64. ศัตรู? พันธมิตร?
64. ศัตรู? พันธมิตร?
ลมร้อนที่พัดเข้ามานี่มันเข้ากับธีมทะเลทรายจริงๆ.
เมเทโอคอร์และไอซ์เบริก์ก็ไม่ได้มีคูลดาวอีกต่อไป.
พื้นของดันเจี้ยนต่างก็ถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟ.
หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกผิดหวัง มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผมใช้สกิลทั้งสองพร้อมกัน.
เมื่อสกิลทั้งสองปะทะกันมันกลายเป็นการยกเลิกผลของสกิลไป.
มันไม่มีการสร้างความเสียหายใดๆ.
แต่นั่นยังไม่สำคัญ.
ตราบใดที่ผมยังใช้สกิลหนึ่งในสองนี้ซ้ำๆอย่าต่อเนื่อง มอนเตอร์ทุกตัวก็จะถูกจัดการโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ.
เวลาที่ผมเครียร์ดันเจี้ยนก่อนหน้านี้ก็เร็วมากแล้ว แต่ตอนนี้มันเร็วจนครั้งก่อนๆไม่อาจเทียบได้.
เวลาที่ผมเครียร์ดันเจี้ยนเสร็จนั้นก็เป็นเวลาเดียวกับที่ผมวิ่งจนสุดดันเจี้ยนพอดี.
ความเร็วนี้แม้ว่าจะมีปาร์ตี้สัก 10 ทีมก็ไม่อาจเทียบได้กับผม.
ผมชอบความเร็วที่เพิ่มขึ้นนี้ แต่มันก็ทำให้ผมกังวลว่าสมาคมจะกลับมาอีกครั้ง.
มันไม่มีเวลาบอกว่าพวกเขาจะมาตรวจสอบตอนไหนกับปาร์ตี้นี้.
วิธีที่ผมใช้แก้ปัญหาคือ ผมคิดว่าจะซื้อIDจำนวนมาก.
ผมแบ่งแต่ละIDตามระดับโดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม.
ทุกครั้งที่ผมเข้าดันเจี้ยนผมจะสลับวนกันไปใน 4 กลุ่มนี้.
ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะไม่สงสัยโดยดูจากข้อมูลเพียงอย่างเดียว.
‘ฉันเดาว่าฉันต้องเรียนมาอย่างลำบากถึงได้สร้างโครงร่างที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้.’
2 วันก่อน.
ผมไปที่ดันเจี้ยน เลเวล 13 เพื่อพบกับจุงโฮ.
นี่เป็นสถานที่ที่ผมได้พบเขาเป็นครั้งแรก.
พอร์ทัลที่เกิดจาการที่ดันเจี้ยเลเวล 13 สมบัติที่เข้ามาเติมเต็มให้กับเหล่าอเวค
(จากนี้จะเรียกเหตุการณ์พอร์ทัลระเบิดเป็นดันเจี้ยนแตกแต่ยังคงคำว่าพอร์ทัลไว้เพราะว่ามันเป็นประตูเชื่อมดันเจี้ยนจากโลกภายนอก).
จากนั้นก็ขอยืมรถจุงโฮมาและใช้เวลากว่า 30 นาทีจากร้านอาหารมาที่นี่
ก่อนหน้านี้เส้นทางพวกนี้เต็มไปด้วยป่า.
อย่างไรก็ตามตอนนี้มันเต็มไปด้วยร้านอาหารและร้านค้ามากมาย.
มันมีที่จอดรถและพวกเขาก็มีที่จอดแบ่งเป็นโซนให้กับพวกที่เขาประตูวาร์ป.
“ว้าว มันเคยเป็นแค่เส้นทางที่เต็มไปด้วยต้มไม้แท้ๆ...ตอนนี้มันได้พัฒนามาขนาดนี้แล้ว.”
พื้นที่โดยรอบเปลี่ยนไปจนแม้กระทั่งผมก็แทบจะจำไม่ได้อีกแล้ว.
จุงโฮและปาร์ตี้ของเขากำลังเดินออกมาหลังจากที่เครียร์ดันเจี้ยนแล้ว.
รวมจุงโฮเข้าไปด้วยปาร์ตี้นี้มี 6 คน.
จากพวกเขาทั้งหมด มันก็ไม่อาจไม่สังเกตเห็นจุงโฮได้เนื่องจากอาวุธและชุดเกราะของเขานั้นเหมือนกับเล็บของสัตว์.
