“หยางเค่ออยากอ่านเองน่ะ ข้าสอนวิธีอ่านเขียนเขาไปบ้าง แต่ดูท่าจะยังจำไม่ได้ เลยเปลี่ยนเป็นวิธีท่องจำเอา” จื่อจงอธิบาย ก่อนจะนิ่งไปสักพัก แล้วจึงหันมาถามย้ำกับจินหลงว่า
“แต่ให้กล่าวอะไรแบบนั้นมันจะดีเหรอ ข้าว่าออกจะแปลกไปนะ ไม่เห็นเหมือนพิธีไหว้ฟ้าดินที่ข้าเคยได้ยินเลย” จื่อจงค้าน จินหลงยักไหล่ไม่สนใจ
“แบบนี้แหละดีแล้ว ฟ้าดินก็เห็นเหมือนกัน อีกอย่างเป็นเอกลักษณ์ดีด้วย” จินหลงยิ้มแป้น ทว่าจื่อจงยังคงลังเล
เมื่อได้ฤกษ์เริ่มพิธี จินหลงจึงไปยืนประจำที่ด้านหน้าคนดู ก่อนจะกระแอมกระไอเล็กน้อยแล้ววาดมือไปมาพร้อมกับร้องว่า
“แต่แด๊ดแต่แด แต่แด๊ดแต่แด แต่แดแด่...” หลายคนหลุดหัวเราะกับทำนองที่แปลกประหลาด ไม่เว้นแม้แต่คู่บ่าวสาวที่เดินมาพร้อมกับความขบขัน
ก็คนมันไม่มีเครื่องดนตรีก็ต้องร้องเอาอย่างนี้แหละ!!
“เออ..เอ่อ... เอ้อหู่คุณจะรับอี้หลานหรงเป็นภรรยาขอ...งคุณไหม? คุณสัญญาว่าจะ..จะซื่อสัตย์ต่อเธอ ทั้งในยามสุขและยามยาก ในยามไข้และสบายดี จะรักเธอและ..และให้..ให้เกียรติเธอชั่วชีวิตของคุณหรือไม่?” หยางเค่อพยายามเอ่ยสิ่งที่จำออกมา เขาเองก็คิดไม่ต่างจากจื่อจง
ทำไมต้องทำพิธีแปลกๆ แบบนี้ด้วย!
“ครับ” เอ้อหู่ตอบไปตามบท ตัวเขาพอได้ยินเรื่องจากจินหลงก็ได้แต่งงๆ ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไร
แต่.. จัดแบบนี้ก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดีนัก ทั้งบรรยากาศเองก็ดูรื่นเริง จนทำให้รู้สึกว่ามันเป็นงานพิเศษสำหรับพวกเขาเอง
“เอิ่ม.. อี้หลานหรง คุณจะรับเอ้อหู่เป็นส...สามีของคุณไหม? คุณสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเขา ทั้งในยามสุขและ...ยามยาก ในยามไข้และ...และยามสบายดี จะรักเขาและให้เกียรติเขาชั่วชีวิตของคุณหรือไม่?” หยางเค่อพยายามพูดสิ่งที่จดจำออกมา
“ค่ะ” หลานหรงอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทางของหยางเค่อ
เอ้อหู่จึงนำแหวนวงหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า แหวนวงนี้เมื่อครู่จินหลงเป็นคนเสนอขายให้เขาเพื่อใช้ในพิธี โดยที่เจ้าตัวแสบไม่คิดจะบอกถึงราคาที่แท้จริงของมัน เพียงแต่ให้เอ้อหู่ซื้อไว้ เพื่อที่แหวนวงนั้นจะเป็นแหวนของเขา ไม่ใช่แหวนที่ได้มาจากอยู่ร์หาน
ทว่าขณะที่ด้านจินหลงกำลังรื่นเริง ด้านเจียงสงกลับเกิดปัญหาในระหว่างที่เจียงสงสั่งทหารออกไปตามหาจินหลง ราชองครักษ์ตัวน้อยบัดนี้กำลังนั่งเครียดกับฝีมือวรยุทธขององค์ชายที่ลื่นไหลกว่าเคยหลายเท่า พลันเสียงวิ่งตึงตังจึงดังมาจากด้านนอก พร้อมทหารหลายสิบนายที่พุ่งเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น?” เจียงสงถาม ไม่เข้าใจว่าทหารตรงหน้าจะยกพวกมาหาเขาทำไม
“จับกุมอู๋เจียงสงในข้อหากบฎซะ!”