มือแต่ละข้างถือบันวอนจินชอย(*) พร้อมทั้งยังสวมกันเล็ตลิซาร์ดแมน(*)ที่ส่องแสงสีเขียวมรกต
(*อันเก่าเป็นบันชอยจินวอน
*Lizardman’s Gauntlet อันเก่าน่าจะเป็นถุงมือลิซาร์ดแมนแต่ตอนนี้จะเรียกทับศัพท์ไปเลย.)
อ่า กันเล็ตนั่นเป็นของขวัญให้กับเขาที่เขาช่วยขายถุงมืออื่นๆของผมในสัปดาห์ที่แล้ว.
ตอนนี้ผมได้กันเล็ตที่มีการต้านทานเวทย์ 20% แล้ว.
นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ผมถึงให้กันเล็ตที่กันเวทย์ได้ถึง 18% ที่ผมใส่ก่อนหน้านี้ให้กับเขา.
จริงๆแล้วด้วยนิสัยของเขามันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใส่มันถ้าผมไม่บอกกับเขาว่าผม"ให้ยืม".
มองจากข้างนอกเขาดูเหมือนกับตัวแท้งค์ที่วิ่งนำหน้าคนอื่นในดันเจี้ยนเฉินและให้คนในปาร์ตี้เลเวลอัพ.
ผมโทนหาจุงโฮผู้ซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการขายของที่ได้มาจากการลงดันเจี้ยน.
“ฮยอง!”
“ไง! ไอ้น้อง.”
“เกราะที่คุณใส่นี่ก็ไม่ได้แตกต่างจากเสื้อผ้าที่คุณใส่ตามปกติ.”
“นายยังกล้าหัวเราะอยู่ได้แม้ว่านายจะพูดอย่างนี้?”
“ผมไม่คิดว่าผมต้องร้องไห้นะ คุณจะมากินมื้อเย็นทั้งๆที่สวมอย่างนี้หรือเปล่า?”
“แค่ไม่หัวเราะก็ขอบคุณมากแล้ว.”
ผมไปหาจุงโฮและทักทายสมาชิกของเขา.
“สวัดดีผมเป็นน้องจุงโฮ.”
“ยินดีที่รู้จัก.”
“ฉันได้ยินหลายอย่างเกี่ยวกับเธอมากเลย ฉัน ฮีพาร์ค.”
ในขณะที่ผมกำลังทักทายอยู่ ผมก็เห็นชายที่คุ้นหน้า.
เขาดูอายุ 40 กลางๆ.
เขามองมาที่ผมพร้อมกับรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของเขา.
ชายคนนี้ดูเหมือนว่าจะแก่กว่าที่จะเข้าดันเจี้ยนเลเวล 13.
คนส่วนใหญ่จะเป็นอเวคก่อนที่พวกเขาจะอายุ 20 ปี.
คนที่อายุ 20 ส่วนใหญ่มารวมกันที่นี่จนถึงอายุ 20 กลางๆเลย.
‘งั้นเขาก็อเวคช้าสินะ?’
มันก็มีหลายกรณี อย่างฮยองที่ทำงานด้านบริหารนั้นก็เป็นอเวคช้ากว่าคนอื่น.
นี่มันไม่ได้เกี่ยวกับตอนที่เขาเป็นอเวค หรือว่าเพราะอัตลักษณ์ของเขาหรอกนะ.
มันเป็นเพราะว่าผมรู้สึกว่าผมเคยเห็นเขาจากที่ไหนมาก่อน.
‘ฉันเคยเห็นเขาที่ไหน….?’
จุงโฮได้แบ่งของเสร็จแล้วและพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว.
บอกลาและออกมาจากกลุ่ม.
‘ไซเรน’
ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นผมจึงใช้เวทย์มนต์ที่ทำให้คนอื่นไม่ได้ยินเรา.
“ฮยอง ชายที่ดูอายุ 40 นั่นเป็นใคร?”
“อ๋อ เขาคือคนที่มาเข้าดันเจี้ยนด้วยกันกว่าสัปดาห์นึงแล้ว ทำไม?”
“ผมรู้สึกว่าผมเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน…”
“เขาบอกว่าเขาเคยทำงานให้กับสมาคม นายแน่ใจหร่อเปล่าว่านายไม่ได้จำผิดกับคนที่มีท่าทางอย่างนั้น?”
“ไม่! ผมรู้จักแน่ๆ ผมแน่ใจ.”
“ไม่มีทาง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้จักนาย.”
“…..”
เดี๋ยว โฮจิน?
นั่นคือชื่อและใบหน้าของเขาที่ผมนึกออก.
หัวหน้าแผนกของหน่วยควบคุมอเวคพิเศษ คิมโฮจิน.
ผมมั่นใจมาก.
เขาเป็นหนึ่งในคนที่มาจากสมาคมและยังเป็นหัวหน้าที่มารอผมหน้าดันเจี้ยนนั่น.
ไม่ เขาพยายามที่จะจับผม.
‘มันอะไรกัน พวกเขาซ่อนอยู่แถวนี้งั้นหรอ?’
หัวของผมเต็มไปด้วยความคิดที่อาจจะเป็นไปได้เต็มไปหมด.
สมาชิกของสมาคมมาเข้าดันเจี้ยน.
และเนื่องจากเขาสามารถเข้าออกดันเจี้ยนได้ แสดงว่าเขาเป็นหนึ่งในอเวค.
‘อ่า อเวคที่ทำงานให้กับสมาคมงั้นหรอ? นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่คุณแม่มักคุยโม้เกี่ยวกับเรื่องของลูกชายเธอ.’
มันเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้.
“คุณบอกว่าเขาเคยทำงานที่สมาคม?”
“ใช่ เขาไม่ได้บอกละเอียดนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาบอกว่าเขาลาออกเพราะว่าเขาทะเลาะกับเจ้านาย.”
“ฮยอง จำได้ไหมว่าคุณได้บอกกับว่าผมคุณไม่อาจเข้าดันเจี้ยนได้เป็นบางครั้งและยังต้องไปแสดงตัวที่สมาคมอีก?”
“ใช่ นั่นก็เพราะ iD ปลอมของนางถูกระงับใช่ไหม?”
“ใช่ คนที่รับผิดชอบนั้นก็คือคิมโฮจิน.”
“ห๊ะ?”
“ผมไม่แน่ใจว่าทำไมเขาอยู่ที่นี่ อาจเป็นไปได้ว่าเขาเข้ามาหาคุณเพราะว่าคุณมีความสัมพันธุ์กับผมหรือมันเป็นเรื่องบังเอิญขณะที่เขาพยายามจะใช้ชีวิตอย่างที่พวกอเวคทำหลังจากที่ลาออกมาจากสมาคม.”
“ห๊ะ นั่นก็เป็นเรื่องที่จริงจัง แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น?”
“ผมคิดว่าเขาจะจำหน้าของผมได้เหมือนกัน.”
“แน่นอน เพียงแค่หาเลขIDของนาย หน้าของนายก็จะปรากฏขึ้นมา.”
“ใช่ แต่ก่อนหน้านั้นผมแอบอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะจำผมได้ ผมคิดว่าผมอาจจะกลัวไปเองว่าเขาจำผมได้.”
“งั้นเราควรจะทำอย่างไรดี? เปลี่ยนปาร์ตี้ใหม่?”
“ไม่ต้อง หากว่าเขาลาออกจากสมาคมแล้ว เขาก็ไม่ควรจะทำอะไรผม แต่ถ้าเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น การทำแบบนี้มีแต่จะทำให้เขาสงสัยมากขึ้น เพียงแค่เข้าดันเจี้ยนตามปกติอย่างที่คุณทำ.”
“หลังจากนั้นหล่ะ?”
“ก็แค่ล่าตามปกติ คุณทำได้นิ.”
“ห๊ะ?”
“จนกว่าเราจะรู้ตัวจริงของเขา แค่ทำตามที่คุณเคยทำเป็นประจำ.”
“นายจะรู้ได้อย่างไร? นายเปิดเผยเขาได้งั้นรึ?”
“ผมสามารถใช้สเตลท์ได้ แม้ว่ามันจะทำให้การล่าของผมช้าลงแต่ผมก็จะยังหามันเจอ.”
“เอาหล่ะ สำหรับตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว โชคชะตาเป็นอะไรที่แน่จริงๆ.”
“ถ้าเขาออกจากสมาคมจริงๆ…..”
****
(รูทนี้ย้อนกลับมาในห้องประชุมที่คิมโฮจินถูกไล่จากตอนก่อนๆ)
หลังจากที่ออกมาจากห้องประชุม คิมโฮจิตก็สถบคำหยาบทุกอย่างออกมาและมุ่งหน้าไปยังสำนักงานของเขา.
มีการเกิดคอรัปชั่นกับหัวหน้าเขาต่อหน้าต่อตาเขา.
เขายืนอยู่ตรงนั้นและดูประธานาธิบดีนำประเทศไปสู่เส้นทางพินาศ.
คนที่ทำงานกับเขาจ้องมาที่โฮจิน.
อย่างไรก็ตามเขาเก็บข้าวของของเขาอย่างเงียบๆ.
“โลภกับภาษีของประเทศ แต่ถ้าคุณมัวแต่ยุ่งกับเรื่องของตัวเอง ประเทศชาตินี้จะดำเนินต่อไปได้อย่างไร!”
27ปีก่อน เขาได้กลายมาเป็นอเวคเหมือนกับมินชอย.
อย่างไรก็ตาม แทนที่เขาจะมีชีวิตอย่างสะดวกสบาย เขาตัดสินใจที่จะเข้ามาอยู่ในสมาคม.
นี่เป็นเวลาที่ก่อนที่ฝ่ายหัวรุนแรงจะแสดงออกมาและเวลานี้ก็เป็นเวลาที่ช่วยกันฟื้นฟูที่ดันเจี้ยนระเบิดออกมาทั่วทุกจุด.
คุณสามารถพูดได้ว่า ในที่สุดมนุษยชาติก็ยังคงต้องการสันติภาพหลังจากเหตุการณ์โจมตีของมอนเตอร์หยุดชั่วคราว.
อีกด้านแม้ว่าเขาจะได้เหรียญตรา เหล่าอเสคก็เริ่มก่อปัญหาไปทั่วจนเกินกว่าที่พวกเขาจะจัดการกับพวกมันได้.
มันเป็นเพราะไม่มีกฏหมายกำหนดไว้เฉพาะกับเหล่าอเวค รวมถึงข้อบังคับต่างๆจากกฏหมาย.
นี่คือสาเหตุที่เขาต้องมาเข้าร่วมกับสมาคม.
มันไม่ได้ใช้เวลานานก่อนที่เขาจะเก็บของเสร็จ มันราวกับเป็นการยืนยันว่า 20 ปีที่ผ่านมาของเขานั้นไม่มีค่าอะไรเลย.
ครึ่งนึงของชีวิตของเขาถูกใช้ไปกับสมาคม.
แต่เขาก็ทิ้งชื่อเสียงของเขาอย่างไม่ลังเล.
สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือต้องแข็งแกร่งโดยเร็ว.
มันสายเกินไป เกิดกว่าที่เขาจะแข็งแกร่งได้และพอสู้กับพวกหัวรุนแรง.
แต่เขาก็ไม่อาจยืนอยู่เฉยๆได้.
เขาไม่อาจทนมองประเทศและมนุษยชาติของเขาล่มจมอย่างช้าๆจากวงนอก.
ก่อนที่เขาจะออกไปล่าในดันเจี้ยนวันแรก ความคิดมากมายเป็นร้อยๆอย่างก็เข้ามาอีกครั้ง.
เล่าถึงเรื่องราวของจระเข้ที่อยู่ในบึงกับสื่อ.
เขาต้องการบอกความจริง.
ให้ทั่วทั้งโลกรู้.
แต่สำหรับคนที่อยู่ในสมาคมกว่า 20 ปี ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ถึงงานที่สกปรกทั้งหมดที่พวกเขาทำอยู่เบื้องหลัง.
เขารู้ว่าอะไรก็ตามที่เขาอ้างอิงโดยไม่ระวัง เขาจะถูกกำจัดทันทีแม้ว่าจะเป็นเรื่องนิดๆก็ตาม.
ถ้าเขาเป็นคนเดียวที่ได้รับเคราะห์มันก็ไม่เป็นไร.
หากเป็นเช่นนั้นเขาก็จะยอมรับถึงผลที่ตามมา.
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดถึงภรรยาและลูกสาวของเขา เขาไม่อาจทำตัวอย่างนั้นได้.
“ฉันก็แค่พวกหลักลอยที่กำลังมองหาจุดหมายในชีวิต...ฉันนี่มันน่าสมเพชจริงๆ…..”
และหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านไปพร้อมกับการล่าในดันเจี้ยน.
ในระหว่างที่ทำงานให้กับสมาคม เขาก็เพิ่มเลเวลมาถึง 85 แล้ว.
สำหรับคนที่เป็นอเวคมากกว่า 27 ปี ตัวเขาถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก.
เขากำลังล่าในดันเจี้ยนเฉินเลเวล 13 ที่เหมาะสมกับเลเวลของเขากับปาร์ตี้.
การล่าในดันเจี้ยนกำลังจะเสร็จสิ้นและสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น.
“ฮยอง!”
“ไง!. ไอ้น้อง.”
เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง.
นั่นคือคิมมินชอย.
บุคคลที่เป็นอเวคเมื่อสองเดือนก่อนและคนที่เข้าดันเจี้ยนที่ยากลำบากเพื่ออัพเลเวลของเขา ตัวตนเช่นนี้ปรากฏต่อหน้าของเขา.
ดูเหมือนว่าเขาจะสนิทกับจุงโฮคนที่ชวนเขา(โฮจิน)เข้าปาร์ตี้ครั้งแรกด้วยกัน.
เขาไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากยิ้ม.
‘คนที่มีความสามารถแบบนั้น....เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงโลกได้.’
แน่นอนว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้เกี่ยวกับเด็กหนุ่มนั่นมากนัก.
เขาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของพวกหัวรุนแรง.
แต่มันให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ของเขาที่เขาพอจะเดิมพันได้.
‘เธอเป็นใครกันแน่ คิมมินชอย.’
****
‘แมสสเตลท์จูซึ
’ (Mass Stealth Jutsu=พรางตัวกลางฝูงชนหรืออาจจะแค่สั้นๆ สเตลท์)
หยุดการเข้าดันเจี้ยนตามปกติของผม ผมเริ่มสอดแนมคิมโฮจิน.
ผมรู้แล้วว่าเขาอยู่ที่ไหน โดยการกลับไปที่ดันเจี้ยนเลเวล 13 และติดตามเขา.
ถ้าผมใช้ไซเรนและสเตลท์ผมก็น่าจะได้ข้อมูลที่ผมต้องการโดยที่ไม่ต้องถูกเจอตัว.
“ทางเข้าออนเซ็นผู้หญิงอยู่ที่ไหน...ล้อเล่นน่า ผมคิดว่ามันเป็นชั้น 3 ของอพาร์ทเม้นนี้.”
-ชิ
ในที่สุดผมก็จับเขาได้ เขากำลังจะออกไปทำงาน.
ผมเฝ้ามองเขาอยู่พักหนึ่ง แต่ถ้าตอนนี้เขาเดินไปที่สมาคมเลยนั่นหมายความว่าเขาเข้าหาจึงโฮอย่างมีเป้าหมาย.
ขณะที่เขากำลังสวมรองเท้า ภรรยาของเขาก็พูด.
“นี่ คุณแก่แล้วนะ คุณควรจะพักผ่อนอยู่ที่บ้าน.”
“ผมกระสับกระส่ายนิดหน่อย คุณก็รู้.”
“แม้ว่าหลังจากแต่งานแล้ว ฉันก็ไม่เห็นว่าคุณจะอยู่บ้านแม้แต่ครั้งเดียว ดูแลตัวเองด้วย สัญญาแล้วนะว่าคุณจะอยู่ที่นี่น้อยๆก็ในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้! จียอน ลูกต้องบอกลาป๊ะป๋าด้วย ถูกไม๊?”
“บายค่ะ ป๊ะป๋า.”
“ฮ่าฮ่า แน่นอนพ่อจะออกไปข้างนอกแล้วนะลูกรัก.”
‘ฮืม...เขาออกจากสมาคมแล้วจริงๆหรอ?’
เหตุผลที่ผมสนใจเขาก็เพราะข้อมูลที่เขามี
.
จุงโฮมีความรู้มากมายเกี่ยวกับมอนเตอร์และการไอเทมที่ดรอปลงมา.
คิมโฮจินไม่เหมือนกับเขา เขาอยู่ที่สมาคมเป็นเวลานาน.
ถ้าผมสามารถได้รับข้อมูลเกี่ยวกับพวกหัวรุนแรงและรัฐบาล มันก็เหมือนกับได้รับหน่วยสนับสนุนนับพันคน.
นั่นเป็นเหตุผลที่ดีที่เราควรเฝ้าระวังเขาให้นานขึ้นกว่านี้อีกนิด.
‘คิมโฮจินคุณเป็นใคร?’